“ไม่เชื่อรึ” ชิงหรูเบ้ปากทำหน้าเหมือนน้อยใจ “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าของลอบไปดูที่ห้องนอนของหวังอี้สิ แล้วจะรู้ว่าสตรีมีอำนาจเหนือบุรุษได้อย่างไร”
หญิงสาวไม่รอดูว่าจางลี่ตัดสินใจอย่างไร นางเดินเข้าเรือนของตนแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงนอน กวาดตามองในห้องแล้วเอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้ปรากฏกาย
“กวงหมิง”
“ขอรับ”
บุรุษในชุดดำที่เร้นกายในมุมมืดปรากฏกาย ชิงหรูพยักหน้าเล็กน้อยกวงหมิงก็เข้าใจความหมาย เขาเดินไปนั่งคุกเข่าเบื้องหน้า ถอดรองเท้าให้นาง เท้าเปลือยเปล่าปรากฏเบื้องหน้า เขาหมุนตัวลุกไปยกอ่างน้ำอุ่นที่ตระเตรียมไว้พร้อมผ้าผืนหนึ่งมานั่งลงและบรรจงเช็ดเท้าให้นาง
ปีศาจสาวยิ้มอย่างพึ่งพอใจ อยู่มาพันปี กวงหมิงนับเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ใจนางที่สุด ปีศาจสาวเอนหลังเล็กน้อย ขยับยกเท้าขึ้นใช้ปลายเท้าเชยปลางคางของกวงหมิงทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง
“ไม่ต้องกังวลไป พวกมันไม่คู่ควรกับเรือนร่างนี้”
ปีศาจราคะกล่าวแล้วพลิกตัวลงนอน เพราะนางไม่ได้ดื่มกินพลังหยางจากบุรุษ ร่างกายจึงอ่อนเพลียง่าย แต่ถึงกระนั้น นางก็มิใช่พวกกินไม่เลือก อย่างน้อยก็เลือกว่าจะกินอะไรดี หรือถ้าหิวขึ้นมาจริง ‘กวงหมิง’ ก็ไม่เลวนัก เท่าที่เคยให้เขาปรนนิบัตินางก็ทำให้นางพึงพอใจได้ เพียงแค่ไม่ค่อยสนุกกับคนหน้าตายอย่างเขานัก
กวงหมิงเห็นนายหญิงไม่สนใจเขาแล้ว นางพลิกตัวแล้วปิดเปลือกตาหลับใหล ชายหนุ่มหยิบผ้าห่มคลี่คลุมร่างบอบบางแล้วปลดม่านมุ้งลงแล้วถอยห่างเร้นกายในมุมมืด เขาเอนหลังพิงผนังห้อง มองเงาร่างหลังม่านที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ระบายลมหายใจเบาๆ พลางคิดถึงเหตุผลที่เขาต้องกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจเช่นนี้มันเป็นหนทางที่เขาเลือกแล้ว ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็เลือกจะเป็นเช่นนี้อยู่ดี
.......
ภายใต้การเคลื่อนไหวในห้องนอนของเศรษฐีหวังอี้
คืนนี้หวังอี้ต้องไปนอนค้างคืนที่ห้องของหูเตี๋ย ซึ่งยามนี้นางรอปรนนิบัติสามีแล้ว เพราะดื่มสุราเข้าไปมากและมีความปรารถนาต่อชิงหรู เมื่อเข้าห้องมาก็คว้าหูเตี๋ยไปกอดจูบลูบคลำ เสื้อผ้ายังถอดออกไม่หมดก็จับตลบกระโปรงของหูเตี๋ยขึ้นหมายจะจ้วงแทงแท่งหยกทันที
“ท่านพี่ ประเดี๋ยวก่อน” นางยังไม่ทันเตรียมตัว ช่องรักยังแห้งผาก เกรงจะได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าไม่ยินยอมข้าจะไปหาเหมยกุ้ย”
“มะ ไม่ใช่ แต่ แต่ว่า”
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองอย่างตกใจ เป็นร่างของเหมยกุ้ยที่เข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่หูเตี๋ยหน้าตึงขึ้นมาทันที
“เจ้าเข้ามาทำไม วันนี้วันของข้ากับท่านพี่!”
“ข้ารู้ๆ”
เหมยกุ้ยกล้ำกลืนความอับอายลงท้องไปหมดสิ้น นางเดินเข้าไปหาช้าๆ ในห้องยังไม่ได้ดับเทียน จึงเห็นเรือนร่างของเหมยกุ้ยที่ดูแลตัวเองอย่างดีไม่มีหย่อนคล้อย นางปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกที่ละชิ้นจนเมื่อไปหยุดที่หูเตี๋ย ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าแล้ว
“เราสองคนเป็นภรรยาของท่านพี่ หน้าที่ของภรรยาคือปรนนิบัติสามี เหตุใดต้องคอยแบ่งวันกันในเมื่อเราอยู่ด้วยกันสามคนก็ได้”
“เจ้าพูดอะไรออกมา” หูเตี๋ยหน้าแดง แต่เหมยกุ้ยยื่นมือมาช่วยถอดเสื้อผ้าของหูเตี๋ยออก
“ข้าพูดอะไรเจ้าย่อมรู้ดี เราเป็นพี่น้องกัน เรื่องเช่นนี้ควรช่วยเหลือกัน ท่านพี่ก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไม่”
เหมยกุ้ยช้อนตามองสามีที่จ้องมองนางตาเป็นมัน ทำให้รู้สึกราวกับเป็นเด็กสาวอีกครั้ง นางปีนขึ้นไปบนเตียง นั่งซ้อนด้านหลังหูเตี๋ยใช้สองมือลูบไล้ทรวงอกของหูเตี๋ยอย่างยั่วยวนสายตาของหวังอี้
หากไม่ร่วมมือกันให้ความสุขสำราญกับสามี ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดสามีย่อมต้องรับอนุเข้ามาเพิ่ม เด็กสาวสวยๆ ที่ทำให้พวกนางต้องไร้ค่า แม้มีตำแหน่งเป็นฮูหยินแต่ไม่ได้รับความรักจากสามี ช่างน่าเศร้านัก
หูเตี๋ยถูกเหมยกุ้ยลูบไล้ก็ปล่อยเสียงครางอย่างลืมตัว นานแล้วที่ร่างกายไม่ได้รับการใส่ใจเช่นนี้ สามีมักมาถึงกับสอดแท่งหยกในทันที ไร้การเล้าโลม บ่อยครั้งที่นางแอบปลอบดอกไม้สาวของตนเอง นางนั่งเอนหลังพิงกายนุ่มนิ่มของเหมยกุ้ย ทรวงอกอวบอิ่มแนบแผ่นหลัง สองขาแยกออก มือเรียวของเหมยกุ้ยแหวกพงหญ้าที่ตบแต่งอย่างดีแทรกนิ้วเรียวเข้าไป
หวังอี้เห็นภาพเบื้องหน้าแล้ว แท่งหยกยิ่งร้อนระอุ เขารีบถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วเข้าไปใกล้ภรรยาที่ยังสาวสวยอยู่
“ท่านพี่ มาทางนี้สิเจ้าคะ” เหมยกุ้ยเรียกขณะที่ซอยนิ้วเร่งเร้าในร่องของหูเตี๋ย นางให้หวังอี้ขึ้นมายืนบนเตียง นางอ้าปากแลบลิ้นเลียฝีปากอย่างหิวกระหาย โดยไม่รอช้า หวังอี้จับแท่งหยกของตนเข้าปากน้อยๆ ของเหมยกุ้ย
“อา...ดี ดียิ่ง เลียอีก ดูด...ดูดแรงๆ เหมยกุ้ย เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้าดูดเลียแท่งหยกได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
หูเตี๋ยที่ถูกปลุกเร้าจนสิ้นอาย เห็นหวังอี้โยกเอวใส่ปากของเหมย กุ้ยก็อยากชิมบาง นางจับมือของเหมยกุ้ยแล้วพลิกตัวเป็นท่าคลานเข่าเข้าไปเลียลูกกลมๆ ที่โยกไปมานั้น เหมยกุ้ยถอนรินฝีปากออกให้หูเตี๋ยได้ชิมรสชาติบุรุษบ้าง หวังอี้เสียวซ่านจับศีรษะของหูเตี่ยแล้วโยกสะโพกรัวเร็ว
“โอ้ววว เสียวนัก ช่างดีอะไรอย่างนี้”
เหมยกุ้ยจับหูเตี่ยในท่าคลานยกสะโพกของนางขึ้น แล้วนางก็มุดลงไปใช้ลิ้นละเลงกับกลีบดอกไม้ที่หลั่งน้ำหวานไหลเยิ้ม หูเตี๋ยเสียวซ่านจนร่างกายกระตุกเป็นจังหวะเดียวกับที่หวังอี้ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นระลอกแรกออกมาจนเปื้อนเปรอะใบหน้า หวังอี้ถอนแก่นกายออกจากโพรงปาก เหมยกุ้ยถอนลิ้นออกจากร่องรัก หูเตี๋ยทิ้งตัวนอนแผ่หราแต่เหมยกุ้ยปีนป่ายไปบนร่างที่เปื้อนน้ำรัก ดูดเลียคราบขาวขุ่นจนทำให้ร่างของหูเตี๋ยบิดเร่าด้วยความเสียวซ่าน ภาพที่เห็นทำให้แท่งหยกของหวังอี้ตั้งตรงขึ้นมาอีก เขาเข้าด้านหลังของเหมยกุ้ยที่กระดกก้นขึ้นยั่วสายตาของหวังอี้ สองมือบีบแก้มก้นกลมกลึงให้แยกออกเผยให้เห็นช่องรักที่เปียกชุ่ม เขาจับท่อนเอ็นทิ่มพราดเข้าไปทีเดียวมิดด้าม
“อร๊ายยย ท่านพี่ ท่านใหญ่เหลือกิน ลึกยิ่งนัก อา ซี๊ด”
“ดีหรือไม่” เขาถามถอดแก่นกายออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปใหม่ ช่องรักของนางตอดรัดจนเขาต้องแหงนหน้าครางออกมา
“ดียิ่งเจ้าค่ะ” นางขมิบตอดรัด ทั้งปากทั้งมือยังวุ่นวนกับทรวงอกของหูเตี๋ย
“ข้าเสียว” หูเตี๋ยอดไม่ได้ครางออกมา นางบดเบียดโหนกเนื้อของตนกับเหมยกุ้ย ด้านบนก็โยกคลอนเพราะแรงกระแทกกระทั้นของหวังอี้
“มาเถิดเมียรัก” เขาถอนแก่นกายที่เปียกคราบน้ำรักวาววับ จับเมียทั้งสองให้อยู่ในท่าคลานเข่าแล้วสอดแก่นกายเข้าไปในร่องร้อนของหูเตี๋ย ส่วนอีกมือก็แย่งนิ้วในร่องของเหมยกุ้ย
“นายท่าน เรี่ยวแรงท่านมหาศาลนัก เสียวซ่านเหลือเกิน อา”
หูเตี๋ยครางจนเสียงแหบ นางไม่เคยเสียวซ่านในรสรักเช่นนี้มาก่อน หวังอี้ได้ยินเสียงครางยิ่งคึกราวม้าคลั่งถอดแก่นกายออกทิ่มแทงในร่องของเหมยกุ้ยแล้วแหย่งนิ้วเข้าไปในร่องของหูเตี๋ย
“โอ้วว นายท่าน แท่งหยกท่านชนมดลูกของข้าแล้ว” เหมยกุ้ยร้องไม่หยุดปาก โดนกระแทกรัวๆ แรงๆ หนักๆ เน้นๆ จนร่างกายกระตุกไปอีกรอบ
“นายท่าน! ข้า! ข้าเสร็จ..เสร็จคานิ้วท่านแล้ว”
หวังอี้เองก็ทนไม่ไหว หลั่งน้ำรักออกมาอีกครั้ง เขาดึงมันออกมาปล่อยให้รินรดที่ก้นงามงอน แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอน ซ้ายมีเหมยกุ้ย ขวามีหูเตี๋ย
“ดีจริงที่เจ้าสองคนพี่น้องเป็นเช่นนี้”
เหมยกุ้ยกับหูเตี๋ยที่แต่เดิมไม่ค่อยถูกกันนัก แต่ยามนี้ทั้งสองมองตากันยิ้ม และโดยไม่ต้องพูดอะไร หูเตี๋ยเคลื่อนตัวลงไปปลุกเร้าแท่งหยกด้วยปาก ส่วนเหมยกุ้ยจูบที่ยอดอกของหวังอี้ ดูดดึงเม็ดเล็กๆ นั้นในปาก แต่ทำให้หวังอี้ครางระงมออกมา
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร