LOGINการทดสอบส่วนตัวทำให้อาจารย์โฉ่ถึงกับกุมขมับวิชาทั้งหมดที่ศิษย์สืบทอดคนหนึ่งควรได้เรียนรู้ ไป๋ลี่เฟยได้เรียนรู้ไปทั้งหมดแล้ว ทั้งยังมีแบบฉบับที่ประยุกต์วิชาเองอีกด้วย หากจะบอกว่าภาคภูมิใจโฉ่โม่จินกลับไม่มีความทรงจำใดกับเด็กหญิงตรงหน้า มีเพียงความผูกพันที่อธิบายไม่ได้เท่านั้น
“หากอาจารย์จะสอนสั่งข้าในแนววิชาเดิมข้าขอยืนยันว่าข้าเรียนจากอาจารย์มาหมดสิ้นแล้ว ทั้งยังมีเวลาหลังจากนั้นเพื่อเสาะหาตำรามาฝึกเพิ่มเอง” ลี่เฟยยิ้มแย้มก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนออก
“ที่จริงแล้ว…ยังมีสิ่งที่ข้าไม่ได้สอนศิษย์ทั้งหมดอยู่”
“อันใดกันหรืออาจารย์” ไป๋ลี่เฟยเอียงหน้าถาม
โฉ่โม่จินยังไม่ได้ตอบอันใดออกไป แต่เลือกจะนำไป๋ลี่เฟยลงไปยังห้องเก็บตำราใต้ดิน ภายในมีห้องฝึกตนลับซ่อนอยู่หลังชั้นตำรา แม้ในชาติภพที่แล้วไป๋ลี่เฟยจะเคยมายังห้องเก็บตำราแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องเช่นนี้อยู่
“อาจารย์…นี่มันอันใด” ลี่เฟยชะงักค้างอยู่บริเวณทางเข้า ภายในห้องลับกว้างเสมือนมีสำนักศึกษาอีกแห่งหนึ่งอยู่ภายใน
“เหตุที่ข้ายังเป็นอาจารย์อาวุโสผู้เดียวที่อยู่ในระดับสีเหลืองขั้นต่ำ เป็นเพราะต้องแบ่งปราณมาพยุงมิตินี้เอาไว้ วิชานี้ยังไม่มีชื่อเรียกอันใด ข้าประยุกต์ขึ้นจากตำราโบราณถึงสามเล่ม”
“ท่านอาจารย์สอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หากฝึกวิชาในตำราโบราณเหล่านี้ได้สามในสิบส่วน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป” อาจารย์โฉ่พยักหน้าให้แก่ไป๋ลี่เฟย “วิชาแรกที่เจ้าต้องฝึกคือวิชาสวมธาตุ…จริงสิเจ้ามีธาตุอันใดบ้าง”
“ข้าเป็นผู้ใช้ธาตุลม ธาตุน้ำ และธาตุดินเจ้าค่ะ”
“สามธาตุเชียวหรือ เช่นนี้อาจง่ายดายหน่อย” อาจารย์นำตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งออกมาจากมิติ
“คล้ายวิชายืมธาตุหรือไม่เจ้าคะ” ลี่เฟยรับม้วนกระดาษที่เก่าจนกลัวว่าจะแหลกคามือมาถือ
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่ตอบสิ่งที่สงสัยจึงก้มลงอ่านข้อมูลที่ปรากฎในตำรา วิชาสวมธาตุจะว่าคล้ายกับวิชายืมธาตุก็คล้ายอยู่ เพราะเป็นการใช้ธาตุที่ตนเองไม่มีในกาย หากแต่การยืมธาตุจะต้องมีผู้ร่วมต่อสู้ที่มีธาตุเหล่านั้นอยู่ใกล้จึงจะสามารถหยิบยืมได้
ไป๋ลี่เฟยเบิกตาโพลง “คนเราสามารถเพิ่มธาตุในกายได้โดยไม่ต้องยืมหรือเจ้าคะ เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นไปได้หรือ”
“เป็นไปได้แน่นอน ก่อนจะสร้างมิตินี้ อาจารย์เองต้องมีครบทั้งหกธาตุในกาย การสวมธาตุโดยไม่หยิบยืมจากผู้อื่นย่อมเป็นไปได้ แต่จะคงไว้ได้นานเพียงใดก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง”
หกธาตุ! ดิน น้ำ ลม ไฟ มืด แสง อาจารย์สุดยอดเกินไปแล้ว
ชาติก่อนนางช่างโง่เขลาคิดว่าสิ่งที่ตนรู้คือทั้งหมดที่โลกนี้มีแล้ว ความจริงอาจารย์โฉ่เคยทาบทามว่านางต้องการศึกษาต่อหรือไม่ แต่นางปฏิเสธเพื่อเริ่มออกตามหาสุสานจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมือเป็นเท้าให้องค์ชายสามผู้นั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าใต้ร่างตนมีวิชาที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันรออยู่
“ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” ไป๋ลี่เฟยตกปากรับคำ หากนางเรียนรู้วิชาเหล่านี้ แม้คนหน้าหนาผู้นั้นจะได้น้ำหกธาตุพิชิตไปครองก็ไม่แน่ว่านางอาจพอจะต่อกรได้
“เช่นนั้นจำเป็นต้องดื่มน้ำร่วมสาบานกับศิษย์พี่ผู้เป็นคู่ฝึกเสียก่อน วิชาเช่นนี้ถือเป็นความลับสูงสุด”
“ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
เมื่อทำความเข้าใจกันได้ดังนั้นอาจารย์โฉ่ก็ให้นางรออยู่ในมิติลับ ไป๋ลี่เฟยจึงถือโอกาสลอบสำรวจมิตินี้ คล้ายว่าอาจารย์โฉ่สร้างมิติที่มีครบครันทุกฤดูกาล และสภาพภูมิประเทศเพื่อให้ผู้ฝึกแข็งแกร่งในทุกสภาวะแวดล้อม แต่นั่นก็เพียงส่วนที่นางมองเห็นเท่านั้นด้านหลังจะเป็นอันใด นางก็มิอาจมองต่อไปได้
“ศิษย์น้อง ไม่คิดว่าคู่ฝึกที่อาจารย์โฉ่ให้รอคอยจะเป็นเจ้า” ตงหม่าจางเอ่ยทัก
“ศิษย์พี่ตง” ลี่เฟยก้มหัวให้น้อยๆ ทีหนึ่ง
“ก่อนเผยความลับของกันและกันพวกเจ้าจงดื่มน้ำร่วมสาบานเป็นพี่น้องเสีย” อาจารย์โฉ่กล่าวจบก็ยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งมาให้ แล้วผายมือให้ศิษย์ทั้งสองไปยืนอยู่ข้างอ่างน้ำ
ไป๋ลี่เฟยหยิบมีดมากรีดกลางฝ่ามือ “อ๊ะ” เสียงร้องแทนความเจ็บปวดเปล่งออกมาเล็กน้อย ก่อนลี่เฟยจะกันฟันกลืนเสียงนั้นลงไป นางยื่นมีดให้หม่าจางที่กรีดลงไปฉับเดียวโดยไม่มีเสียงร้องใดเล็ดรอดออกมา ทั้งสองประสานมือกัน เลือดของศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองหยดลงในอ่างจากสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนจะสลายตัวผสมกับน้ำ
“ข้าตงหม่าจางขอสาบานเป็นพี่น้องกับไป๋ลี่เฟย จากนี้นับเป็นสายโลหิตจากครรภ์เดียวกัน”
“ข้าไป๋ลี่เฟยขอสาบานเป็นพี่น้องกับตงหม่าจาง จากนี้นับเป็นสายโลหิตจากครรภ์เดียวกัน”
“หลังจากนี้กล่าวพร้อมกัน” อาจารย์โฉ่สั่งก่อนจะกล่าวนำ “ความของพี่คือความของน้อง ความของน้องคือความของพี่ ตราบลมหายใจสิ้นมิเผยความลับ ไม่หักหาญใจ ไม่เข้าศัตรู”
“ความของพี่คือความของน้อง ความของน้องคือความของพี่ ตราบลมหายใจสิ้นมิเผยความลับ ไม่หักหาญใจ ไม่เข้าศัตรู” ทั้งสองเสียงกล่าวประสานกัน เมื่อทั้งสองกล่าวคำสาบานจบก็ใช้จอกชาตักน้ำในอ่างซดพร้อมกัน และตักอีกจอกราดแผลบนมือตามที่อาจารย์สั่งถือเป็นอันเสร็จสิ้น
ทว่าความน่าประหลาดใจหลายประการทำให้สีหน้าของหม่าจางคล้ายคนขบคิดไม่ตก น้ำจอกนั้นสมานแผลทันที เสมือนว่าไม่เคยถูกกรีด และยังมีสีของปราณที่ปรากฎอีก
“เหตุใดปราณจึงออกมาเป็นสีเขียวดังเดิม หรือเป็นเพราะผราณข้ากลบปราณของศิษย์น้องขอรับ” ตงหม่าจางหันไปสอบถามความกับอาจารย์โฉ่ เพราะหากปราณผสมกันตามความเข้าใจของหม่าจาง มันย่อมต้องออกมาเป็นสีอื่น
“นางปกปิดพลังปราณไว้ แท้จริงศิษย์น้องของเจ้าปราณอยู่สีเขียวขั้นกลาง” โฉ่โม่จินกล่าว
“เช่นนี้เจ้า…สูงกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่ง มิน่าเล่า” หม่าจางพยักหน้าเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดไป๋ลี่เฟยผู้นี้ จึงได้ถูกทาบทามมาเรียนวิชาพิเศษนี้ตั้งแต่แรก เพราะสำหรับตัวเขาเหตุที่ได้โอกาส เป็นเพราะกินนอนอยู่ในสำนักจึงทำให้ทั้งชีวิตมีแต่การฝึกฝน รู้ตัวอีกคราก็ร่ำเรียนวิชาไปจนทัดเทียมศิษย์ที่ต้องจบการศึกษาแล้ว
ส่วนความลับของตงหม่าจางนั้นแทบจะทำให้ไป๋ลี่เฟยล้มทั้งยืน คนผู้นี้เป็นผู้ใช้ธาตุถึงห้าธาตุ โชคยังดีที่อาจารย์โฉ่สงสัยในความไม่เสถียรของพลังจึงลอบพาไปวัดนอกเวลา
เมื่อพบว่าธาตุภายในขาดเพียงธาตุมืดจึงสอนสั่งวิชาปกปิดธาตุ เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไปก่อนที่ตงหม่าจางจะเข้มแข็งพอ ย่อมต้องถูกล่ามตรวนไว้ให้ผู้อื่นขูดรีดพลังธาตุมาใช้ตามอำเภอใจ ยิ่งมิได้มาจากสกุลชั้นสูง การมีความพิเศษมากเกินไปนับเป็นเรื่องอันตราย
พี่น้องร่วมสาบานหมาดๆ สบมองตากัน ต่างคนต่างเรื่องราวแต่กลับเผยความพิเศษของตนออกไปไม่ได้เช่นเดียวกัน อาจารย์โฉ่ออกไปแล้วปล่อยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนตามคำแนะนำที่ให้ไว้ ในอีกรอบพระจันทร์จึงจะเรียกทดสอบความคืบหน้า ทั้งตงหม่าจางและไป๋ลี่เฟยศิษย์ที่รู้วิชาครบครันจึงวางใจให้ฝึกฝนกันเอง
ก่อนที่จะเริ่มฝึกไป๋ลี่เฟยตัดสินใจเรียกตงหม่าจางเอาไว้ก่อน “ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวต่อศิษย์พี่…”
บทพิเศษ 4 บรรจบเป็นวงกลมในที่สุดสหายรักของไป๋ลี่เฟยก็เดินทางถึงเมืองหลวงในแคว้นจ้าวอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเสียที หลังเดินทางเข้ามาถึงตงหม่าจางต้องทำเรื่องขอกลับเข้าเป็นองครักษ์ ส่วนฉือจี้ผ่าก็จำเป็นต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมให้บิดามานดาของนางเห็นหน้ามากหน่อย กว่าจะได้มาพบปะสหายทั้งหลาย เวลาก็ผ่านไปเกือบรอบจันทร์แล้ว“ข้ามาแล้ว” จี้ผ่าเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในร้านประมูลของแม่นางอูที่เปิดขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน“จี้ผ่า คิดถึงเจ้านัก” ลี่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่มิได้ร่ำลากัน”“โชคยังดีที่มีโอกาสได้กลับมา” จี้ผ่ายิ้มเล็กน้อย“และโชคดีที่พวกเจ้าออกมาหาข้าได้ มิเช่นน
บทพิเศษ 3 งานปักผ้าของจี้ผ่าชีวิตของฉือจี้ผ่าและตงหม่าจางหลังออกจากเมืองหลวงมิได้ลำบากนัก ด้วยทรัพสินเงินทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ติดตัวมิได้น้อยเลย หากจะมีลำบากก็เพราะตงหม่าจางต้องติดสินบนปลอมแปลงเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อผ่านทางไปยังแคว้นอื่นที่สงบจากภัยสงครามในขณะนี้แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วทั้งสองก็เลือกปักหลักอยู่ที่เมืองทางทิศใต้ของทะเลสาบต้งถิง เป็นเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมามาก จึงทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองสามารถกลืนไปกับผู้คนในเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก จวนที่ซื้อต่อจากสกุลวานิชเล็กๆ สกุลหนึ่ง กลายเป็นบ้านใหม่ของคู่สามีภรรยาเยาว์วัยคู่นี้ทุกๆ วันตงหม่าจางจะเข้าป่าเพื่อสร้างสถานที่เก็บตำราของฮ่องเต้ พร้อมกับคิดค้นกับดักและร่ายอักขระไว้ปกป้องตำราภายในด้วย ส่วนจ
บทพิเศษ 2 ความร้อนในกายช่วยให้อบอุ่นโจวเฉิงจับข้อมือของไป๋ลี่เฟยอ้าออกก่อนจะก้มลง เพื่อใช้ลิ้นร้อนฉ่าทักทายยอดบัวชมพูอย่างตั้งใจ อีกมือหนึ่งผละจากท่อนแขนมากอบกุบความนุ่มนวลตรงหน้านี้ สลับข้างไปมาอย่างคนถูกมอมเมามิอาจละตัวให้ห่างไปได้เลย“อ๊ะ..พะ พี่” ลี่เฟยที่ถูกจู่โจมเช่นนี้รู้สึกวูบวาบจนเริ่มหายใจติดขัด จะกล่าววาจาใดก็ไม่ถนัดดังเช่นยามปกติเห็นเช่นนั้นท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวไป๋ลี่เฟยให้ขึ้นไปนั่งยังบริเวณขอบบ่อ หยดน้ำพราวเกาะบนผิวยิ่งทำให้ร่างกายนี้เย้ายวนเหนือบรรยาย ใบหน้าของชายหนุ่มไล่สายตาจนมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายของไป๋ลี่เฟย“เฟยเฟยอ้าขาออก”
บทพิเศษ 1 พักตากอากาศเมืองซุ่ยปาคือจุดมุ่งหมายที่สองบิดามารดามือใหม่ตั้งใจจะไปพักผ่อนให้สบายจิตใจ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสงบมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขุนนางที่ปลดระวางตนเองจากตำแหน่งหน้าที่แล้วมาอยู่อาศัย ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เพื่อให้สะดวกหากมีขุนนางคนใดอยากเข้ามาปรึกษาหารือประเด็นต่างๆเมืองซุ่ยปามีทิวเขางดงาม ป่าไม่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น สตรีมีครรภ์และผู้มีอายุจึงนิยมมาอาศัยในเมืองแห่งนี้เพื่อบำรุงร่างกาย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวมีเพียงอากาศที่เย็นกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของแคว้นอย่างน่าประหลาดจ้าวโจวเฉิงจับจูงไป๋ลี่เฟยให้เดินชมสวนของจวนไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนี้ “ชอบหรือไม่”
บทที่ 67 คลี่คลายง่ายนัก“ท่านหมอ พอรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยถามออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เว้นช่วงให้หมอเทวดาตอบ นางก็มิอาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อไป“พระชายาไป๋ นั่งลงก่อน” หมอเทวดาดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นความท้าทายในการรักษาถึงสองอาการ คนหนึ่งหลับไปเฉยๆ โดยที่มิได้รับความบาดเจ็บใด ส่วนอีกผู้หนึ่งอาเจียนเป็นเลือด แต่ยังเดินเหินและดูแข็งแรงปกติไป๋ลี่เฟยนั่งลงให้ท่านหมอตรวจอาการ และไม่ลืมนำน้ำหกธาตุพิชิตออกมาให้หมอเทวดาผู้นี้ดู ก่อนจะเล่าว่าอาการของตนและองค์ชายหกเกิดได้อย่างไร แต่มิได้บอกความมหัศจรรย์ของพิษจิตแตก บอกแต่เพียงว่าเป็นพิษ“วิเศษนัก” ท่านหมอกล่าวระหว่างยกขวดโอสถขึ้นมาส่องดู ก่อนจะวางลงข้างกาย “อาการขององค์ชายหก
บทที่ 66 ความสุขกลับคืนทีละน้อยเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าองค์รัชทายาทต้องการพาพระชายาไปพักผ่อนให้เป็นส่วนตัว จึงมิได้ให้องครักษ์คนใดติดตามไป เกิดเป็นเรื่องราวน่าใจหายองค์ชายถูกสัตว์รุมกัด มีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือด ส่วนไท่จื่อเฟยก็หนีอยากหวาดกลัว กล่าวกับผู้คนว่าองค์ชายปกป้องตนเองจนตัวตายท่าทางของพระชายาคนงามดูอ่อนแอบอบบางจนมีแต่ผู้คนสงสาร เล็บมือเล็บเท้าของสตรีสูงศักดิ์ฉีกขาดเพราะการหนีตาย ยิ่งทำให้หมดข้อสงสัยว่าไป๋ซินหยานมีส่วนรู้เห็นกับการตายขององค์ชายสาม ช่วงเวลาต่อมาวังเมฆาแสงจันทร์ถูกปิดตาย ด้วยคำสั่งพระชายามีเพียงหมอหลวง และคนจากสกุลเดิมเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกวังแห่งนี้ได้ ส่วนตัวไป๋ซินหยานเองก็ออกมาด้ายนอกเพียงเพื่อร่วมพิธีศพเท่านั้น“ซินหยาน เป็







