LOGINไป๋ลี่เฟยยิ้มบางเบาส่งออกไป หากนางจะต่อกรกับคนระดับองค์ชาย พรรคพวกเช่นนี้คือพรจากฟ้า ลี่เฟยตัดสินใจบอกกล่าวความจริงว่าตัวนางนั้นได้ใช้ชีวิตนี้เป็นครั้งที่สอง ยกเว้นไว้เฉพาะเรื่องราวการหักหลังเพื่อน้ำหกธาตุพิชิตไว้ บอกเพียงว่าองค์ชายสามคือบุคคลผู้ไม่สมควรได้ครอบครองบัลลังก์
“…” ตงหม่าจางอ้าหุบปากคล้ายจะพูดบางสิ่ง แต่ก็กลืนคำเหล่านั้นลงไป สลับกันอยู่เช่นนี้
“ศิษย์พี่พูดมาเถิด ข้ารู้ว่าเรื่องเช่นนี้เชื่อถือได้ยาก” ไป๋ลี่เฟยยิ้มแห้งส่งไป เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดเห็นอย่างไร
“เช่นนี้…ข้าควรเป็นศิษย์น้องหรือศิษย์พี่กัน” ตงหม่าจางยกมือเกาขมับเบาๆ หากลี่เฟยย้อนเวลากลับมาดวงจิตในร่างย่อมต้องมากอาวุโสกว่า
“ฮ่าๆ ข้าเป็นศิษย์น้องจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“หากเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามใจ แล้วเจ้าย้อนกลับมานี้ เพื่อขัดขวางองค์ชายสามหรือ” ตงหม่าจางที่แม้จะรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แต่หากอาจารย์เชื่อถือนาง ก็ไม่มีเหตุอันใดให้เขาต้องสงสัย
“เป็นเช่นนั้น แม้ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ไม่ควรเป็นคนเห็นแก่ตัวกระหายอำนาจเช่นจ้าวหลินไฉ่” ไป๋ลี่เฟยมานั่งครุ่นคิด หากเรื่องราวที่ปรากฎบนกล่องสี่เหลี่ยมคือบันทึกของซินหยานและทหารผู้นั้น เรื่องการครองราชย์ขององค์ชายสามพวกเขาจะแต่งเติมให้ดูดีอย่างไรก็ได้ ด้วยนิสัยของหลินไฉ่การเป็นฮ่องเต้ผู้ยุติธรรมดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย
“เช่นนั้นน้องสาวของข้า เรามีงานการให้ทำอีกมาก เริ่มต้นกันเถิด” หม่าจางหยิบม้วนตำราขึ้นมา อ่านวิธีการเดินปราณ แล้วเริ่มต้นการฝึกขั้นแรกในทันที
.
.
.
สามวันผ่านไป ก็วนมาถึงวันหยุดพักผ่อนของศิษย์ในสำนักศึกษาหลวง ในโลกแห่งนี้แบ่งการศึกษาและทำงานไว้สี่วัน และวันพักผ่อนสามวัน
องค์ชายหกส่งเทียบเชิญผ่านพี่ชายของลี่เฟย ให้พี่น้องบุตรฮูหยินเอกแห่งบ้านสกุลไป๋ ไปเที่ยวเล่นที่วังลมพฤกษาของเขา
นั่นทำให้ไป๋ลี่เฟยต้องตื่นแต่เช้า ทั้งที่ต้องการจะพักผ่อนต่ออีกเสียหน่อย การฝึกตำราโบราณนั้นไม่ง่ายเลย แม้จะอ่านอักษรโบราณเหล่านั้นได้ แต่ข้อความที่ปรากฎมิได้บอกวิธีการอย่างชัดเจน ต้องให้ผู้ฝึกฝนนำมาตีความอีกทอดหนึ่งก่อนจึงต้องลองฝึกลองถูกกันหลายขั้น แต่หากจะให้อาจารย์ชี้หนทางถอดความหมาย ทั้งนางและหม่าจางคงหมดสนุก
“ข้าขอหลับพักสายตาสักหน่อย พี่ชายปลุกข้าด้วยนะเจ้าคะ จูจูหากพี่ชางไม่ปลุกเจ้าก็ปลุกข้าด้วย” ไป๋ลี่เฟยที่คิดฟุ้งซ่านจนง่วงงุนหลับไหลบนรถม้าที่โยกไหวคล้ายมีคนไกวเปลไปในที่สุด
.
.
.
แต่ยังไม่ทันจะต้องให้ใครปลุกจากห้วงฝันลี่เฟยลืมตาขึ้นมาดั่งรู้ล่วงหน้า นางกระพริบตาไล่ความง่วงงุนในจังหวะที่รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านป้ายสลักอักษรสีทองวาววับบ่งบอกฐานะเจ้าของจวน หากไม่รู้มาก่อนว่าองค์ชายหกมีสถานะกำเนิดที่ไม่ใคร่จะสูงส่ง คงอดคิดไม่ได้ว่าจ้าวโจวเฉิงผู้นี้ต่างหากที่ถูกวางตัวไว้เป็นองค์รัชทายาท
รถม้ามาจอดอยู่ด้านหน้าสวนเขียวขจีสลับกับสีของดอกไม้ที่ออกดอกแข่งขันกันเต็มบริเวณ ทำให้วังขององค์ชายหกดูมีความเป็นส่วนตัวบดบังสายตาสอดรู้ และสวนสวยยังได้โอ้อวดความงามต่อผู้มาติดต่อเป็นสิ่งแรกอีกด้วย
“ไป๋ช่างชาง ไป๋ลี่เฟย พวกเจ้ามากันแล้ว ไปนั่งบนศาลากันเถิด ข้าเตรียมของว่าง และน้ำชาไว้ให้ชิมเสียมากมาย” จ้าวโจวเฉิงที่เดินออกมาจากสวนเอ่ยทักสองพี่น้องไป๋
“ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ” ไป๋ลี่เฟยยอบกายทำความเคารพ ผิดกับไป๋ช่างชางที่เป็นสหายมานานจึงค้อมหัวลงเล็กน้อยเท่านั้น
“ลี่เฟยไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น อย่างไรก็คนกันเอง” โจวเฉิงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะแตะเบาๆ ให้นางยืดตัวขึ้น
“เพคะ” ลี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดองค์ชายจึงดูถึงเนื้อถึงตัว แค่รถม้าเลี้ยวเข้าจวนมา ก็สร้างความเคลือบแคลงต่อ ‘ความรัก’ ของตัวนางและองค์ชายสามได้แล้ว
หรือว่า…คุณหนูเสิ่นอยู่ด้วยงั้นหรือ
ทั้งสองเดินตามองค์ชายผู้เป็นใหญ่ในจวนนี้จนไปถึงศาลากลางสวน ไป๋ลี่เฟยก็พบกับสาเหตุที่นางและพี่ชายจำต้องมา ‘เที่ยวเล่น’ ในวังลมพฤกษาแห่งนี้เข้าแล้ว
อยู่จริงสินะ ข้าคงต้องเพิ่มเงื่อนไขหน่อยแล้ว…หากจะเรียกมารับมือเช่นนี้ สมควรบอกให้รู้ก่อนล่วงหน้า
“คุณหนูเสิ่น วันนี้มาที่วังลมพฤกษาด้วยหรือ” ไป๋ช่างชางเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นก่อน ตามนิสัยที่ชอบเข้าหาคนของเจ้าตัว
“เจ้ามีตาก็เห็นอยู่จะถามทำไมเจ้าคะ” เสิ่นหรงฮวาที่เห็นว่าวันนี้นางหมดโอกาสที่จะใช้เวลาส่วนตัวกับจ้าวโจวเฉิงก็ยกแขนขึ้น กอดอกแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเปิดเผยออกมา
“คุณหนูเสิ่นไม่สบอารมณ์เช่นนี้พาข้าเดินดูรอบสวนได้หรือไม่ จะได้สงบใจลงนะเจ้าคะ” ลี่เฟยโยนคำถามที่รู้ว่านางจะปฏิเสธออกไป แต่อย่างไรถูกเรียกมาจัดการให้ออกห่างก็สมควรลองดูหน่อย
“ไม่เอา ข้ามาที่วังบ่อยแล้ว มิได้อยากดูสิ่งใด ข้าไม่อยากเดิน” หรงฮวากล่าวโดยไม่มองมาเสียด้วยซ้ำ เสมือนเป็นการสื่อว่าตัวไป๋ลี่เฟยไม่สำคัญพอให้ชายตาแล
“เช่นนั้น…องค์ชายหกเพคะ พาหม่อมฉันเดินดูรอบๆ ได้หรือไม่เพคะ” ไป๋ลี่เฟยหันไปยิ้มหวานให้กับจ้าวโจวเฉิงที่เงียบงัน รอดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตั้งใจ หางตาลอบมองคุณหนูเสิ่นเล็กน้อย
เมื่อข้าเรียกเจ้าแล้วเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าก็จะเรียกชายที่เจ้าพึงใจให้ออกไป
“ไม่ได้นะ แล้วข้าจะอยู่กับใครกัน” เสิ่นหรงฮวาหันกลับมาโวยวายจนสุดตัว เมื่อได้ยินว่าศัตรูหัวใจของตน กำลังออดอ้อนให้องค์ชายพาไปเดินเล่นอย่างไม่อายฟ้าดิน
“ก็อยู่กับพี่ช่างชาง พี่ชายของข้าเองก็มาบ่อย คงไม่ต้องการจะเดินดูแล้ว” ลี่เฟยส่งยิ้มที่อ่อนหวานจริงใจออกไป เพราะยามนี้นางเองก็กำลังมีความสุขกับการมองดูคุณหนูเสิ่นหาทางออกให้ตนเอง
“อืม เดี๋ยวข้านั่งเป็นเพื่อนเอง” ช่างชางพยักหน้า มิได้ถือสากับความเอาแต่ใจของหรงฮวาแต่อย่างใด เพราะสำหรับช่างชางคุณหนูผู้นี้ยังเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาตน พฤติกรรมของคุณหนูเสิ่นไม่ต่างกับบุตรอนุที่ยังไม่พ้นสิบหนาวในจวนไป๋เลย
“จริงสินะ ทั้งสองมาบ่อยแล้วก็จิบน้ำชารออยู่ตรงนี้เถิด มิต้องเมื่อยล้าไปด้วยกัน อีกครู่หนึ่งโอจินโม่ และหลินเจียหยุนเองก็จะมาที่นี่ ลี่เฟยไปกันเร็วเข้า” จ้าวโจวเฉิงตัดบท และเดินนำออกไป ส่วนเสิ่นหรงฮวาที่ลุกพรวดตามออกมา พุ่งชนเข้ากับกาน้ำชาที่ไป๋ช่างชางกำลังยกเท จนทำให้ทั้งคู่เปียกเลอะ แต่หรงฮวาก็ยังดื้อดึงจะตามไปให้ได้
“ว๊าย องค์ชายหกรอด้วยเพคะ” เสิ่นหรงฮวาจะวิ่งตามไป แต่ก็ถูกรั้งด้วยบ่าวของตน และร่างของไป๋ช่างชางที่กำลังสะบัดชายผ้าที่เปียกปอนขวางไว้
“คุณหนูเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดนะเจ้าคะ เช่นนี้ไม่งาม” บ่าวคนสนิทของคุณหนูเสิ่นต้องกล่อมอยู่ครู่ใหญ่กว่าที่คุณหนูคนงามจะยอมไปผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่
“คนสกุลไป๋ซุ่มซ่ามจริง ชั้นต่ำ” เสิ่นหรงฮวาปึงปังออกไป
“คุณชายไป๋ เดี๋ยวตามบ่าวมาเปลี่ยนอาภรณ์ดีกว่าขอรับ” บ่าวขององค์ชายหกนำทางไปอย่างนอบน้อม
.
.
.
“คุณหนูท่านนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน” ไป๋ลี่เฟยพึมพำเบาๆ กับตนเอง เอาแต่ใจก็เรื่องหนึ่ง แต่นิสัยดูถูกคนนี่สิที่นางว่าแปลก หากรังเกียจคนที่มีสถานะต่ำต้อยกว่าตน เหตุใดจึงปักใจกับองค์ที่มีมารดาแท้ๆ เป็นชาวบ้านป่าเช่นนี้
ประหลาด!
“มาเดินเล่นควรดูบรรยากาศ มิใช่พูดเรื่องผู้อื่น” จ้าวโจวเฉิงพูดหยอกล้อออกมา
“ผู้เป็นเจ้าบ้านก็แนะนำเถิดเพคะ ว่าสวนนี้มีดีอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยกลอกตาให้เห็นชัดเจนว่านางเริ่มจะไม่พึงใจองค์ชายหกแล้ว “หลอกให้ลี่เฟยมากันท่าคนไม่มีแม้คำเตือน แล้วยังจะหาว่าหม่อมฉันขี้นินทาอีก เช่นนี้น่าน้อยใจนัก”
“เอ๋..ข้าไม่ได้บอกหรือว่าเสิ่นหรงฮวามาด้วย อ่าขออภัยแม่นาง” องค์ชายหกก้มหัวเล็กน้อย ขยับกายเข้าใกล้กล่าววาจาเสียงเบาจนดูเหมือนกระซิบให้รู้เพียงสองคน “เช่นนั้นข้าจะส่งจดหมายให้เจ้าที่สำนักศึกษาทุกวันก็แล้วกัน พบกันที่ใดดีเล่า ต้องไม่ประเจิดประเจ้อ และไม่ลับตาเกินไป”
หากทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการนัดพบผู้ชายอย่างที่เหล่าคุณหนูในสำนักลอบสนทนากันหรือไม่นะ…
ไป๋ลี่เฟย จู่ๆ ก็มีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา นางรีบหันมองว่าจูจูยืนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินหรือไม่ เมื่อเห็นว่าห่างไปพอสมควรในสมองไม่รักดีก็กลับขัดเขิน เพราะนึกได้ว่ายามนี้ตนเองและองค์ชายหกยืนอยู่ใกล้ชิดกัน ท่ามกลางต้นบุปผาหลากสีสัน
บทพิเศษ 4 บรรจบเป็นวงกลมในที่สุดสหายรักของไป๋ลี่เฟยก็เดินทางถึงเมืองหลวงในแคว้นจ้าวอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเสียที หลังเดินทางเข้ามาถึงตงหม่าจางต้องทำเรื่องขอกลับเข้าเป็นองครักษ์ ส่วนฉือจี้ผ่าก็จำเป็นต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมให้บิดามานดาของนางเห็นหน้ามากหน่อย กว่าจะได้มาพบปะสหายทั้งหลาย เวลาก็ผ่านไปเกือบรอบจันทร์แล้ว“ข้ามาแล้ว” จี้ผ่าเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในร้านประมูลของแม่นางอูที่เปิดขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน“จี้ผ่า คิดถึงเจ้านัก” ลี่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่มิได้ร่ำลากัน”“โชคยังดีที่มีโอกาสได้กลับมา” จี้ผ่ายิ้มเล็กน้อย“และโชคดีที่พวกเจ้าออกมาหาข้าได้ มิเช่นน
บทพิเศษ 3 งานปักผ้าของจี้ผ่าชีวิตของฉือจี้ผ่าและตงหม่าจางหลังออกจากเมืองหลวงมิได้ลำบากนัก ด้วยทรัพสินเงินทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ติดตัวมิได้น้อยเลย หากจะมีลำบากก็เพราะตงหม่าจางต้องติดสินบนปลอมแปลงเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อผ่านทางไปยังแคว้นอื่นที่สงบจากภัยสงครามในขณะนี้แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วทั้งสองก็เลือกปักหลักอยู่ที่เมืองทางทิศใต้ของทะเลสาบต้งถิง เป็นเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมามาก จึงทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองสามารถกลืนไปกับผู้คนในเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก จวนที่ซื้อต่อจากสกุลวานิชเล็กๆ สกุลหนึ่ง กลายเป็นบ้านใหม่ของคู่สามีภรรยาเยาว์วัยคู่นี้ทุกๆ วันตงหม่าจางจะเข้าป่าเพื่อสร้างสถานที่เก็บตำราของฮ่องเต้ พร้อมกับคิดค้นกับดักและร่ายอักขระไว้ปกป้องตำราภายในด้วย ส่วนจ
บทพิเศษ 2 ความร้อนในกายช่วยให้อบอุ่นโจวเฉิงจับข้อมือของไป๋ลี่เฟยอ้าออกก่อนจะก้มลง เพื่อใช้ลิ้นร้อนฉ่าทักทายยอดบัวชมพูอย่างตั้งใจ อีกมือหนึ่งผละจากท่อนแขนมากอบกุบความนุ่มนวลตรงหน้านี้ สลับข้างไปมาอย่างคนถูกมอมเมามิอาจละตัวให้ห่างไปได้เลย“อ๊ะ..พะ พี่” ลี่เฟยที่ถูกจู่โจมเช่นนี้รู้สึกวูบวาบจนเริ่มหายใจติดขัด จะกล่าววาจาใดก็ไม่ถนัดดังเช่นยามปกติเห็นเช่นนั้นท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวไป๋ลี่เฟยให้ขึ้นไปนั่งยังบริเวณขอบบ่อ หยดน้ำพราวเกาะบนผิวยิ่งทำให้ร่างกายนี้เย้ายวนเหนือบรรยาย ใบหน้าของชายหนุ่มไล่สายตาจนมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายของไป๋ลี่เฟย“เฟยเฟยอ้าขาออก”
บทพิเศษ 1 พักตากอากาศเมืองซุ่ยปาคือจุดมุ่งหมายที่สองบิดามารดามือใหม่ตั้งใจจะไปพักผ่อนให้สบายจิตใจ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสงบมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขุนนางที่ปลดระวางตนเองจากตำแหน่งหน้าที่แล้วมาอยู่อาศัย ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เพื่อให้สะดวกหากมีขุนนางคนใดอยากเข้ามาปรึกษาหารือประเด็นต่างๆเมืองซุ่ยปามีทิวเขางดงาม ป่าไม่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น สตรีมีครรภ์และผู้มีอายุจึงนิยมมาอาศัยในเมืองแห่งนี้เพื่อบำรุงร่างกาย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวมีเพียงอากาศที่เย็นกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของแคว้นอย่างน่าประหลาดจ้าวโจวเฉิงจับจูงไป๋ลี่เฟยให้เดินชมสวนของจวนไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนี้ “ชอบหรือไม่”
บทที่ 67 คลี่คลายง่ายนัก“ท่านหมอ พอรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยถามออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เว้นช่วงให้หมอเทวดาตอบ นางก็มิอาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อไป“พระชายาไป๋ นั่งลงก่อน” หมอเทวดาดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นความท้าทายในการรักษาถึงสองอาการ คนหนึ่งหลับไปเฉยๆ โดยที่มิได้รับความบาดเจ็บใด ส่วนอีกผู้หนึ่งอาเจียนเป็นเลือด แต่ยังเดินเหินและดูแข็งแรงปกติไป๋ลี่เฟยนั่งลงให้ท่านหมอตรวจอาการ และไม่ลืมนำน้ำหกธาตุพิชิตออกมาให้หมอเทวดาผู้นี้ดู ก่อนจะเล่าว่าอาการของตนและองค์ชายหกเกิดได้อย่างไร แต่มิได้บอกความมหัศจรรย์ของพิษจิตแตก บอกแต่เพียงว่าเป็นพิษ“วิเศษนัก” ท่านหมอกล่าวระหว่างยกขวดโอสถขึ้นมาส่องดู ก่อนจะวางลงข้างกาย “อาการขององค์ชายหก
บทที่ 66 ความสุขกลับคืนทีละน้อยเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าองค์รัชทายาทต้องการพาพระชายาไปพักผ่อนให้เป็นส่วนตัว จึงมิได้ให้องครักษ์คนใดติดตามไป เกิดเป็นเรื่องราวน่าใจหายองค์ชายถูกสัตว์รุมกัด มีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือด ส่วนไท่จื่อเฟยก็หนีอยากหวาดกลัว กล่าวกับผู้คนว่าองค์ชายปกป้องตนเองจนตัวตายท่าทางของพระชายาคนงามดูอ่อนแอบอบบางจนมีแต่ผู้คนสงสาร เล็บมือเล็บเท้าของสตรีสูงศักดิ์ฉีกขาดเพราะการหนีตาย ยิ่งทำให้หมดข้อสงสัยว่าไป๋ซินหยานมีส่วนรู้เห็นกับการตายขององค์ชายสาม ช่วงเวลาต่อมาวังเมฆาแสงจันทร์ถูกปิดตาย ด้วยคำสั่งพระชายามีเพียงหมอหลวง และคนจากสกุลเดิมเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกวังแห่งนี้ได้ ส่วนตัวไป๋ซินหยานเองก็ออกมาด้ายนอกเพียงเพื่อร่วมพิธีศพเท่านั้น“ซินหยาน เป็







