LOGIN“มีมี่ข้าเข้าไปได้แน่หรือ” ไป๋ลี่เฟยฉงนอยู่หน้าประห้องน้องสาวของมีมี่สหายในโลกวิญญาณผู้นี้ คราแรกนางเข้าใจว่าทั้งตึกเป็นจวนประจำสกุลของผีสาวนางนี้ แต่เมื่อรู้ว่าคนในยุคสมัยนี้อยู่ในห้องกันเสียส่วนมากก็ตกใจไม่น้อย
“เข้าได้สิ เจ้าที่แถวนี้น่ะไม่มีพลังขนาดนั้นแล้ว กันเราเข้าไปไม่ได้หรอก” มีมี่ทะลุประตูเข้าไปโดยที่ฉุดไป๋ลี่เฟยตามเข้าไปด้วย
“เห็นไหมว่าเข้าได้” มีมี่ยักคิ้ว
“เหตุใดเจ้าที่ไม่มีพลัง” ไป๋ลี่เฟยยังยึดติดกับคำพูดก่อนหน้าอยู่จึงกล่าวถามเช่นนี้ออกไป
“ก็ไม่มีใครสนใจจะบูชาอะไรแล้วน่ะสิ เหลือแค่ส่วนน้อยเท่านั้น มาเร็วเข้า กำลังเริ่มพอดี” มีมี่ที่เห็นน้องสาวของตนนั่งข้างหลานสาวตรงหน้าโทรทัศน์แล้วก็รีบเรียกให้มาทันที
ไป๋ลี่เฟยก้าวตามไปหยุดตรงที่นั่งซึ่งมีมี่หันมาบอกว่าคือโซฟา แล้วก็นั่งลงเลียนแบบคนทั้งสอง และผียุคอนาคตของนางอีกหนึ่งตน ดวงตาจับจ้องไปที่กล่องสี่เหลี่ยมบางจนเกือบเป็นกระดาษอย่างไม่เข้าใจนัก
“เหตุใดมีคนอยู่ในที่บางเช่นนั้นได้ ช่วยพวกเขาออกมาเร็วเข้า!” คุณหนูไป๋ตกใจสุดขีด แม้จะพบเรื่องประหลาดมากมาย แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้ทำให้นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่นี่จึงกักกังคนไว้ดูเล่นเช่นนี้
“ใจเย็นๆ ลี่เฟยไม่มีใครอยู่ในทีวีหรอกนะ เหมือนเวลาเจ้าวาดทิวทัศน์ก็ไม่มีทิวทัศน์อยู่ในกระดาษจริงๆ ใช่ไหม นี่ก็หลักการเดียวกัน”
เมื่อมีมี่บอกกล่าวว่าในนั้นไม่มีผู้ใดถูกกักขังไป๋ลี่เฟยจึงวางใจ แต่ก็ยังไม่ปล่อยวางสีหน้าฉงนใจตามองดูภาพในกล่องบางนั้นต่อ
ภาพวาดฝีมือปรมาจารย์ก็ไม่เหมือนจริงเช่นนี้ คนสมัยนี้วาดภาพอย่างไรให้ขยับได้ ทั้งยังมีเสียงเพลง
ไป๋ลี่เฟยเมื่อเริ่มชินตากับภาพที่ปรากฎก็ตาติดอยู่กับจอจนไม่อยากจากไปไหน “ผู้นี้ที่เจ้าเรียกนางเอกชื่อเหสือนน้องสาวข้าเลยไป๋ซินหยานก็เป็นลูกแม่รองเหมือนกับนางเข่นกัน” ลี่เฟยหันไปบอกกับมีมี่
“เอ๋…แม่รองหมายถึงฮูหยินรอง ก็เมียน้อยใช่หรือไม่” มีมี่ที่เห็นว่าได้อยู่กับคนในยุคโบราณตัวเป็นๆ(?) ก็เอ่ยถามขึ้น
“จะนับเช่นนั้นก็ไม่ผิดอันใด แต่การเป็นฮูหยินรองก็ไม่ได้เสื่อมเสียอันใด…นั่นมัน” ไป๋ลี่เฟยที่คิดอยากอธิบายต่อก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นความแปลกประหลาดเกิดขึ้น
“มีอันใดผิดไปหรือ” มีมี่หันมาสนใจ
“ข้า…ข้าว่านี่เป็นเรื่องราวของข้า” เมื่อเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาเริ่มทำให้ลี่เฟยคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ก็ตกใจไม่น้อย “นางกล่าวถึงพี่ใหญ่ ข้า และท่านพ่อท่านแม่ แม้กระทั่งบ่าวประจำตัวยังเป็นชื่อเดียวกัน”
“จริงเหรอ แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” มีมี่ตาลุกวาว
“เรื่องนี้คงเล่าในมุมของน้องรองใช่หรือไม่ นางใส่ชุดเช่นนี้เหตุการณ์ต่อไปย่อมเป็นยามที่ข้าและน้องรองเข้าทดสอบระดับพลัง แต่การทดสอบจะเกิดขึ้นเมื่อมีอายุครบสิบสองปี เหตุใดจึงเลือกคนโตกว่ามาเช่นนี้ เรียกอันใดนะ…นักแสดงใช่หรือไม่”
“บางอย่างก็จำเป็นต้องปรับอายุให้เหมาะสม คนในสมัยฉันสิบสองเป็นเด็กอยู่จะเอามาพัวพันกับเรื่องความรักไม่ได้ แล้วก็ทำให้ดำเนินเรื่องได้ดีขึ้นละมั้ง” มีมี่พยายามอธิบาย
“แม้จะยังไม่รักใคร่ แต่สิบสองไม่ต้องมองหาคู่หมั้นหมายหรือ แล้วจะขยายฐานอำนาจครอบครัวกันอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยตกอยู่ในความรู้สึกฉงน หากไม่หาไว้ตั้งแต่สิบสอง แล้วยามมีอายุสิบหกถึงสิบแปดคนที่เหมาะสมไม่หายไปหมดแล้วหรือ
“ก็ไม่ทำน่ะสิ ยกเว้นคนรวยมากๆก็คงยังมี แต่คนส่วนใหญ่แล้วแต่งงานด้วยความรัก ดูต่อเถอะ กำลังสนุก” มีมี่ยิ้มตอบ
คุณหนูไป๋ที่พยายามหาเหตุผลว่าเหตุใดเรื่องราวของไป๋ซินหยานจึงได้ถูกนำมาเล่าขานยังที่แห่งนี้เท่าใดก็คิดไม่ออก เพราะน้องคนรองของนางผู้นี้นอกจากรูปโฉมที่งดงามกว่าพี่น้อยคนอื่นอยู่นิดหน่อยก็หาได้มีอันใดที่จะโดดเด่นเกินหน้าผู้อื่นสักเท่าใดนัก ระดับพลังแม้ไม่สามัญแต่ก็ไม่นับว่าสูง ความสามารถทางการรักษาไม่ปรากฎ
หรือน้องรองได้เป็นฮูหยินของผู้ยิ่งใหญ่สักคน…ต้องเป็นเช่นนี้แน่
ไป๋ลี่เฟยลอบยิ้มให้ชะตาของน้องสาว หากองค์ชายสามเรียกวิญญาณของนางกลับไปไม่สำเร็จ อย่างน้อยลี่เฟยก็จะได้รู้เสียทีว่าคนอย่างน้องรองผู้ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้ใดจะพ่ายแพ้ให้กับความรักได้น่าเอ็นดูเช่นไร
เท่าที่ไป๋ลี่เฟยรับรู้องค์ชายหกนั้นดีต่อนางมากเป็นพิเศษกว่าผู้อื่น และมีคุณชายชั้นสูงมาเมียงมองอยู่บ้าง แต่นอกเหนือจากนี้ลี่เฟยก็ไม่เคยเห็นซินหยานมีท่าทีตอบกลับให้แก่ผู้ใด
“ลี่เฟย…เธอมาแล้ว ดูนั่นคนที่อยู่ในชุดสีขาวแสดงเป็นเธอ” เสียงของมีมี่ดังขึ้นเรียกไป๋ลี่เฟยออกจากภวังค์
ลี่เฟยจับจ้องไปที่สตรีในอาภรณ์สีขาวปักลายด้วยด้ายแดงดูงดงาม จะติดอยู่อย่างเดียวคือหน้าตาของสตรีที่มาแทนตัวนางนั้นจืดจางซีดเซียวกว่าสีอาภรณ์เสียอีก
ต่อให้น้องรองจะงดงามกว่าแต่ตัวข้าก็ไม่ได้จืดชืดเช่นนี้นะ!
“มีมี่ข้าจืดจางเช่นนั้นเลยหรือ เหตุใดจึง…” ลี่เฟยหันไปถาม ปัดผมที่ปรกหน้าออกให้มีมี่มองได้ชัดเจน
“เธอสวยกว่านั่นแหละ แค่ตอนนี้หน้าซีดไปหน่อย ปกติของคนตาย ไม่ต้องคิดมาก เวลาเลือกนางรอง เขาก็ต้องเลือกให้สวยน้อยกว่านางเอกจะได้ไม่แย่งความโดดเด่นไป” มีมี่ขบขันสตรีที่ไม่พอใจในนักแสดงที่ถ่ายทอดตนเอง
“แต่…เช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับข้าเลย ผู้คนไม่คิดกันไปหมดแล้วหรือว่าข้าไร้ซึ่งความงาม แม้จะไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่ง แต่หากถามถึงแม่นางที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ข้าเองก็อยู่ภายในสี่อันดับแรกเช่นกันนะ” ลี่เฟยหงุดหงิดไม่น้อยความสำคัญของนางดูน้อยจนหน้าใจหาย แล้วยังต้องทนกับความอึดอัดเช่นนี้อีก
ตลอดชีวิตของไป๋ลี่เฟยทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แม้กระทั่งนิสัยของนางยังต้องเป็นไปตามแบบแผน ชีวิตมากด้วยเหตุผลรองรับ คิดจะทำสิ่งใดตามใจย่อมไม่เคยเกิดขึ้น
“เขาอาจจะเล่นเก่งก็ได้ ถ้าแสดงดีรับบทไหนๆ ก็คงตีความออกมาได้น่าสนใจ” มีมี่พยายามพูดปลอบใจลี่เฟยที่มีสีหน้าหม่นหมองลง
ลี่เฟยเพียงแค่ยิ่มตอบบางๆ ภาพบนสิ่งที่มีมี่เรียกว่าจอ กำลังฉายภาพในตอนทดสอบพลังของตัวนางและน้องรอง หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปที่ซินหยานหลบหลีกออกจากลานทดสอบ
น้องรองจะไปไหนกัน…
เมื่อจบตอนแรกรายละเอียดมากมายที่ไป๋ลี่เฟยไม่เคยได้รับรู้ก็ถึงคราวได้รู้เห็น “มีมี่ข้าขอมาดูจนกว่าจะจบได้หรือไม่ มีหลายอย่างที่ข้าต้องได้รู้”
“ได้สิ อยู่ที่นี่แหละ”
หลังน้องสาวของมีมี่ปิดให้จอมืดสนิทลงลี่เฟยก็ต้องอยู่กับความคิดของตนอย่างเลี่ยงไม่ได้
น้องรองสนิทกับองค์ชายหกมาก่อน ทั้งองค์ชายสามก็ดูจะสนใจนาง…หมายความว่าอะไรกันแน่
บทพิเศษ 4 บรรจบเป็นวงกลมในที่สุดสหายรักของไป๋ลี่เฟยก็เดินทางถึงเมืองหลวงในแคว้นจ้าวอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเสียที หลังเดินทางเข้ามาถึงตงหม่าจางต้องทำเรื่องขอกลับเข้าเป็นองครักษ์ ส่วนฉือจี้ผ่าก็จำเป็นต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมให้บิดามานดาของนางเห็นหน้ามากหน่อย กว่าจะได้มาพบปะสหายทั้งหลาย เวลาก็ผ่านไปเกือบรอบจันทร์แล้ว“ข้ามาแล้ว” จี้ผ่าเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในร้านประมูลของแม่นางอูที่เปิดขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน“จี้ผ่า คิดถึงเจ้านัก” ลี่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่มิได้ร่ำลากัน”“โชคยังดีที่มีโอกาสได้กลับมา” จี้ผ่ายิ้มเล็กน้อย“และโชคดีที่พวกเจ้าออกมาหาข้าได้ มิเช่นน
บทพิเศษ 3 งานปักผ้าของจี้ผ่าชีวิตของฉือจี้ผ่าและตงหม่าจางหลังออกจากเมืองหลวงมิได้ลำบากนัก ด้วยทรัพสินเงินทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ติดตัวมิได้น้อยเลย หากจะมีลำบากก็เพราะตงหม่าจางต้องติดสินบนปลอมแปลงเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อผ่านทางไปยังแคว้นอื่นที่สงบจากภัยสงครามในขณะนี้แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วทั้งสองก็เลือกปักหลักอยู่ที่เมืองทางทิศใต้ของทะเลสาบต้งถิง เป็นเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมามาก จึงทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองสามารถกลืนไปกับผู้คนในเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก จวนที่ซื้อต่อจากสกุลวานิชเล็กๆ สกุลหนึ่ง กลายเป็นบ้านใหม่ของคู่สามีภรรยาเยาว์วัยคู่นี้ทุกๆ วันตงหม่าจางจะเข้าป่าเพื่อสร้างสถานที่เก็บตำราของฮ่องเต้ พร้อมกับคิดค้นกับดักและร่ายอักขระไว้ปกป้องตำราภายในด้วย ส่วนจ
บทพิเศษ 2 ความร้อนในกายช่วยให้อบอุ่นโจวเฉิงจับข้อมือของไป๋ลี่เฟยอ้าออกก่อนจะก้มลง เพื่อใช้ลิ้นร้อนฉ่าทักทายยอดบัวชมพูอย่างตั้งใจ อีกมือหนึ่งผละจากท่อนแขนมากอบกุบความนุ่มนวลตรงหน้านี้ สลับข้างไปมาอย่างคนถูกมอมเมามิอาจละตัวให้ห่างไปได้เลย“อ๊ะ..พะ พี่” ลี่เฟยที่ถูกจู่โจมเช่นนี้รู้สึกวูบวาบจนเริ่มหายใจติดขัด จะกล่าววาจาใดก็ไม่ถนัดดังเช่นยามปกติเห็นเช่นนั้นท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวไป๋ลี่เฟยให้ขึ้นไปนั่งยังบริเวณขอบบ่อ หยดน้ำพราวเกาะบนผิวยิ่งทำให้ร่างกายนี้เย้ายวนเหนือบรรยาย ใบหน้าของชายหนุ่มไล่สายตาจนมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายของไป๋ลี่เฟย“เฟยเฟยอ้าขาออก”
บทพิเศษ 1 พักตากอากาศเมืองซุ่ยปาคือจุดมุ่งหมายที่สองบิดามารดามือใหม่ตั้งใจจะไปพักผ่อนให้สบายจิตใจ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสงบมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขุนนางที่ปลดระวางตนเองจากตำแหน่งหน้าที่แล้วมาอยู่อาศัย ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เพื่อให้สะดวกหากมีขุนนางคนใดอยากเข้ามาปรึกษาหารือประเด็นต่างๆเมืองซุ่ยปามีทิวเขางดงาม ป่าไม่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น สตรีมีครรภ์และผู้มีอายุจึงนิยมมาอาศัยในเมืองแห่งนี้เพื่อบำรุงร่างกาย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวมีเพียงอากาศที่เย็นกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของแคว้นอย่างน่าประหลาดจ้าวโจวเฉิงจับจูงไป๋ลี่เฟยให้เดินชมสวนของจวนไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนี้ “ชอบหรือไม่”
บทที่ 67 คลี่คลายง่ายนัก“ท่านหมอ พอรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยถามออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เว้นช่วงให้หมอเทวดาตอบ นางก็มิอาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อไป“พระชายาไป๋ นั่งลงก่อน” หมอเทวดาดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นความท้าทายในการรักษาถึงสองอาการ คนหนึ่งหลับไปเฉยๆ โดยที่มิได้รับความบาดเจ็บใด ส่วนอีกผู้หนึ่งอาเจียนเป็นเลือด แต่ยังเดินเหินและดูแข็งแรงปกติไป๋ลี่เฟยนั่งลงให้ท่านหมอตรวจอาการ และไม่ลืมนำน้ำหกธาตุพิชิตออกมาให้หมอเทวดาผู้นี้ดู ก่อนจะเล่าว่าอาการของตนและองค์ชายหกเกิดได้อย่างไร แต่มิได้บอกความมหัศจรรย์ของพิษจิตแตก บอกแต่เพียงว่าเป็นพิษ“วิเศษนัก” ท่านหมอกล่าวระหว่างยกขวดโอสถขึ้นมาส่องดู ก่อนจะวางลงข้างกาย “อาการขององค์ชายหก
บทที่ 66 ความสุขกลับคืนทีละน้อยเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าองค์รัชทายาทต้องการพาพระชายาไปพักผ่อนให้เป็นส่วนตัว จึงมิได้ให้องครักษ์คนใดติดตามไป เกิดเป็นเรื่องราวน่าใจหายองค์ชายถูกสัตว์รุมกัด มีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือด ส่วนไท่จื่อเฟยก็หนีอยากหวาดกลัว กล่าวกับผู้คนว่าองค์ชายปกป้องตนเองจนตัวตายท่าทางของพระชายาคนงามดูอ่อนแอบอบบางจนมีแต่ผู้คนสงสาร เล็บมือเล็บเท้าของสตรีสูงศักดิ์ฉีกขาดเพราะการหนีตาย ยิ่งทำให้หมดข้อสงสัยว่าไป๋ซินหยานมีส่วนรู้เห็นกับการตายขององค์ชายสาม ช่วงเวลาต่อมาวังเมฆาแสงจันทร์ถูกปิดตาย ด้วยคำสั่งพระชายามีเพียงหมอหลวง และคนจากสกุลเดิมเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกวังแห่งนี้ได้ ส่วนตัวไป๋ซินหยานเองก็ออกมาด้ายนอกเพียงเพื่อร่วมพิธีศพเท่านั้น“ซินหยาน เป็







