ภูเมฆามาถึงคฤหาสน์ของเจ้าสัวเรวัฒน์ก่อนเวลานัดเกือบยี่สิบนาทีแต่ก็ไม่ใช่คนแรกเพราะก่อนหน้าเขาก็มีคนจากบริษัทอื่นมานั่งรออยู่ห้องประชุมซึ่งอยู่ติดกับคฤหาสน์หลังใหญ่
ชายหนุ่มกล่าวทักทายผู้ชายสองคนที่มาถึงไปตามมารยาทจากนั้นก็มีคนจากอีกสองบริษัทเดินเข้ามา พอทุกคนมาครบได้ไม่นานเจ้าสัวเรวัฒน์ก็เข้ามาพร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีกว่าเขามักจะตามเจ้าสัวไปทุกที่
“ผมดูขอเสนอที่พวกคุณส่งมาแล้วผมดุอย่างละเอียดแล้ว บอกตามตรงเลยมันเป็นอะไรที่ตัดสินใจยากมาก”
“ผมเชื่อว่าเจ้าสัวจะตัดสินอย่างยุติธรรม” คุณสาโรจน์ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศพูดกับเจ้าสัวด้วยท่าทางมั่นใจ เพราะคิดว่ายังไงเจ้าสัวก็ต้องเลือกบริษัทของตนอยู่แล้ว
“มันอาจจะยุติธรรมสำหรับผม แต่กับหลายๆ คนคงไม่คิดแบบนั้น ผมหวังว่าคนที่ไม่ถูกเลือกจะไม่เสียใจนะครับ เพราะยังมีอีกหลายโครงการที่ผมกำลังจะเริ่ม” เจ้าสัวกวาดตามองทุกคนอีกครั้ง พร้อมทั้งหันไปปรึกษากับซินแสที่ตนเองไว้ใจ
“พวกเราในที่นี้ก็หวังว่าจะได้ทำงานกับเจ้าสัวนะครับ” ชายอีกคนพูดขึ้นอย่างประจบ
ภูเมฆาได้แน่นั่งฟังทุกคนคุยกับเจ้าสัว ส่วนตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกเจ้าสัวเป็นการส่วนตัวมาก่อนงานนี้ก็เป็นงานแรกที่สนใจเสนอโครงการ
“ผมล่ะตัดสินใจยากจริงๆ เอาล่ะ พวกคุณคงพอรู้มาบ้างว่าผมเป็นคนนับถือเรื่องโชคลางมากจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นงมงายเลยก็ได้ ผมก็เลยอยากจะถามพวกคุณหน่อยว่าการมาคุยกับผมครั้งนี้ได้พกพวกเครื่องรางของขลังมาด้วยไหม”
จากนั้นเจ้าสัวก็ถามทีละคนว่าได้พกอะไรมาบ้างไหม คนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าสัวมาก่อนจากพากันเอาเครื่องรางของตนเองขึ้นมาอวดอย่างไม่มีใครยอมใคร
“แล้วคุณล่ะ ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เหรอ” เจ้าสัวหันมาถามภูเมฆาที่เอาแต่นั่งนิ่ง
“ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ” ภูเมฆาตอบไปตามตรง
“แสดงว่าวันนี้ไม่ได้พกอะไรมาเลย หรือจะบอกว่าพกความมั่นใจมากันล่ะพ่อหนุ่ม” เจ้าสัวถามพลางยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี เขาไม่โกรธที่ภูเมฆาตอบแบบนั้นแต่กลับรู้สึกชอบที่ชายหนุ่มเป็นคนพูดตรงๆ
“ตอนออกจากบ้านผมไม่ได้พกอะไรมาเลย แต่พอออกมาได้ครึ่งทางกระดุมเสื้อผมก็เกี่ยวกับแฟ้มจนหลุด คนขับรถก็เลยเรียกให้คนรู้จักมาช่วยเย็บให้ครับ แล้วพอเธอรู้ว่าผมจะมาคุยงานสำคัญเธอก็เลยให้เหรียญนำโชคมาเหรียญหนึ่งครับ” เขาควักเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาส่งให้เจ้าสัวเรวัฒน์
“เหรียญนี่แปลกดีเหมือนเคยเห็นที่ไหน ผมขอได้ไหม”
“ถ้าเหรียญนี่เป็นของผม ผมคงยินดีให้แต่เพราะคนอื่นให้ผมมาอีกทีถ้าผมให้เจ้าสัวไปก็เกรงว่าจะไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเจ้าสัวอยากได้จริงๆ ผมจะลองถามเธอก่อนว่าได้ไหม”
“ผมคิดว่าคุณจะตอบว่าได้เพื่อเอาใจผม”
“ไม่หรอกครับ ถ้าผมทำแบบนั้นก็เหมือนไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”
“นับว่าเป็นคนตรงเลยทีเดียวนะ” เจ้าสัวเอ่ยชม
จากนั้นเจ้าสัวก็ขอตัวไปปรึกษากับซินแสก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง
“พวกคุณคงอยากรู้ว่าใครจะได้งานนี้”
“ครับ” ทั้งห้าคนที่อยู่ในห้องขานรับแทบจะพร้อมกัน
“ผมขอถามอีกคำถามแล้วกัน ถ้าได้งานนี้พวกคุณจะเริ่มงานได้ตอนไหน เริ่มจากคุณสาโรจน์ก่อนก็แล้วกัน”
“ผมคิดว่าคงเริ่มได้ทันทีครับ”
“อือ ดีๆ ผมเองก็อยากให้ทุกอย่างเสร็จเร็วๆ เหมือนกัน แล้วคนต่อไปล่ะ”
“เริ่มได้ทันทีเหมือนกันครับ”
สี่คนแรกตอบว่าเริ่มงานได้ทันทีนั่นก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทของพวกเขามีความพร้อมในการทำงานอย่างเต็มที่จนมาถึงคนสุดท้ายซึ่งก็คือภูเมฆา
“น่าจะเดือนหน้าครับเจ้าสัว” ภูเมฆาตอบไปตามความจริง
“คุณมาคุยงานทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมเหรอครับ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ บริษัทเพิ่งเปิดมาไม่ถึงสิบปีอะไรๆ ก็คงยังไม่เข้าที่” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นและทำให้สายตาอีกหลายคู่มองเขาอย่างดูแคลน
“ไหนลองบอกเหตุผลมาหน่อยสิว่าทำไมถึงเริ่มงานได้ช้า” เจ้าสัวเรวัฒน์อยากฟังเหตุผลที่แท้จริงจากชายหนุ่ม
“ผมพร้อมครับ แต่ที่ผมบอกว่าเริ่มเดือนหน้าเพราะผมอยากให้ผ่านฤดูฝนไปก่อนครับ พวกคุณก็คงรู้ว่าการก่อสร้างในฤดูฝนมีเรื่องต้องระวังหลายอย่างทั้งการขนส่ง การเก็บวัสดุที่จะเอามาก่อสร้างไหนจะเรื่องดินที่ยุบตัวอีก แล้วตึกสูงขนาดนั้นก็ย่อมต้องการโครงสร้างที่แข็งแรง ดินในฤดูฝนจะอุ้มน้ำไว้มาก ผมว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ครับ จากที่คิดว่าเริ่มเร็วอาจต้องตามแก้ปัญหาทีหลัง”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้คนอื่นได้แต่เงียบ พวกเขาเป็นผู้บริหารที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ต่างจากภูเมฆาที่ทั้งเรียนและทำงานในโครงการใหญ่มาก่อนจึงตอบไปตามประสบการณ์ เขาไม่อยากจะตามแก้งานทีหลังให้เสียเวลา
“นี่แหละคือคำตอบที่ผมต้องการ ก่อนที่ผมจะร่ำรวยขนาดนี้แต่ก่อนผมก็เคยทำงานในไซต์งานมาก่อน พวกคุณไม่ผิดหรอก ก็แค่ใจร้อนไปหน่อยที่อยากจะเริ่มงานเร็วๆ” เจ้าสัวบอกชายอีกสี่คนเหลือ
“หมายความว่าคนที่ได้งานนี้คือเขาเหรอครับ” คุณสาโรจน์ถามเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเขาจะเป็นคนได้รับเลือก
“เจ้าสัวคิดดีๆ นะครับ บริษัทที่เปิดใหม่แบบนั้นจะสู้บริษัทที่เปิดมานานแล้วได้ยังไง” ชายอีกคนท้วง
“ผมอยากให้โอกาสคนรุ่นใหม่ดู แล้วจากคำตอบเมื่อครู่มันก็ยืนยันแล้วว่าเขาก็คงมีประสบการณ์ประมาณหนึ่ง”
“ขอบคุณครับเจ้าสัว” ภูเมฆายกมือของคุณเจ้าสัวเรวัฒน์
“หวังว่าคงไม่ทำให้ผมผิดหวังนะ”
“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”
เจ้าสัวคุยกับทุกคนอีกสักพักพอทุกคนกลับเขาก็เอาสัญญามาให้กับภูเมฆา
“เจ้าสัวครับ ผมอยากรู้ว่านอกจากคำตอบข้อสุดท้ายแล้วมีเหตุผลอื่นไหมครับ”
“เอาจริงๆนะ ผมชอบความคิดของคุณตั้งแต่คุณตอบเรื่องเหรียญแล้วและยิ่งได้ฟังคำตอบสุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจเลือกคุณ”
“แต่ผมได้ยินมาว่าเจ้าสัวจะดูโหงวเฮ้งด้วย”
“ใช่นะ สิก่อนจะเชิญพวกคุณมาคุยผมก็ให้ซินแสดูเรื่องนี้มาก่อนแล้ว คุณเป็นคนรุ่นใหม่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอก”
“มันก็ไม่เชิงนะครับ ผมยังไม่เจอกับตัวเองเลยไม่เชื่อเท่าไหร่ อย่างเมื่อเช้าตอนที่เด็กสาวคนนั้นเอาเหรียญให้ผม ผมก็ไม่เชื่อ แต่เธอก็ยืนยันที่จะให้”
“อย่าลืมไปขอบคุณเธอล่ะ”
“ครับเจ้าสัว”
“ถ้าเธอเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเธอ อย่าทิ้งให้เธอลำบาก” ซินแสบอกปิดท้าย
ภูเมฆากึ่งหลับกึ่งตื่นเมื่อหลานสาวเจ้าสัวมาเรียกให้เขาไปทานอาหารเย็น “ใบตอง” ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเองกำลังฝัน ผู้หญิงคนที่เขาตามหามาตลอดยืนอยู่ตรงหน้าและเธอกำลังยิ้มให้เขา ภูเมฆาสลัดศีรษะไปมาและตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติของตนกลับมา “ตบตัวเองแบบนั้นไม่เจ็บเหรอคะ” “ใบตอง นี่ใบตองจริงๆ ใช่ไหม พี่ไม่ได้ฝันใช่ไหม” ภูเมฆารีบลุกขึ้นแล้วดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดด้วยความรักและความคิดถึง “เบาๆ สิคะกอดแบบนี้หนูก็หายใจไม่ออกกันพอดี” “พี่ดีใจที่เจอหนู หนูไปอยู่ไหนมา สบายดีไหม แพ้ท้องหรือเปล่า หนูลำบากไหม แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” “ใจเย็นๆ สิคะ ถามรัวแบบนั้นหนูคิดคำตอบไม่ทัน” “ใบตองหนูจะไม่ทิ้งพี่ไปอีกแล้วใช่ไหม พี่รักหนูนะ รักลูกของเราด้วย พี่ขอโทษที่ทำให้หนูรู้สึกแย่ ขอโทษที่บอกหนูช้าไปหนูให้อภัยพี่ได้ไหมคะ” “หนูก็ต้องขอโทษพี่ภูด้วยที่ใจร้อนและหนีมา” “ไม่เลยหนูไม่ผิดอะไรเรื่องนี้พี่ผิดคนเดียว พี่สัญญาจะไม่ทำให้หนูต้องน้อยใจอีก เรากลับมาอยู่กันเหมือนเดิมนะคะ”“ไปอยู่ที่คอนโดเหรอคะหรือที่บ้านหลังใหม่ล่ะคะ
ผ่านอีกเดือนที่ภูเมฆาต้องอยู่คนเดียวในคอนโด เขารอเธอกลับมาแม้ว่าความหวังจะค่อนข้างจะริบหรี่ลงไปทีละนิด “กูว่ามึงเลิกรอเหอะภู” “นั่นสิ นี่มันสองเดือนแล้วนะ ภูกูว่ามึงทำใจเถอะ” เมคินก็เห็นด้วยกับคำพูดของธนสิทธิ์ “ลูกกับเมียกูนะเว้ย นานแค่ไหนกูก็จะรอ” “แล้วถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ มึงจะจมอยู่กับความทุกข์แบบนี้ตลอดเหรอ” เมคินเห็นใจเพื่อนที่ดูไม่มีความสุขเลย “พวกมึงว่ากูประกาศตามหาดีไหมหรือไม่แจ้งความคนหาย” “มึงอย่าเชียวนะไอ้ภู แบบนั้นเขาจะยิ่งโกรธไปอีก” ธนสิทธิ์รีบห้ามเพื่อน “กูหมดหนทางแล้วจริงๆ” ภูเมฆาถอนหายใจยาว “เอาน่า กูว่าถ้าเขารักมึงยังไงวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมา” เมคินได้แต่ให้กำลังใจเพื่อนไปแบบนั้นทั้งที่เขาก็นึกไม่ออกเลยว่าเธอคนนั้นของภูเมฆาจะกลับมาหรือเปล่า ภูเมฆาดื่มกับเพื่อนจนถึงเวลาร้านปิดก็กลับมานั่งดื่มต่อที่คอนโดต่อเพราะอยากให้ตัวเองเมาและจะได้ลืมเรื่องที่กำลังทุกข์ใจอยู่แม้จะรู้ว่าตื่นมาเรื่องทุกอย่างก็ยังคงเหมือนก็ตาม เพราะเมื่อกว่าจะนอนก็เกือบจะเช้า วันนี้ภูเมฆาเ
การมีชีวิตอยู่โดยไม่เหลือใครมันเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ ไม่ว่าจะมองไปทางในเขาก็เห็นแต่เงาของกัญญ์วราอยู่เต็มห้องไปหมด และพอหลับตาภาพความทรงจำก็แจ่มชัดขึ้น “เฮ้อ หนูหายไปไหนพี่จะต้องแจ้งความไหมว่าเมียหาย” เขาบ่นไปเรื่อยเปื่อย เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามตามหาแต่ก็ยังมีวี่แววของเธอเลย เขาโทรไปที่โมเดลลิ่งแต่ทางนั้นบอกว่าหญิงสาวไม่ได้รับงานที่นี่แล้วและเพื่อสนิทของเธอทั้งสองคนก็ยังไม่มีใครติดต่อกับกัญญ์วราได้เลย ชายหนุ่ม พยายามข่มตานอนเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพฤหัสบดีซึ่งตรงกับวันที่เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลครั้งสุดท้ายและมันก็ครบหนึ่งเดือนพอดี เขาหวังว่าเธอจะมาตรวจตามที่ได้สอบถามจากพยาบาลว่าหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกจะต้องมาตรวจทุกเดือน ภูเมฆามาดักรอที่หน้าห้องตรวจตั้งแต่เช้าและหวังว่าจะเจอกับกัญญ์วราแต่รอจนกระทั่งหมดเวลาตรวจของแผนกผู้ป่วยนอกแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลย ที่นี่คือความหวังสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะเจอเธอแต่ตอนนี้ความหวังของเขามันไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว เขาเดินคอตกออกมาจากโรงพยาบาลก่อนจะขับรถกลับไปยังคอนโดซึ่งครั้งหนึ่งมันเต็มไปด้ว
ภูเมฆากลับเข้ามาที่คอนโดในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เขาเดินหากัญญ์วราไปทั่วห้องแต่ก็เหมือนว่าเธอจะไม่อยู่ และน่าแปลกใจที่เธอไม่ได้เตรียมอาหารเย็นไว้รอ เขานึกถึงคำพูดของเธอที่บอกว่าไม่สบายก็รู้สึกเป็นห่วงจึงรีบโทรหาแต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด ถ้างานไม่เร่งเขาคงมีเวลาพาเธอไปหาหมอและให้เวลากับเธอได้มากกว่านี้ แต่ภูเมฆาเชื่อว่าเชื่อว่ากัญญ์วราจะเข้าใจถึงเหตุผลที่เขาทำลงไป ชายหนุ่มทั้งโทรหาและทิ้งข้อความให้โทรกลับแต่ผ่านไปเกือบชั่วโมงทุกอย่างก็ยังเงียบสนิท เขาเริ่มกังวลมากขึ้นครั้นจะโทรถามเพื่อนของเธอก็ไม่มีเบอร์ติดต่อใครเลย ถ้าหากยังติดต่อไม่ได้จริงๆ ก็คงจะต้องโทรไปถามฝ่ายบุคคลซึ่งน่าจะมีข้อมูลติดต่อเพื่อนของเธอบ้าง แต่ถ้าโทรไปเวลานี้คงไม่ได้เรื่องเนื่องจากเป็นวันหยุด เขาเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นขณะที่มือก็กดโทรออกอย่างไม่พัก แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเขาเดินเข้ามายังห้องนอนจากนั้นก็โทรหาเธออีกครั้งแล้วสายตาของเขาก็สะดุดดับกระดาษแผ่นเล็กและแหวนเพชรที่เขาซื้อให้เธอซึ่งวางทับกันอยู่ ภูเมฆารีบหยิบขึ้นมาแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลยเมื่ออ่านข้อค
เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว กัญญ์วราเรียนจบและเริ่มทำงานได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ หญิงสาวได้ทำงานในบริษัทเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโด พอเริ่มทำงานชีวิตก็เปลี่ยนไป เพราะในแต่ละวันเธอต้องทำงานอย่างหนักและพอกลับถึงบ้านก็เหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาให้กับภูเมฆา ทางด้านชายหนุ่มก็ไม่ต่างกันช่วงนี้เขามีงานด่วนเข้ามาทำให้ในแต่ละวันจะกลับค่อนข้างดึก พอมาถึงคอนโดก็รีบอาบน้ำเข้านอน พอเข้าเดือนที่สองงานของกัญญ์วราก็เริ่มลงตัวมากขึ้นแต่ดูเหมือนว่างานของภูเมฆานั้นจะยังคงยุ่งอยู่จนเธออดน้อยใจไม่ได้ที่เขาไม่มีเวลาให้ “พี่ภูคะ วันหยุดนี้เราไปเที่ยวกันดีไหมคะ” “พี่ไม่ว่างเลยน่ะสิ” “แล้วอาทิตย์หน้าล่ะคะ ว่างไหม” “ต้องรอดูอีกทีนะ พี่ขอโทษนะที่ไม่มีเวลาให้หนูเลย” “หนูเข้าใจค่ะ” กัญญ์วราได้แต่ฝืนยิ้มให้กับสิ่งที่เขากำลังโกหก วันนี้หญิงสาวบังเอิญเจอกับเลขาของแฟนหนุ่มจึงถามว่างานยุ่งไหม แต่คำตอบที่ได้คือไม่มีงานยุ่งหรืองานเร่งอะไรและยังบอกเธอว่ารู้สึกอิจฉาที่ภูเมฆารีบกลับก่อนเวลาทุกวัน ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอรู้จากภูเมฆา
ความกังวลของกัญญ์วราหมดไปพร้อมกับการฝึกงานที่จบลง เธอบอกความจริงกับหัวหน้าแผนกในวันสุดท้ายที่ทำงานด้วยกัน และพรกมลก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจแต่กลับชื่นชมที่หญิงสาวไม่อ้างตัวว่าตนเองเป็นใครอีกทั้งยังตั้งใจฝึกงานอย่างเต็มที่ “พี่ภูคะ พรุ่งนี้ใบตองจะเข้าไปมหาวิทยาลัยนะคะ” “พี่นึกว่าฝึกงานเสร็จแล้วจะจบเลย นี่ยังต้องไปเรียนอีกเหรอ” “ยังต้องเรียนเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ไม่ได้เรียนทั้งวันค่ะ” “ส่งตารางเรียนให้พี่ด้วยนะ” กัญญ์วราส่งตารางเรียนให้กับภูเมฆาเพราะจะได้ไม่ต้องตอบเขาว่าในแต่ละวันเธอต้องไปเรียนและเลิกเรียนเวลาไหน “พรุ่งนี้พี่ไปส่งนะ” “ไม่ต้องหรอกค่ะ ทางไปมหาวิทยาลัยกับทางไปบริษัทคนละทางกันเลยนะคะ หนูไม่อยากให้พี่เสียเวลา” “พี่ไปดูไซต์งานของเจ้าสัว มันผ่านทางนั้นพอดี” “อ้อ” กัญญวราเคยไปที่นั่นมาแล้วหนึ่งเธอจึงไม่ปฏิเสธที่เขาจะไปส่ง “แต่ตอนเย็นไปรับไม่ได้ เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปรับนะคะ” “ไม่เป็นไรค่ะหนูคิดว่าเลิกเรียนแล้วจะไปเดินเที่ยวห้างแล้วก็หาอะไรกินกับเพื่อนค่ะ”