จางลี่ที่แอบมองอยู่ถึงกับใจสั่น นางไม่เคยรู้เลยว่าสองสตรีกับหนึ่งบุรุษจะร่วมรักกันได้ นางค่อยๆ ออกมาจากที่หลบซ่อน เพราะตนเองเคยเข้ามาช่วยทำความสะอาดจึงรู้ว่าควรหลบซ่อนตรงไหน นางเดินออกมาทั้งที่หว่างขาเปียกชื้น ท่าเดินของนางประหลาดนักซ้ำยังเสียวซ่านจนอยากได้อะไรมาสอดใส่ในช่องรักของตนเอง
นางเดินไปทีเรือนนอนของหวังหย่ง ความเขินอายหายไปเมื่อใดไม่รู้ นางเข้าห้องเขาอย่างคุ้นเคย หวังหย่งเงยหน้าจากตำรา เห็นจางลี่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจ เขาเริ่มเบื่อจางลี่แล้วจึงไม่ค่อยเรียกนางมาปรนนิบัติ
“คุณชาย...บ่าวรู้สึกไม่สบายเจ้าคะ”
“เป็นอะไร” เขาถามอย่างตัดรำคาญ แต่จางลี่กลับเดินมาตรงหน้าเขา เอนกายพิงโต๊ะเล็กน้อย ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ มือของนางเลื่อนไปผลักหนังสือออกจากโต๊ะ แล้วค่อยเลื่อนมาจับชายกระโปรงให้ค่อยๆ ร่นขึ้น
“ตรงนี้ มันแฉะเจ้าค่ะ” นางยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งวางบนหน้าตักของเขา ทำให้ภายใต้กระโปรงที่ไม่ได้สวมการเกงชั้นในเผยกลีบดอกไม้งดงามเบื้องหน้าชายหนุ่ม
“มันเสียวด้วยเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดถึงคุณชายมันก็ทั้งแฉะทั้งเสียว ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ข้าแย่งนิ้วเข้าไปแบบนี้ รัวๆ แบบนี้ๆ แรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่หายเสียวเลยเจ้าค่ะ อา...”
นางหลับตาแหงนหน้าครางกระเส่า ขณะสาวนิ้วเรียวในร่องรักต่อหน้าชายหนุ่ม
เห็นเช่นนี้แล้ว แก่นกายบุรุษของหวังหย่งก็ดุนดันกางเกงจนเขาต้องขยับสายรัดเอวออกคลายเสื้อผ้า
“ให้ข้าช่วยรักษาเจ้าเอง”
“คุณชายช่างเมตตาจริงๆ” นางถอดนิ้วแล้วส่งนิ้วเข้าปากตนดูดนิ้วอย่างหิวกระหาย “คุณชายเจ้าขา ข้าน้อยขอบังอาจขึ้นขย่มแท่งหยกของท่านได้ไหมเจ้าคะ แท่งหยกของท่านราวกับม้าหนุ่ม ข้าอยากขย่มสักครั้ง”
แม้ปากขอไปเช่นนั้น แต่นางกลับทรุดตัวคุกเข่าแล้วอ้าปากงับท่อนเอ็นผ่านผ้าเนื้อดี แรงขบกัดนั้นทำให้หวังอี้ครางออกมาอย่างพอใจ
“มาเลยเด็กดี เจ้ามาลองควบขี่มัน”
จางลี่ถอยห่าง ปลดเปลืองเสื้อผ้าตนเองแล้วยื่นมือไปถอดเสื้อผ้าของชายหนุ่ม เขาลงไปนอนแผ่หราแต่จางลี่ขึ้นคร่อมแล้วกดสะโพกของตนให้สวมทับแท่งหยกร้อนระอุ
“อร๊ายยย”
“โอ้วววว”
จางลี่เคลื่อนไหวร่างกายราวร่ายรำ โยกไหวบดคลึงตามอารมณ์รุ่มร้อน แต่เดิมนางได้แต่เป็นผู้เดินตามการชักนำของหวังหย่ง แต่ครั้งนี้นางเป็นคนเริ่มก่อนและควบคุมชายหนุ่มเบื้องล่าง นางร่วมรักกับเขามาหลายครั้ง รู้ดีว่าเขาใกล้ถึงฝั่งก็ถอดสะโพกออกอ้าปากดูดกลืนยื้อเวลา พอหลอกล่อได้ที่ก็ขึ้นคร่อมโยกบดกดกระแทก กลิ่นคาวน้ำรักอบอวลในห้อง
“ให้ข้าปลดปล่อย” หวังหย่งคำราม นางทรมานเขาด้วยความเสียวซ่าน ร่างงามยังบิดส่ายวนทำชายหนุ่มกัดฟันแน่น นางขย่มได้เร้าใจอย่างที่เขาไม่รู้มาก่อนว่าเร้าร้อนได้เพียงนี้
“จางลี่”
“คุณชาย...รับปากจางลี่ข้อหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ” นางหอบครางแม้จะขย่มแท่งหยกจนเหนื่อยเหงื่อไหลโทรมกาย
“ว่ามา!” เขาอยากปลดปล่อย แน่นางกลับทำเกือบถึงจุดสุดยอดแล้วหยุด เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเจียนคลั่ง
“ท่านแต่งงานกับใครก็ได้แต่ห้ามทอดทิ้งข้า รับข้าเป็นอนุของท่าน”
“ได้! ข้ารับปาก!”
จางลี่ได้อย่างที่ต้องการ นางเร่งควบโจนทะยานไม่ยั้งจนตนเองร่างเกร็งกระตุกและหวังหย่งก็พ่นน้ำรักออกมาจนล้นร่องรัก นางถอนกายออกแล้วก้มลงไล้เลียทำความสะอาด
“เด็กดี เจ้าเก่งกาจเพียงนี้ ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”
จางลี่ไม่ตอบได้แต่ยิ้มในใจ ขั้นแรกคือเป็นอนุ แต่หลังจากนั้นนางจะใช้เรือนร่างนี้ไขว่คว้าทุกอย่างมาเป็นของตนเอง!
.....
ปีศาจสาวขยับตัวเล็กน้อย แม้จะนอนอยู่แต่รับรู้ว่าเกิดเรื่องใดในเรือนแห่งนี้ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ เพียงการชี้นำเล็กน้อยก็ทำให้สตรีในบ้านสกุลหวัง ‘ฉลาด’ ขึ้น นางไม่ได้กินพลังชีวิตมาหลายวันแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่คุ้มค่าให้นางดื่มกินเลยสักนิด นางแค่อยากเล่นสนุกก่อนไปเผชิญหน้ากับเรื่องที่รออยู่เบื้องหน้า
.....
รถม้าเรียบง่ายแต่ดูหรูหราหยุดนิ่งหน้าประตูคฤหาสน์หลังหนึ่ง กวงหมิงมารอรับด้วยท่าทีเงียบขรึมเช่นทุกครั้ง ชิงหรูเยี่ยงย่างกายออกมาจากด้านใน นางปรายตาส่งยิ้มเล็กน้อยให้เหมยกุ้ยและหูเตี๋ยที่ยิ้มแย้มเปี่ยมความสุข ทั้งสองออกมาส่งนางด้วยตนเอง ชิงหรูมองเลยไปยังสาวใช้ที่ชื่อจางลี่ นับจากนี้ชะตาชีวิตของนางคงไปได้ไกลอย่างที่นางหวัง ทว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย นั้นอยู่ที่ว่านางเลือกจะพอใจกับสิ่งที่ตนมีหรือไต้เต้าไปสู่กิ่งไม้ที่สูงกว่านี้
“ขอบคุณทุกท่านที่ดูแลอย่างดียิ่ง ชิงหรูขอตัวกลับก่อน หากมีวาสนาวันหน้าคงได้พบกันอีก”
“แม่นางชิงหรู เดินทางดีๆ”
หวังอี้กล่าวในฐานะเจ้าบ้าน แล้วมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายเรียบง่ายสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำเข้ามาหาหญิงสาว ชายผู้นั้นประสานมือคารวะแล้วเอ่ยขึ้น
“รถม้าพร้อมแล้วขอรับนายหญิง”
“คราวนี้คงไม่มีอะไรเสียหายอีกแล้วนะ” ชิงหรูแสร้งตำหนิบ่าวรับใช้ ยื่นมือไปจับท่อนแขนแข็งแกร่งของเขาเพื่อประคองตัวเองขึ้นรถม้า เมื่อหญิงสาวขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว กวงหมิงหันไปผงกศีรษะให้ทางคนสกุลหวังเล็กน้อย หมุนตัวกลับมานั่งประจำตำแหน่งสารถี ตวัดแส้ในมือแล้วบังคับให้ม้าเคลื่อนตัวออกไป
“กวงหมิง”
เสียงเรียกไม่ดังนักแต่ชายหนุ่มที่นั่งด้านหน้าได้ยินชัดเจน
“ขอรับนายหญิง”
“ไปเมืองหลวง”
“ขอรับ”
กวงหมิงตวัดแส้ในมือแล้วมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ปีศาจสาวสั่ง เขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้ย่อมไม่มีสิทธิ์ถามว่าเหตุใดนางจึงไปเมืองหลวงในยามนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปี แม้มีคนเชิญนางไปเมืองหลวงอย่างไรนางก็ไม่ไป เขาเพียงหวังใจว่านางจะเมตตาปล่อย ‘ชิงหรู’ ให้เป็นอิสระในเร็ววัน
รถม้าหรูหราหยุดที่ศาลาพักม้า สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังรถม้าจนกระทั้งสารถีร่างสูงใหญ่ลงจากรถมารับหญิงสาวที่สวมหมวกปีกกว้างคลุมด้วยผ้าโปร่งก้าวลงจากรถอย่างเชื่องช้า แม้สวมเสื้อคลุมสีเลือดนกมิดชิดแต่เหล่าบุรุษต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แม้หญิงสาวเดินผ่านอย่างสำรวมแต่กลับสร้างความรู้สึกเย้ายวนให้ผู้พบเห็น นางเดินเข้าไปนั่งด้านในแม้มีฉากกันให้ความเป็นส่วนตัว แต่นางยังไม่ยอมถอดหมวกนั้นออก
“นายหญิงรับของว่างหรือไม่ขอรับ”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงเดินออกมาสั่งน้ำชากับของว่างให้ เขายืนรอจนเสี่ยวเอ้อนำถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาจึงสาวเท้าเข้าขวาง รับถาดนั้นไว้เองแล้วหมุนตัวเดินเข้ามาด้านใน จัดแจงวางเรียบร้อยแล้วจึงรินน้ำชาให้หญิงสาวด้วยตนเอง มือเรียวงามยื่นมารับถ้วยน้ำชาจิบไปเล็กน้อยก็เบือนหน้าไปทางอื่น
“ให้บ่าวเปลี่ยนใบชาไหมขอรับ”
หญิงสาวโบกมือห้ามก่อนชี้นิ้วไปที่ขนมดอกกุ้ย ชายหนุ่มยื่นมือมาหยิบบิเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งเข้าปากให้โดยที่นางไม่ต้องหยิบเอง นางกินเพียงชิ้นเดียวก็ส่ายหน้าไม่กินอีก
‘ข้ากินไม่ลง หากเจ้าไม่กินเองก็เอาไปทิ้งเสีย’
นางขยับปากแต่ไม่ได้ส่งเสียง แต่ถ้อยคำเหล่านี้มีเพียงกวงหมินที่ได้ยิน เขารับเพียงผงกศีรษะรับแล้วยกของว่างเหล่านั้นไปให้พ้นสายตาของหญิงสาว
“เช่นนั้นนายหญิงนั่งพักสักครู่ ให้ม้ากินหญ้ากินน้ำแล้วค่อยเดินทางต่อ”
หญิงสาวแค่พยักหน้ารับ นางมองร่างสูงใหญ่ในชุดบุรุษสีดำเดินออกไปแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปด้านนอกเล็กน้อย จุดนี้เป็นเนินเขาจึงมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกล นางเหม่อมองเส้นทางที่ผ่านมา และคิดถึงเส้นทางที่มุ่งหน้าไป
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร