Semua Bab ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว: Bab 41 - Bab 50

100 Bab

บทที่ 41  

“จริงหรือ?” “จริงแท้แน่นอน” “เหอะ ไปกันเถิด” แม้จะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งออกไป แต่พอคิดว่าตนเองเป็นคนแรกที่ได้ยินถ้อยคำนี้จากฉินหมิง ในใจของกวนเยว่ก็ยังรู้สึกเบิกบานอยู่เล็ก ๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ รัชทายาทเองก็ไม่เคยมีข่าวว่าใกล้ชิดกับสตรีใดเลย เช่นนั้นสิ่งที่เขาพูดมาก็น่าจะเป็นความจริง นางหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วเมื่อสองวันก่อนฉินหมิงก็เพิ่งพูดประโยคเดียวกันนี้กับเสี่ยวชุ่ยตอนที่นวดให้เหมือนกัน เพราะได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง ทำให้เขาสั่งสมประสบการณ์จนหน้าหนาหน้าทน ถึงได้กล้าป้อยอหลอกล่อดรุณีเช่นนี้ ขณะเดินเข้าจวนสกุลกวน การกลับมาของฉินหมิงและกวนเยว่ ทำให้บรรยากาศภายในที่แห่งนี้ตึงเครียดขึ้นไม่น้อย นางเฉินนั่งอยู่ในลานบ้าน เห็นสองคนเดินเข้ามา คล้ายว่าไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย “ท่านอ๋องเสด็จแล้ว เชิญประทับเพคะ” “ท่านแม่” กวนเยว่เดินขึ้นไปด้านหน้า ก่อนจะคล้องแขนนางเฉินไว้ ฉินหมิงยิ้มพลางสั่งให้สารถีไปนำของขวัญที่ตนเองนำมาวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็ถือโอกาสนั่งลงตรงข้ามนางเฉิน “ท่านอ๋องเสด็จมาวันนี้ มีเรื่องอันใดหรือเพคะ?” “พูดความจริงมิปิดบัง ข้าอยากพาเสี่ยวเยว
Baca selengkapnya

บทที่ 42  

ตอบว่ามากก็ไม่เหมาะสม จะบอกว่าไม่เคยเจอเลยก็ยิ่งดูเสแสร้งแกล้งเป็นคนดีหนักเกินไป อีกฝ่ายต้องไม่เชื่อแน่ ฉินหมิงจึงพยักหน้า “ใช่ ข้าเคยพบเจอมามาก” “แต่ไม่เคยมีผู้ใดงดงามเท่าเสี่ยวเยว่” สมองของฉินหมิงใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แทรกประโยคนี้เสริมเข้ามา หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ กวนเยว่ตอนนี้ฆ่าฉินหมิงไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว นางเฉินมองฉินหมิงอย่างลุ่มลึก ทันใดนั้นก็ล้วงกระดาษหลายแผ่นออกมาจากอกเสื้อ ฉินหมิงมองแล้วเหมือนจะเป็นตั๋วเงินกระมัง “ตั๋วเงินแสนตำลึง เป็นเงินออมที่จวนสกุลกวนสะสมมานานหลายปี ข้ามอบให้เสี่ยวเยว่เก็บเอาไว้ก่อน” “ไปหลิ่งหนานแล้ว หากเจ้ารังแกนาง ทำให้นางขุ่นเคืองใจ เงินพวกนี้ไม่มีวันถึงมือเจ้า” ต่อหน้าเขา นางเฉินยัดตั๋วเงินทั้งหมดใส่มือกวนเยว่ “ท่านแม่…” กวนเยว่น้ำตาไหลพราก ๆ ความคิดไม่น้อยพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัว มิน่าหลายวันมานี้ท่านแม่ดูยุ่งอยู่กับตัวเองมาตลอด กวนเยว่ยังคิดว่าเป็นเพราะนางโกรธตนเอง ไม่อยากสนใจตนเองแล้วเสียอีก กลับคิดไม่ถึงเลยว่า นางเฉินจะมอบเงินให้ตนเองไปหลิ่งหนานกับฉินหมิง นับแต่ตอนแรกที่นางบอกว่าเงินของฉินหมิงไม่พอสำหรับค่
Baca selengkapnya

บทที่ 43  

ช่างฝีมือประจำร้านตีเหล็กครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ชี้ไปยังกลุ่มเด็กฝึกงานที่อยู่ข้างหลังตนเองซึ่งเป็นพวกที่มาขอทำงานหาเลี้ยงชีพพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณชาย พวกข้ามิได้ขายตัวประทังชีวิต แต่ถ้าหากท่านต้องการผู้ช่วยในการหลอมโลหะ เด็กฝึกงานพวกนี้ใช้การได้ดีทีเดียว พวกเขาล้วนเป็นคนเร่ร่อนและเด็กกำพร้า จะไปอยู่ที่ใดก็เหมือน ๆ กัน” ฟังมาถึงตรงนี้ ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไปถึงหลิ่งหนานเขาต้องเริ่มทำงานทันที หากได้เด็กฝึกเหล่านี้ไป เกรงว่าอาจจะไม่ตอบสนองต่อความต้องการของตนเองมากนัก “ข้าต้องการพวกเจ้าทุกคน เสนอราคามา แล้วไปทำงานกับข้าที่อื่น” “ไม่ได้จริง ๆ ขอรับ พวกข้ามีบ้านมีครอบครัวอยู่ที่นี่ ย้ายไปที่อื่นไม่ได้จริง ๆ ขอรับ” คนงานของร้านตีเหล็กอึดอัดลำบากใจยิ่งนัก ช่างฝีมือผู้เฒ่าประจำร้านตีเหล็กแห่งนี้ก็ทำงานอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ได้รับการดูแลมากมายจากเถ้าแก่ ในยุคสมัยนี้การออกมาประกอบสัมมาอาชีพ ล้วนต้องอาศัยน้ำใจไมตรีที่สั่งสมกันมายาวนานหลายปีนั่นแหละ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว “เฮ้อ ดูเหมือนพวกท่านจะยังหวงศักดิ์ศรีกันน่าดูเลยนะ” ฉินหมิงส่ายหน้าพลางถอนหาย
Baca selengkapnya

บทที่ 44  

ระหว่างที่ฉางไป๋ซานกำลังจัดคนไปขายทรัพย์สิน เช้าวันถัดมา ฉินหมิงมาถึงเมืองหลวง เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งรัชทายาท เพราะวันนี้คือวันมหามงคลที่ฉินเยว่จิ้นอ๋องจะขึ้นรับพระราชทานตำแหน่งรัชทายาท เซียวซูเฟยผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลวง ได้มอบหมายหน้าที่ให้หวังเป่า จัดเตรียมพิธีการทั้งหมดให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามประเพณีอย่างสมพระเกียรติที่สุด ตอนที่ฉินหมิงมาถึงประตูพระราชวัง ภาพแรกที่เห็นก็คือทางเดินที่ประดับประดาไปด้วยบุปผาสด นางกำนัลและขันทีนับร้อยยืนเรียงกันสองฝั่งทางเดิน “ยอมทุ่มเพื่อสร้างภาพลักษณ์จริง ๆ เลือดเนื้อของราษฎรที่ราชสำนักไปขูดรีดมา เอาไปผลาญกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้หมดเลยแฮะ” “บาปกรรมในบาปกรรมจริง ๆ เลยนะเนี่ย…” ฉินหมิงยืนอยู่หน้าประตูพระราชวังมิได้รีบร้อนเข้าไปแต่อย่างใด ท่าทางเหมือนลุงหน้าปากซอย ที่เห็นอะไรก็ต้องหาเรื่องตำหนิให้ได้สักประโยคสองประโยค ถ้อยคำเหล่านี้ ก็คงมีแต่เขาที่กล้าพูดออกมา ขุนนางที่เดินผ่านบางคนแค่เผลอฟังไปเพียงครึ่งประโยค ก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดแล้ว รีบสาวเท้าวิ่งหนีอย่างเร็วรี่ กลัวว่าถ้อยคำอกตัญญูเหล่านี้จะพานทำให้ตนเองเดือด
Baca selengkapnya

บทที่ 45  

“ท่านคือเชื้อพระวงศ์ มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมพิธี จึงถูกเรียนเชิญมาพ่ะย่ะค่ะ” “ในเมื่อเป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว หากจะนั่งรวมกับขุนนางคงไม่เหมาะสมนัก ท่านเลือกที่นั่งด้านหลังสักที่หนึ่งตามแต่สะดวกเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฉินหมิงครั้นได้ยินเช่นนั้น ก็ส่ายศีรษะเบา ๆ เซียวซูเฟยช่างอ่อนหัดยิ่งนัก วิธีการของนายบ่าวคู่นี้ ไม่เกินความคาดหมายของตนเองแม้แต่น้อย “หวังกงกง เรื่องนี้ข้าต้องตำหนิเจ้าแล้ว ระเบียบพิธีการไม่รอบคอบเอาเสียเลย” ฉินหมิงตบบ่าหวังเป่าเบา ๆ “ตำหนิข้า?” มุมปากของหวังเป่ากระตุกเบา ๆ ที่ฉินหมิงถูกเชิญมาวันนี้เป็นกรณีพิเศษ จึงไม่มีความจำเป็นต้องสนใจเรื่องความเหมาะสมอยู่แล้ว แต่ละยุคและแต่ละรัชสมัยที่ผ่านมา ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ที่รัชทายาทสละตำแหน่งตนเอง แล้วแต่งตั้งรัชทายาทพระองค์ใหม่ขึ้นมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าจะจัดแจงที่นั่งให้ฉินหมิงอย่างไร ล้วนแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น “ข้าอยากนั่งข้างหน้าสุด ไปยกโต๊ะและที่นั่งมาให้ข้า” ฉินหมิงเอ่ยพลางชี้นิ้วไปยังตำแหน่งที่นั่งของเฉินซื่อเม่าและพวกขุนนางหกกรมซึ่งอยู่ด้านหน้าสุด “เช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ถูกฉินหมิงตอบโต้กลับอย่างเหนือชั้น หว
Baca selengkapnya

บทที่ 46  

ในสถานการณ์เช่นนี้ เซียวซูเฟยไม่กล้าปะทะกับฉินหมิงซึ่ง ๆ หน้า อีกไม่นานฉินหมิงต้องไปหลิ่งหนานแล้ว เขาไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น หากพลาดพลั้งทำตนเองตกเป็นที่เย้ยหยัน พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทวันนี้ต้องเปื้อนมลทินแน่ และฉินเยว่ที่ยืนข้างเดียวกับตนเอง ก็จะพลอยเสื่อมอำนาจความน่าเกรงขามไปด้วยเช่นกัน ฮ่องเต้เฉียนเข้าใจทันที จึงเอ่ยกับฉินหมิงด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ฉินหมิง เจ้าไปนั่งตรงนั้นทำไม?” “เสด็จพ่อ พิธีวันนี้มิได้จัดเตรียมที่ให้ลูกพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อลูกมีฐานะเป็นอดีตรัชทายาท ก็จำต้องนั่งตรงนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่มีที่นั่ง?” ฮ่องเต้เฉียนผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมองเซียวซูเฟย พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทครั้งนี้ เป็นเซียวซูเฟยที่ยืนกรานหนักแน่นว่าจะเชิญฉินหมิงมาร่วมพิธี พอคิดได้ว่านางเพิ่งเสียน้องชายไป ก็แน่ชัดแล้วว่านางคิดจะระบายโทสะกับฉินหมิง ฮ่องเต้เฉียนจึงยอมรับคำขอร้องข้อนี้ และยังให้เซียวซูเฟยกับหวังเป่าร่วมมือกับคนของกรมพิธีการ จัดพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทครั้งนี้ขึ้น ใครจะรู้เพิ่งเสด็จมาถึงงานพิธี ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว “ทูลฝ่าบาท บ่าวได้จัดเตรียมที่ประทับ
Baca selengkapnya

บทที่ 47  

“เจ้าก็นั่งตรงนั้นไป แล้วตั้งใจดูให้ดีด้วย!” ฮ่องเต้เฉียนเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปแล้วจริงๆ จึงแค่นเสียงฮึดฮัดออกมาคำหนึ่ง และไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับฉินหมิงอีก ฉินเยว่จิ้นอ๋องที่ยังเยาว์วัยแค่นั้น สังเกตเห็นฉินหมิงแล้ว จึงกดเสียงและถามเซียวซูเฟยว่า “เสด็จแม่ เสด็จพี่กำลังทำอะไรหรือขอรับ?” เซียวซูเฟยเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “เสด็จพี่ของเจ้าเป็นคนเลว หลังจากนี้หากมีโอกาส จะต้องฆ่าเขาให้ตาย” ฉินเยว่ด้วยวัยเพียงแค่นี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องราวจริงจังนัก ถูกเสี้ยมสอนเช่นนี้ สายตาที่มองไปยังฉินหมิงพลันปรากฏแววปฏิปักษ์ขึ้นมาทันที “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ เสด็จแม่!” ฮ่องเต้เฉียนกลับไม่ได้ยินบทสนทนาของแม่ลูกคู่นี้แต่อย่างใด พยักหน้าเบา ๆ ให้ซุนเหลียนอิงที่อยู่ไกลออกไป ซุนเหลียนอิงครั้นได้รับสัญญาณ ก็ถือประกาศราชโองการเดินขึ้นมาด้านหน้าทันที “ตามบัญชาสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการว่า…” หลังจากอ่านถ้อยคำทั้งหมดจบลงแล้ว ก็ต่อด้วยราชพิธีอันยุ่งยากซับซ้อนอีกหนึ่งกระบวนอย่างพิธีพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ และพิธีคำนับฟ้าดินเป็นต้น เซียวซูเฟยมองฉินหมิงด้วยสายตาอาฆาตเคียดแค้นเต็มประดา
Baca selengkapnya

บทที่ 48  

“ก็ต้องขายนาขายบ้านได้มาสิ พูดตรง ๆ ข้าไม่กลัวทุกท่านหัวเราะเยาะหรอก” “ทำงานรับใช้เสด็จพ่อมาตั้งหลายปี ข้าช่างเป็นข้าราชการที่มือสะอาดมากจริง ๆ ควักสมบัติก้อนสุดท้ายออกมาแลกเงินได้ก็เพียงแค่สองแสนแปดหมื่นตำลึงเท่านั้น” “เช่นนี้พอคำนวณแล้ว เงินเพียงเท่านี้ยังไม่พอให้สร้างพระตำหนักสักองค์หนึ่งด้วยซ้ำไป ข้าจำได้ว่าอะไรแล้วนะ…ใช่แล้ว พระตำหนักหย่างซิน ตอนสร้างเมื่อสองปีก่อนเหมือนจะใช้เงินไปตั้งเจ็ดแสนกว่าตำลึงในคราวเดียวใช่หรือไม่นะ?” ฉินหมิงพูดไปเรื่อยโดยไม่แยแสรอบข้าง ทว่าจุดหมายกลับมิได้พุ่งเป้าไปที่เซียวซูเฟย นางยังมิคู่ควรพอ คนที่ฉินหมิงจงใจชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวจริง ๆ แล้วคือฮ่องเต้เฉียนต่างหาก ตาเฒ่าคนนี้ ขูดรีดตนเองมาตั้งหลายปี ผลประโยชน์สักเสี้ยวหนึ่งยังไม่เคยให้ แล้วยังจงใจวางอุบายรอบคอบ ยกตำแหน่งรัชทายาทให้จิ้นอ๋องอีก จนตอนนี้ในที่สุดแผนชั่วก็ลุล่วง ฉินหมิงแม้ไม่เห็นคุณค่าตำแหน่งนี้นัก แต่ก็ต้องอาศัยโอกาสนี้ถากถางให้หายคันปาก ขุนนางในราชสำนักต่างทราบกันดี พระตำหนักหย่างซินนั้น สร้างขึ้นเพื่อเซียวซูเฟย และฮ่องเต้เฉียนก็เป็นคนอนุมัติจำนวนเงินจัดสรรให้โดยตรง
Baca selengkapnya

บทที่ 49  

จุดนี้นอกจากซุนเหลียนอิง ฮ่องเต้เฉียนเองก็ทราบดี เซียวซูเฟยกลับโง่เขลาไร้เดียงสายิ่งนัก ยังคิดจะใช้อุบายนี้มายั่วโทสะฉินหมิงอีก ฉินเยว่ที่ยังเด็กมาก บัดนี้งุนงงเคว้งคว้างยิ่งนัก ไหนใครว่าได้เป็นรัชทายาทแล้ว จะได้รับความเคารพจากราษฎรทั้งแผ่นดิน เหตุใดตนเองได้เป็นรัชทายาทแล้ว กลับไม่มีสิ่งเปลี่ยนแปลงแม้เพียงสักนิด? ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าถูกผู้คนหัวเราะเย้ยหยันตลอด… “จริงสิ! ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง!” เซียวซูเฟยฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “รัชทายาทได้รับแต่งตั้งแล้ว ย่อมมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดิน” “บัดนี้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เซียวฉีเหนียนผู้ว่าการเขตหูกว่าง รับหน้าที่ช่วยเหลือองค์รัชทายาทจัดการราชกิจของเขตเหลียงกว่าง และศึกษาวิธีการปกครองแผ่นดิน” “เขตเหลียงกว่าง?” เฉินซื่อเม่ามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย การจัดการเช่นนี้ช่างแปลกพิกลนัก เหลียงกว่างและหลิ่งหนานมีพื้นที่ทับซ้อนกันมากเกินไป อีกทั้งยังตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไกลเกินไป สั่งจัดการแบบนี้ เห็นได้ชัดเจนว่ามีเจตนาเล่นงานฉินหมิง นี่คงเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเซียวซูเฟยแล้วสินะ ต่อให้ฉินหม
Baca selengkapnya

บทที่ 50  

พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทสิ้นสุดลงแล้ว ฉินหมิงเดินโซเซออกมาจากลานกว้าง ก่อนจากไป เขาเดินมาหยุดข้างกายตู๋เซิงเจ้ากรมโยธาธิการ “ผู้เฒ่าตู๋ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ตู๋เซิงผงะไปเล็กน้อย คล้ายกับแปลกใจมากที่ฉินหมิงเข้ามาหาตนเองลำพัง ชะเง้อคอมองดูรอบด้านแล้ว เขาก็พูดเสียงเบาออกมาอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ท่านอ๋อง ที่แห่งนี้คนเยอะหูตาแยะ มิใช่สถานที่เหมาะจะพูดคุยกันขอรับ” “ทราบแล้ว เที่ยงนี้ที่หออิ๋งชุน ข้ามีชวนคนอื่นไว้บ้างแล้ว” ตู๋เซิงในฐานะเจ้ากรมโยธา หลายปีที่ผ่านมานี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหมิงไม่น้อย กรมโยธาเป็นหน่วยงานที่เน้นการปฏิบัติงานจริง การปฏิบัติงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขุดคูคลอง บุกเบิกที่ดิน หรือสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ ล้วนหนีไม่พ้นคำว่าเงินทั้งสิ้น ตู๋เซิงในฐานะเจ้ากรมโยธา ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับจึงหนักหนาที่สุด ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปขอเบิกเงินจากกรมคลังเป็นประจำ แค่ครั้งสองครั้งยังพอทน แต่เขาถึงขั้นต้องเข้าไปขอเบิกเงินแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าคนของกรมคลังรำคาญเขามาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะกรมคลังต้องทำงาน ตู๋เซิงก็ทำได้แค่อธิบา
Baca selengkapnya
Sebelumnya
1
...
34567
...
10
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status