All Chapters of การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน: Chapter 31 - Chapter 40

84 Chapters

บทที่ 31

โม่อวิ๋นเจ๋อรู้สึกสงสารจับใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา“เอาล่ะพอได้แล้ว นอนพักสักคืนพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแผลก็ตกสะเก็ดแล้วล่ะ อีกสองสามวันก็หายดีแล้ว” ซางเชวียนโบกมือพลางกล่าวขึ้นว่า “กินยาสองถ้วยนั้นให้หมด แล้วหลังนั้นก็แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว” เยว่เจี้ยนเวยยกถ้วยยาขึ้นก่อนทำการดื่มยาจนหมดอย่างรวดเร็วโม่อวิ๋นเจ๋อทำหน้าบึ้งเบะปาก กวล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ดื่มยาหรอก ไม่เห็นจะอร่อยตรงเลย” โม่ชานหลานหยิบผ้ามาขึ้นมาเช็ดหัวของโม่อวิ๋นเจ๋อ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เปียกไปทั้งตัวเช่นนี้ รีบไปดื่มยาเถอะ หากพรุ่งนี้ลุกจากที่นอนไม่ได้ บิดากลับมาแล้วจะต้องโดนดุเป็นแน่”โม่อวิ๋นเจ๋อถูหัวกับผ้าไปมาเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้”เยว่เจี้ยนเวยแทบจะเก็บความอิจฉานี้ไว้ไม่อยู่ ตบะของเจ้าโม่อวิ๋นเจ๋อก็ต่ำ พรสวรรค์ก็แย่ สมองก็ไม่ค่อยจะดีแต่เพราะชะตาฟ้าลิขิตให้ได้เกิดใหม่อีกครั้ง จึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากโม่ชางหลานมากขนาดนี้แต่ว่ามันจะต้องมีสักวัน ที่โม่ชางหลานจะทำแบบเดียวกันกับเขาไม่ใช่สิ จะต้องดีกว่านี้แน่นอน ………………อาซีผู้ที่ถูกโม่อวิ๋นเจ๋อไล่ไปถูกเรียกตัวให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อพาเยว่เจี้ยนเวยไปส่งถึงเรือนนอนเพื่อพัก
Read more

บทที่ 32

เช้าวันรุ่งขึ้น เยว่เจี้ยนเวยถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงทุบประตูที่ดังรบกวนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้ยินเสียงทุบประตูเข้าก็รู้สึกตัวแล้ว เพียงแต่ร่างกายที่ยังเด็กมีความขี้เกียจจนเกินไป ไม่ยอมที่จะลุกออกจากภายใต้ผ้าห่มอันแสนจะอบอุ่น เยว่เจี้ยนเวยจึงตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั่นแต่เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เยว่เจี้ยนเวยทำได้เพียงลุกขึ้นมาอย่างหมดหนทาง เขาหยิบเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ออกมาจากกำไลสรรพภพเพื่อสวมใส่ขณะที่กำลังจะเตรียมเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงเรียกที่ดูเหมือนว่าจะหมดความอดทนจากด้านนอกกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเด็กมาใหม่ที่อยู่ด้านในผู้นั้น รีบออกไปทำงานได้แล้ว นี่มันเพิ่งวันแรกเองนะ ก็กล้านอนขี้เกียจเช่นนี้แล้ว ข้าว่าเจ้าไม่อยากทำงานมากกว่า”เยว่เจี้ยนเวย “…”เขาเกือบลืมไปเลย ว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ในตระกูลโม่เท่านั้น ในทุก ๆ วันเขาต้องไปปลูกผักถอนหญ้าผู้ดูแลซุนหรงเคาะประตูอยู่นาน ไม่มีผู้ใดตอบรับ ในเวลานั้นเขาจึงรับรู้ถึงการถูกเมินจากผู้ที่อยู่ด้านใน เขากำลังคิดว่าจะขู่อย่างไรให้เยว่เจี้ยนเวยรับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขาม ซุนหรงที่ทำการถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมตัวจะทุบประ
Read more

บทที่ 33

โม่ยี่หานจะกลับมาในอีกสามวันการโจมตีของพวกปีศาจน้ำแข็งในปีนี้ถูกจัดการจนหมดเรียบร้อยแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นนี้คงไม่เกิดการก่อกวนได้อีก โม่ยี่หานจะได้กลับมาพักผ่อนที่แดนหิมะขาวสักทีเพิ่งกลับมาถึงแดนหิมะขาว โม่ยี่หานก็พุ่งตรงไปหาบุตรชายคนโต โม่ชางหลานทันที เวลานี้ โม่ชางหลานเพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ กำลังนั่งอยู่ในเรือนเพื่อทำอาวุธเครื่องกลสำหรับไว้ใช้ป้องกันเมือง ในเมืองร้างมีชาวเมืองกว่าครึ่งหนึ่งที่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีรากวิญญาณและไม่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ พวกเขาใช้วัตถุพิเศษนี้ไม่ได้ เมื่อมีการโจมตีเมืองก็ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ ดังนั้นเมื่อโม่ชางหลานที่พอมีฝีมืออยู่บ้างก็มักจะลงมือปรับปรุงคันธนูและหน้าไม้รวมถึงหุ่นเชิดให้ชาวบ้านธรรมดาสามารถใช้ได้ เพื่อรับประกันว่าเมื่อมีการโจมตีชาวเมืองจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆโม่ยี่หานเดินเข้ามา ใบหน้าที่มักจะดูเย็นชาก็ไม่ได้ดูอ่อนลงไปสักเท่าไร พลางเอ่ยถามสั้น ๆ “ช่วงที่ข้าไม่อยู่ น้องชายเจ้าพังเรือนแล้วหรือยัง”โม่ชางหลานหัวเราะขึ้นก่อนกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้อวิ๋นเจ๋อยุ่งจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แม้แต่เรือนของข้ายังมาเพียงไม่กี่ครั้ง จ
Read more

บทที่ 34

ผู้ใต้บังคับบัญชาก็อดที่จะชื่นชมในตัวเขาไม่ได้ โม่ยี่หานอย่างมากก็แค่ลากเขาไปจัดการในตรอกเท่านั้น แล้วก็ยังจะต้องรอจังหวะในตอนที่ตี๋หยางไม่มีคนคอยคุ้มกัน หลังจากนั้นจึงจัดการเขาแบบเงียบ ๆ แต่ก็เป็นเพียงการจัดการที่อยู่ในขอบเขตเท่านั้นแต่คนผู้นั้น ก็ถือว่าลงมือได้โหดเหี้ยมจริง ๆ มีดสามเล่มนั้น แต่ละเล่มแนบไปที่ของเล่นชิ้นนั้น หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ต่อไปตี๋หยางก็คงไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นบุรุษได้อีกแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวเองละก็ สิ่งที่กลัวก็คือเจ้าน้องชายน้อยของเขาจะใช้การไม่ได้อีกต่อไป“นี่มันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า” ขนาดโม่ยี่หานก็ยังมีท่าทีที่ทั้งดูประหลาดใจและสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแค้นที่ถูกระบายออกมา โดยเฉพาะการที่ได้เห็นคนอื่นถูกกระทำ เขายังกล่าวขึ้นอีกว่า “ใครให้เขาปกติทำเรื่องแต่อวดดี พูดจาสกปรกเช่นนั้น ครั้งนี้เป็นไงล่ะเจอของจริงเข้าให้ นี่มันถือเป็นการลงโทษแทนฟ้าแทนสวรรค์เลยล่ะ”เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่โม่ยี่หานส่งออกไปจัดการโม่ชางหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไม่ถึงคิดถึงค
Read more

บทที่ 35

เพราะแดนหิมะขาวมีสภาพอากาศที่เลวร้าย อุณภูมิค่อนข้างต่ำ มีหิมะขาวปกคลุมเป็นประจำทุกปี ดังนั้นแทบจะไม่มีพืชศักดิ์สิทธิ์เลย แม้แต่พืชผักทั่วไปยังยากที่จะปลูกให้อยู่รอดบ่อยครั้ง จะมีขบวนของพ่อค้าที่มากจากข้างนอกนำสมุนไพรวิเศษ เสบียง และอื่น ๆ มายังเมืองร้าง เพื่อมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าพิเศษประจำถิ่นกับผู้คนในเมืองตระกลูโม่ไม่ได้มีการปลูกพืชผักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะจำเป็นจะต้องหาคนไปดูแลทุกวัน ทุกเวลา ยังจะต้องใช้ผลึกวิญญาณเพื่อปกป้องให้พื้นดินมีความอบอุ่น ไม่เช่นนั้นหากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็ทำให้พืชผักตายได้อย่าง่ายดายในเมื่อมีต้นทุนสูงสู้ไปซื้อมาจากข้างนอกยังดีเสียกว่า เมื่อก่อนเยว่เจี้ยนเวยก็คิดเช่นนี้ แต่เมื่อลงมือทำไปเพียงไม่กี่วัน และสนิทสนมคุ้นเคยกับคนรอบ ๆ แล้ว ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพืชผักพวกนี้มีต้องใช้ความพิถีพิถันอยู่“เจ้าก็รู้ พืชผักพวกนี้ ไม่ต้องมองรูปลักษณ์ภายนอก แต่ให้ดูว่าผู้คนในเมืองร้างจะมีสักกี่คนที่ได้กิน?” ลุงผู้หนึ่งที่มีความเชียวชาญเรื่องการพลิกหน้าดินเก็บผักกล่าวกับเยว่เจี้ยนเวยว่า “ก็เพราะภรรยาท่านเจ้าเมืองชอบกินผักผลไม้ที่มีความสดใหม่ ดังนั้นท่านเจ
Read more

บทที่ 36

ลูกศิษย์ทุกคน “...”ลูกศิษย์ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นมีคนเริ่มกล่าวขึ้นมาว่า “พวกข้าแค่มาเดินตรวจตราเป็นเพื่อนคุณชายรองเฉย ๆ ขอรับ เกรงว่าจะมีคนไม่ดีมาลักเล็กขโมยน้อย เสร็จจากตรงนี้ก็กลับไปฝึกวิชาดาบต่อ ท่านเจ้าเมือง ข้าขอตัวลาก่อนขอรับ”สิ้นสุดประโยค ลูกศิษย์แต่ละคนต่างวิ่งเตลิดเปิดเปิง เบียดเสียดผลักดันให้ตัวเองรอดพ้นจากจุดนั้นโม่อวิ๋นเจ๋อได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ก่อนจะกระถืบเท้าด้วยความโมโห และกล่าวต่อว่า “บ้าเอ๊ย! ไอ้พวกคนไม่รักดี กลับไปเจอดีแน่!”สิ้นเสียง หูของเจ้าของคำกล่าวเมื่อครู่ก็ถูกมือของอีกคนบิดจนแดงเถือก“โอ๊ยยย ๆ ๆ ๆ บิดา เจ็บ ๆ ๆ ๆ เบา ๆ หน่อย!”โม่ยี่หานแสยะยิ้มพร้อมกับกัดฟันกล่าวว่า “ตัวแค่นี้หัดหนีวิชาเป็นแล้ว แถมยังพาคนมาจับขโมยในที่เปลี่ยวเช่นนี้อีก ไหนขโมย? เยว่เจี้ยนเวยรึ?”ทันทีที่โม่อวิ๋นเจ๋อได้ยินชื่อเยว่เจี้ยนเวยก็เบะปากพร้อมกับลูบหูตัวเองด้วยความเจ็บจากการโดนบิดและบ่นพึมพำว่า “บิดาก็รู้นี่นา ยังจะมาขวางข้าอีก” โม่ยี่หานกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าเลิกไปวอแวเขาได้แล้ว ปล่อยเขาไปตามยถากรรมไม่ได้หรือย่างไง?”โม่อวิ่นเจ๋อดื้อรั้นเป็นที่สุด เขากล่าวต่อว่
Read more

บทที่ 37

เยว่เจี้ยนเวยได้สร้างค่ายกลพื้นฐานทั่วไปไว้ที่ประตูลานเรือน เพื่อป้องกันไม่ให้คนบุกเข้ามาในตอนที่เขาไม่อยู่จากนั้นเขาก็เข้าไปข้างในตามปกติมีแมลงปอไม้ไผ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนโต๊ะเยว่เจี้ยนเวยยกแมลงปอไม้ไผ่ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา พร้อมกับร่ายมนต์คาถา และสักพักแมลงปอตัวนั้นก็เปล่งเสียงเยว่สือออกมาว่า “นายน้อย ข้าแก้แค้นให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ซื้อเรือนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกในตรอกกู่เซินขอรับ”เยว่เจี้ยนเวยยิ้มขึ้นอย่างโล่งอกสบายใจ พร้อมกับร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง และกล่าวกับแมลงปอไม้ไผ่ตัวเดิมว่า “เจ้าช่วยข้าหาเตาหลอมยา กับสมุนไพรวิเศษสำหรับใช้ทำโอสถรวมวิญญาณเพลิงมรกตมาให้ข้าหน่อย”เมื่อกล่าวจบ เขาก็ปล่อยแมลงปอไม้ไผ่ตัวนั้นออกไปหลังจากนั้น เยว่เจี้ยนเวยลงมือถอดเสื้อผ้า และพับวางไว้ที่ข้างเตียง เลือนร่างอันบอบบางกลิ้งลงบนเตียง หลังจากนั้นไม่นาน บนเตียงก็มีสัตว์เล็กตัวน้อยขนสีขาวฟูฟ่องราวกับลูกบอลหิมะปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเจ้าสัตว์น้อยน่ารักตัวนี้มีรอยประทับรูปเปลวไฟสีแดง หางตามีรอยเส้นสีแดงยกขึ้นสูงชี้ฟ้า ดวงตากลมโตสีฟ้าครามเปล่งประกายระยิบระยับเยว่เจี้ยนเวยสะบัดขนเล็กน้อยก่อนจะ
Read more

บทที่ 38

โม่อวิ๋นเจ๋อกล่าวเสียงดังด้วยความตื่นเต้นว่า “เมื่อครู่ท่านผู้อาวุโสซางกล่าวว่าคืนนี้มณีบุปผาวารินทร์จะเบ่งบาน พอได้ยินข้าตกใจแทบแย่ นับได้ว่าการเบ่งบานของมณีบุปผาวารินทร์ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบร้อยปีในแดนหิมะขาวเลยล่ะ”เยว่เจี้ยนเวยกรอกตาไปมาด้วยความสงสัย พร้อมกับกล่าวในใจว่า มณีบุปผาวารินทร์ไม่ใช่ว่าเป็นสมุนไพรวิเศษที่จะเติบโตได้แค่เฉพาะพื้นที่ที่มีอากาศประดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี และต้องอบอวลไปด้วยพลังหรอกหรือ? จะสามารถเบ่งบานในดินแดนหิมะขาวแห่งนี้ได้อย่างไร?มณีบุปผาวารินทร์บอบบางมาก อากาศร้อนไปหรือหนาวไปนิดเดียวก็ไม่ยอมบานแล้ว และมักจะโตในหุบเขาที่เงียบสงบ หลีกหนีจากโลกภายนอกส่วนดอกของมณีบุปผาวารินทร์มีสีดำสลับขาว ให้ความรู้สึกสง่าองอาจ ไม่ต้องพูดถึงทวีปชางหมาง แม้แต่ทวีปเซียนจื่อเจ๋อ มีน้อยคนมากที่จะสามารถปลูกกล้วยไม้ชนิดนี้ให้ออกดอกได้แม้ว่ากล้วยไม้ชนิดนี้จะมีคุณค่าทางยาไม่มากนัก แต่ความหายากของมันทำให้มันมีค่า ถึงขั้นได้รับการขนานนามว่า ‘การเบ่งบานของมณีบุปผาวารินทร์คือปรากฏการณ์ที่งดงามจนหาที่ติไม่ได้’ เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมากโม่ชางหลานชอบมณีบุปผา
Read more

บทที่ 39

เยว่เจี้ยนเวยน้ำลายไหลเกือบถึงพื้น เขาดีใจจนเนื้อเต้นอยู่ไม่สุข กลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุดจนเกือบจะกลิ้งออกมาจากกองหญ้าแห้งในขณะที่ชายคนนั้นชมความงามของดอกไม้ แต่เขากลับเฝ้ามองใบหน้างามยิ่งกว่าดอกไม้ของชายคนนั้นความจริงแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เขาอาศัยอยู่ในทวีปเซียนจื่อเจ๋อ เขาเคยพบและพูดคุยกับโม่ชางหลานมาก่อน แถมยังเคยโดนเขากอดอีกด้วยตอนนั้นเขาอายุเพียงแค่หกปี ส่วนโม่ชางหลานอายุยี่สิบปีในปีนั้นโม่ชางหลานได้รับเชิญจากตระกูลสายเลือดกิเลนให้ไปที่ทวีปเซียนจื่อเจ๋อ เพื่อเข้ารับการฝึกฝนกับเหล่าลูกหลานตระกูลกิเลน รวมไปถึงตระกูลใหญ่และสำนักต่าง ๆ จากทั่วทวีปเซียนจื่อเจ๋อ ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ได้แต่ฟังพี่สาวในตระกูลเดียวกันยิ้มเขิลหน้าแดงเล่าว่า เมื่อวานมีเด็กหนุ่มจากโลกเบื้องล่างมา เพียงแค่เขาปรากฏตัวในเสี้ยววิก็ทำเอาเหล่าบรรดาชายหญิงรูปงามทั้งหลายในทวีปเซียนต้องหลบออร่าความงามของเขา ยังมีลูกหลานตระกูลกิเลนในทวีปเซียนจื่อเจ๋อที่ไม่ยอมรับ และไปท้าประลองวิชาฟันดาบกับเขา แต่เขาก็เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะมาอยู่ดี หลังจากนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกรุมล้อมไปด้วยหนุ่มสาวที่มอบความรักให้แก่เขา
Read more

บทที่ 40

เยว่เจี้ยนเวยมองไปยังใบหน้าของโม่ชางหลานที่กำลังจัดทรงผมอันแสนยุ่งเหยิงของเขาให้เรียบร้อย แถมยังหยิบยาขึ้นมาถูที่แผลบนมือของเขาให้อย่างอ่อนโยน ไม่รู้เหตุใด จู่ ๆ น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขาไม่หยุดดูท่าโม่ชางหลานจะปลอบเด็กไม่ค่อยเป็นสักเท่าไหร่ เขาได้แต่เลิกคิ้วและกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าอุตส่าห์ไล่เจ้าพวกนั้นให้เจ้า เหตุใดยังร้องไห้อีก? ข้าไม่เคยปลอบเด็กหรอกนะ ถ้าหากขืนเจ้ายังร้องไห้อยู่เช่นนี้ คนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาจะคิดว่าข้ารังแกเจ้าเอานะ แล้วเช่นนี้ข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน?”เยว่เจี้ยนเวยน้ำตาคลอเบ้า ไม่กล้าร้องไห้ต่อ เลยได้แต่ส่งเสียงที่เริ่มสะอึกสะอื้นออกมาแทน“ฮึก——”“ฮึก——”“ฮึก——”โม่ชางหลานถึงกับหัวเราะออกมาเยว่เจี้ยนเวยเห็นอย่างนั้นจึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากระพริบปริบ ๆ มองไปที่โม่ชางหลานพร้อมกับกล่าวว่า “พี่ชาย หากท่านกอดข้า ข้าก็จะไม่ร้องไห้”โม่ชางหลานมองออกว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้ากำลังจ้องจะฉวยโอกาสจากเขา เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างติดตลกว่า “ข้าไม่กล้าหรอก ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน หากตอนนี้ข้ากอดเจ้า เช่นนี้ในอนาคตข้าก็ต้องแต่งงานกับ
Read more
PREV
1234569
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status