การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน

การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน

By:  ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวดUpdated just now
Language: Thai
goodnovel4goodnovel
Not enough ratings
84Chapters
13views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

Chapter 1

บทที่ 1

ภายในตำหนักอันงดงามและเงียบสงัด แม้สาวใช้และผู้รับใช้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่พวกเขาล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การเคลื่อนไหวดั่งสายลม ไม่กล้าส่งเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสำนักเซียนยอดเมฆามีกฎระเบียบเคร่งครัด แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนกลัวว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะรบกวนท่านประมุขผู้ไม่ชอบฟังเสียงใด ๆ

เยว่เจี้ยนเวยกำลังเอนกายอยู่บนเตียงนุ่มที่ถักทอจากเส้นไหมสวรรค์ประดับไข่มุกน้ำแข็ง มีสาวใช้สองคนคุกเข่าอยู่ทั้งซ้ายและขวา คนหนึ่งถือถาดหยกเย็นเฉียบ บนนั้นวางองุ่นสีฟ้าใสหลายลูก อีกคนหนึ่งใช้มือเรียวงามปอกองุ่นแล้วป้อนใส่ปากเยว่เจี้ยนเวยด้วยตนเอง

ทั่วทั้งทวีปเซียนจื่อเจ๋อต่างรู้กันดีว่า ท่านประมุขเยว่เจี้ยนเวยแห่งสำนักเซียนยอดเมฆา เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเรื่องเจ้าชู้และขี้เกียจที่สุดในโลก

รอบกายเขามีสาวใช้มากมาย แต่ละคนล้วนเป็นสาวงาม เขามักใจดีกับสาวงามเป็นพิเศษเสมอ

สำนักเซียนยอดเมฆาเงียบสงัดไร้เสียงใด บางครั้งมีเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ เสียงลมพัดใบไผ่ กลับยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเงียบงันมากขึ้น

ยามนี้ ผู้รับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา ก่อนอื่นเขาส่งสายตาให้ผู้รับใช้ที่ประตูตำหนัก เพื่อยืนยันว่าท่านประมุขไม่ได้กำลังพักผ่อนและยังอารมณ์ดีอยู่ จากนั้นจึงแจ้งเรื่องและเดินเข้ามาโดยไร้ซุ้มเสียง

เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้นมองผู้รับใช้คนนั้นแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าเศร้า จึงกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่า โม่อวิ๋นเจ๋อเจ้าหนูนั่นยังไม่ไปอีก”

ผู้รับใช้ค้อมตัวกล่าว “ท่านประมุขช่างหยั่งรู้ เขายังคงรออยู่ที่นั่นจริง ๆ ขอรับ ทั้งบอกอีกว่าหากท่านประมุขไม่ออกไปพบเขา เขาก็จะไม่ไปไหน”

เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะในลำคอ หยิบองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากสาวใช้ที่ป้อนองุ่นให้เขา ก่อนเลิกคิ้วมองสาวใช้คนนั้นที่หัวเราะคิกคัก แล้วกล่าวว่า “พี่ชายเขาทอดทิ้งข้าไป จนถึงตอนนี้ก็หนึ่งพันปีแล้ว การที่ข้าให้เขารออยู่หน้าประตูหนึ่งพันวัน ไม่นับว่าเกินไปใช่หรือไม่?”

ผู้รับใช้สะดุ้งอยู่ในใจ เรื่องราวซุบซิบในอดีตของท่านประมุขไม่ใช่เรื่องน่าฟังอันใด ด้วยไม่รู้ว่าวันไหนท่านประมุขจะนึกได้ว่ามีคนรู้เรื่องในอดีตของตน แล้วเกิดความคิดฆ่าปิดปากเอาชีวิตเขาขึ้นมา

ผู้รับใช้รีบกล่าวว่า “ท่านประมุขใจกว้าง แน่นอนว่าไม่เกินไปขอรับ โม่อวิ๋นเจ๋อมาขอพบท่านประมุข แม้จะต้องรอถึงหนึ่งพันปี ก็นับเป็นวาสนาของเขาแล้ว”

ในส่วนของ “พี่ชาย” ที่ทอดทิ้งท่านเจ้าสำนักเขาไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้น ผู้รับใช้ไม่กล้าพูดถึงแม้แต่น้อย เขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็เคยได้ยินมาว่า เยว่เจี้ยนเวยเคยถูกบุรุษคนหนึ่งทอดทิ้ง จนถึงตอนนี้ ข้างนอกยังมีคนเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนเยว่เจี้ยนเวยอยู่เสมอ

เยว่เจี้ยนเวยลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “พอแล้ว ให้เขาเข้ามาเถอะ หลังเขาพบเจอข้าแล้ว จะได้ให้เขารีบไปให้พ้น อย่ามาทำตัวเป็นเทพเฝ้าประตูที่หน้าสำนักข้าทั้งวันทั้งคืนเพราะไม่มีอะไรทำ มันน่ารำคาญนัก”

ผู้รับใช้รีบถอยออกไป เชิญชายหนุ่มที่ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งบนก้อนหินใหญ่นอกประตูสำนักเซียนยอดเมฆาท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านตลอดหนึ่งพันวันหนึ่งพันคืนให้เข้ามา

ก่อนเข้าไป โม่อวิ๋นเจ๋อถามว่า “เยว่เจี้ยนเวยเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อท่านเจ้าสำนักโดยตรง ผู้รับใช้ก็จ้องมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด คิดในใจว่าเจ้าหนูนี่ช่างกล้าดีนัก

ผู้รับใช้ไม่ตอบ โม่อวิ๋นเจ๋อสำรวจเทพธิดาและดอกไม้ผีเสื้อมากมายรอบตัว พูดพึมพำว่า “ดูเหมือนว่า คงอยู่อย่างสุขสบายไม่น้อย ตำหนักนี้มีแต่ดอกไม้ประหลาดพืชวิเศษ สัตว์อสูรและนกวิเศษ ดีกว่าสมัยก่อนที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ใช้ชีวิตไม่มีวันสงบสุข”

ผู้รับใช้นิ่งเงียบ ทำเป็นไม่ได้ยิน ออกเดินนำทางไปอย่างเงียบงัน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักแห่งนี้ แม้แต่คำกระซิบก็ไม่อาจหลุดรอดหูของเยว่เจี้ยนเวยไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าพลังของเยว่เจี้ยนเวยในปัจจุบันสูงส่งเพียงใด มันยังคงเป็นปริศนาอยู่เสมอ

“แค่เงียบเกินไปหน่อย” โม่อวิ๋นเจ๋อพึมพำเบา ๆ ก่อนก้าวเข้าประตูตำหนักด้านใน “เมื่อก่อนเขาชอบความคึกคักที่สุด สถานที่เงียบสงัดเช่นนี้ เขาจะทนอยู่ได้หรือ?”

ผู้รับใช้ “...”

เยว่เจี้ยนเวยตะโกนออกมาจากด้านใน “มัวแต่พร่ำอันใดเหลวไหล รีบเข้ามาพูดให้มันรู้เรื่องเสียที”

ดวงตาของโม่อวิ๋นเจ๋อสั่นไหวเล็กน้อย ถอนหายใจเบา ๆ ยกเท้าข้ามธรณีประตู เดินเข้าสู่ตำหนักอันงดงามตระการตา

เยว่เจี้ยนเวยเอนกายอยู่บนขาของหญิงสาวนางหนึ่ง สองเท้าเปื่อยเปล่า สวมเสื้อคลุมยาวสีสดใส เปิดหน้าอกเล็กน้อย ดูสบายใจอย่างที่สุด

เมื่อโม่อวิ๋นเจ๋อพบเห็นเยว่เจี้ยนเวย ดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย

“พี่สะใภ้” โม่อวิ๋นเจ๋อร้องเรียก

“พรืด—” เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ เยว่เจี้ยนเวยผู้เพิ่งงับองุ่นที่สาวใช้ป้อนใส่ปากก็พ่นองุ่นออกมาทันที และองุ่นเจ้ากรรมนั้นดันไปตกใส่ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อเข้าพอดี

โม่อวิ๋นเจ๋อไม่แสดงอาการใด ๆ หากเป็นแต่ก่อน เขาคงกระโดดพรวดขึ้นมาด่าทอไปแล้ว

แต่ก็ไม่อาจโทษเยว่เจี้ยนเวยได้ ในอดีตแม้เยว่เจี้ยนเวยจะคบหากับพี่ชายของโม่อวิ๋นเจ๋อ แต่โม่อวิ๋นเจ๋อก็ไม่เคยชอบหน้า ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่เคยเรียกเขาว่าพี่สะใภ้เลยสักครั้ง

เยว่เจี้ยนเวยช้อนตามองผู้มาเยือน กล่าวว่า “หากเจ้ามีความต้องการอันใด เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ข้าก็อาจไม่ปฏิเสธ ขอเพียงเจ้าพูดออกมาตามตรงก็พอ คำเรียกเพื่อประจบประแจงเช่นนี้ ข้ารับไม่ไหว อย่ามาทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจ”

ดวงตาที่เจิดจ้าดั่งดวงดาวฤดูหนาวของโม่อวิ๋นเจ๋อพลันหม่นหมอง เขาก้มหน้าลงก่อน แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังท่านประมุขผู้สูงส่ง กล่าวว่า “ตลอดหลายปีมานี้ ท่านไม่เคยสนใจพี่ใหญ่ของข้าเลยหรือ?”

เยว่เจี้ยนเวยคลี่ยิ้มบนใบหน้า แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูจอมปลอม เขาหยิบองุ่นอีกลูกขึ้นมาป้อนให้สาวงามด้านหลัง แล้วกล่าวอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “อวิ๋นเจ๋อน้อย เจ้าคงไม่ได้ความจำเสื่อมหรอกกระมัง?”

โม่อวิ๋นเจ๋อไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองเขาด้วยแววตามุ่งมั่น

เยว่เจี้ยนเวยหุบยิ้ม กล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อเจ้าลืมไปแล้ว ข้าก็จะบอกให้ฟัง หนึ่งพันปีก่อนโม่ชางหลานแต่งงานกับประมุขสำนักโอสถตานซินหยาง ได้สมุนไพรวิเศษแปดชนิด ปรุงยาถอนพิษหมื่นกระดูกได้สำเร็จ เขาย่อมมีภรรยางามอยู่ในอ้อมกอด มีทั้งโลกหล้าอยู่ในสายตา ใช้ชีวิตสุขสบาย ข้ามีอะไรต้องเป็นห่วงเขาด้วย คำพูดของเจ้านี่ ช่างน่าขบขันที่สุด!”

โม่อวิ๋นเจ๋อเจ้าเด็กคนนี้ แม้ว่าตอนนี้อายุจะไม่น้อยแล้ว ก็ยังคงเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อได้ฟังคำพูดของเยว่เจี้ยนเวย ก็ถึงกับมีขอบตาแดงก่ำทันที

เยว่เจี้ยนเวยกลับรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “เจ้าน้อยใจอะไร? คนที่ควรเจ็บปวด น่าจะเป็นข้าต่างหากไม่ใช่หรือ?”

โม่อวิ๋นเจ๋อสะอื้นเบา ๆ พลางกลั้นความเจ็บปวดไว้ กำหมัดแน่น กล่าวเสียงสะอื้น “ท่านไม่ได้สนใจเขาเลย ท่านไม่เคยถามถึงเรื่องของเขาตลอดหนึ่งพันปี ท่านไม่รู้เลย พี่ใหญ่ของข้า... พี่ใหญ่ของข้าเขาจากไปแล้วในปีที่สามที่ท่านปิดด่าน… เขาจากไปแล้ว เขาจากไปแล้ว ท่านเข้าใจหรือไม่?”

“...”

เยว่เจี้ยนเวยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สมองของเขาแทบว่างเปล่า

โม่ชางหลานจากไปแล้ว?

จากไปแล้วหมายความว่าอะไร?

ออกจากทวีปเซียนจื่อเจ๋อไปแล้วหรือ?

หรือว่าเขาพบโชควาสนาครั้งใหญ่ บรรลุธรรมและล่องลอยไปยังโลกที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว?

แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดบรรลุภพภูมิเลยเล่า?

แล้วเจ้าร้องไห้เหตุใด โม่อวิ๋นเจ๋อ เจ้าอายุพันกว่าปีแล้ว เจ้าร้องไห้ทำบ้าอะไร!

เยว่เจี้ยนเวยเคยคิดว่าหัวใจของตนได้จมดิ่งลงสู่ก้นบึงไร้ความรู้สึก แต่เพียงคำพูดไม่กี่คำของโม่อวิ๋นเจ๋อกลับกวนให้ทะเลสาบในใจเขาปั่นป่วนไปทั้งผืน

เยว่เจี้ยนเวยได้ยินตัวเองพูดว่า “ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ เพียงแค่พันปี ก็สามารถบรรลุภพภูมิได้แล้วสินะ”

โม่อวิ๋นเจ๋อกล่าว “เขาไม่ได้บรรลุภพภูมิ แต่เขาตายแล้ว ตายไปเมื่อพันปีก่อน”

“...”

“หลังท่านประมุขแยกจากพี่ใหญ่ของข้า ก็ปิดด่านหลายร้อยปี ไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก กระทั่งไม่ยอมให้คนรอบข้างพูดถึงพี่ใหญ่ของข้า ท่านจึงไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่ได้แต่งงานกับเจ้าสำนักโอสถตานซินหยาง เพียงสามปีต่อมาก็เสียชีวิตด้วยแกนพลังอสูรแตกกระจาย เส้นเอ็นขาดสะบั้น พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ หลังออกจากการปิดด่าน ท่านประมุขก็ประพฤติตนเจ้าชู้เช่นนี้ มีสาวงามห้อมล้อมรอบกาย สำราญรื่นเริง จึงยิ่งไม่นึกถึงพี่ใหญ่ของข้าแม้แต่น้อย”

สมองของเยว่เจี้ยนเวยคล้ายมีเสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้น

โลหิตทั่วร่างเขาราวกับถูกกระแสความเย็นซึ่งไม่รู้ที่มาแช่แข็งไว้ ร่างอ่อนนุ่มด้านหลังพลันไม่ต่างจากแผ่นเหล็กแข็งกระด้าง

โม่ชางหลานตายแล้ว?

เขาตายได้อย่างไร?

วิชาการปรุงยาของตานซินหยางเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า สมุนไพรวิเศษแปดอย่างก็รวบรวมครบแล้ว อย่างไรก็ต้องถอนพิษและรักษาร่างกายเขาได้แน่ แล้วเขาจะตายได้อย่างไร?

เยว่เจี้ยนเวยเกิดความสับสนยิ่งนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขบขันที่สุด หากอีกไม่นานโม่ชางหลานก็ต้องตาย แล้วเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้ทำตัวใจกว้างยอมทนเจ็บปวดยกโม่ชางหลานให้ผู้อื่นด้วยเล่า?

เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะพรวดออกมา พูดด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “ตายแล้ว? นั่นช่างน่าเสียดายจริง ไม่ว่าอย่างไร ใบหน้าซึ่งงดงามที่สุดในใต้หล้าของโม่ชางหลานก็ถูกใจข้านัก แม้เขาจะเป็นคนพิการ แต่รสชาติของเรือนร่างเขา—ให้ตายเถอะ ไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน ผ่านไปพันปีคิดดูอีกที ข้ายังคงจดจำได้ไม่เสื่อมคลาย... ฮ่า ๆ หลายปีมานี้ ข้าลิ้มลองสาวงามมาไม่น้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำให้เคลิบเคลิ้มได้มากกว่าเขาสักคน”

โม่อวิ๋นเจ๋อเช็ดหางตา เงยหน้ามองเยว่เจี้ยนเวยที่อยู่บนเตียงนุ่ม จิตใจพลันสงบลง “ท่านประมุขพูดเช่นนี้ หากพี่ใหญ่ข้าที่อยู่ใต้ดินรู้เข้าคงดีใจ อย่างน้อยไม่ว่าจะรักหรือชัง ท่านประมุขก็ยังคิดถึงเขาอยู่”

ทันใดนั้น ใบหน้าของเยว่เจี้ยนเวยก็เย็นชาลง เขาหน้าตาหล่อเหลา แม้ไม่ยิ้มก็ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับสัมผัสสายลมในวสันตฤดู แต่เมื่อเขาเคร่งขรึมก็ไม่ต่างจากน้ำค้างแข็งหมื่นลี้ ทำให้ผู้คนหนาวสั่นแม้ไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นก็ตาม

“คำพูดของเจ้าช่างน่าสนใจ พูดเหมือนว่าเขายังมีใจให้ข้าอยู่ เจ้าอย่าลืมนะ เขาเพื่อที่จะมีชีวิตรอดจึงทิ้งข้าเสมือนทิ้งรองเท้าเก่า ไม่สนใจความรักลึกซึ้งที่ข้ามีให้เขา เขาโยนข้าทิ้งเหมือนเศษผ้าเก่าขาด ทำให้ข้าถูกผู้คนหัวเราะเยาะไปทั่ว!”

“ข้าจะบอกความจริงให้ฟัง สมุนไพรวิเศษแปดชนิดที่เขาต้องการเพื่อถอนพิษ ข้าเองก็มี นักปรุงยาที่สามารถปรุงยาแก้พิษได้ ข้าก็หาได้เช่นกัน แต่เขาต้องการความร่ำรวยและเกียรติยศจึงทิ้งข้าไปหาตานซินหยาง!”

“เขาตายแล้ว นี่คือชะตากรรม ถือเป็นกรรมตามสนอง!”

ระหว่างที่เยว่เจี้ยนเวยพูดไป ระดับเสียงก็ค่อย ๆ ดังและสูงขึ้น แม้แต่ขอบตาก็มีสีแดงดุร้าย เขาเดินเท้าเปล่าบนพื้นหยกขาว ลงมายืนตรงหน้าโม่อวิ๋นเจ๋อ จ้องมองด้วยแววตาดุดันพร้อมกล่าวว่า “ตอนนี้เขาตายแล้ว ไม่ทราบเกี่ยวอะไรกับข้า? เขาไม่ได้แต่งงานกับตานซินหยาง เกี่ยวอะไรกับข้าหรือ? เจ้าอย่าบอกนะว่า สุดท้ายเขาสำนึกเสียใจ แต่เสียใจแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน?”

“เขาไม่เคยเสียใจจนกระทั่งวันตาย” ในที่สุด โม่อวิ๋นเจ๋อก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

เส้นเลือดที่คอเขาปูดโปน จ้องเยว่เจี้ยนเวยเขม็ง คำรามว่า “ท่านคิดว่า พี่ใหญ่ข้าทำเพื่อสมุนไพรแปดชนิดและเพื่อความมั่งคั่งรุ่งเรืองในอนาคตงั้นหรือ? พี่ใหญ่ข้าในใจท่านเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”

“...”

“ผิดแล้ว ผิดมาตั้งแต่ต้น! ท่านไม่รู้ ทุกคนไม่รู้ ยาถอนพิษนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้าย ไม่ใช่แปดชนิด แต่มีอยู่สิบชนิดต่างหาก!”

เยว่เจี้ยนเวยชะงักกึก

สิบชนิด?

เยว่เจี้ยนเวยกำแขนเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว

โม่อวิ๋นเจ๋อร้องไห้จนหายใจไม่ทัน ตะโกนใส่เยว่เจี้ยนเวยด้วยเสียงแหบพร่า “สมุนไพรชนิดที่เก้าคือเขากิเลน สมุนไพรชนิดที่สิบคือแกนพลังอสูรของกิเลน และในบรรดากิเลนทั้งหมด แกนพลังอสูรกิเลนตัวเมียมีพลังหยางมากเกินไป มีเพียงแกนพลังอสูรของกิเลนตัวผู้ที่มีความสมดุลของหยินหยางเท่านั้นถึงใช้ปรุงยาได้... ในโลกนี้ มีกิเลนตัวผู้ตรงตามคุณสมบัติเพียงตนเดียวคือท่าน พี่ใหญ่ของข้า ฮือ ๆ... พี่ใหญ่ของข้าจะทนเห็นท่านทุกข์ทนทรมานได้อย่างไร เขาจะยอมให้ท่านตายเพื่อเขาได้อย่างไร?”

“...”
Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
84 Chapters
บทที่ 1
ภายในตำหนักอันงดงามและเงียบสงัด แม้สาวใช้และผู้รับใช้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่พวกเขาล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การเคลื่อนไหวดั่งสายลม ไม่กล้าส่งเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสำนักเซียนยอดเมฆามีกฎระเบียบเคร่งครัด แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนกลัวว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะรบกวนท่านประมุขผู้ไม่ชอบฟังเสียงใด ๆเยว่เจี้ยนเวยกำลังเอนกายอยู่บนเตียงนุ่มที่ถักทอจากเส้นไหมสวรรค์ประดับไข่มุกน้ำแข็ง มีสาวใช้สองคนคุกเข่าอยู่ทั้งซ้ายและขวา คนหนึ่งถือถาดหยกเย็นเฉียบ บนนั้นวางองุ่นสีฟ้าใสหลายลูก อีกคนหนึ่งใช้มือเรียวงามปอกองุ่นแล้วป้อนใส่ปากเยว่เจี้ยนเวยด้วยตนเองทั่วทั้งทวีปเซียนจื่อเจ๋อต่างรู้กันดีว่า ท่านประมุขเยว่เจี้ยนเวยแห่งสำนักเซียนยอดเมฆา เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเรื่องเจ้าชู้และขี้เกียจที่สุดในโลกรอบกายเขามีสาวใช้มากมาย แต่ละคนล้วนเป็นสาวงาม เขามักใจดีกับสาวงามเป็นพิเศษเสมอสำนักเซียนยอดเมฆาเงียบสงัดไร้เสียงใด บางครั้งมีเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ เสียงลมพัดใบไผ่ กลับยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเงียบงันมากขึ้นยามนี้ ผู้รับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา ก่อนอื่นเขาส่งสายตาให้ผู้รับใช้ที่ประตูตำหนัก เพื่อยืนยันว่าท่านปร
Read more
บทที่ 2
“เมื่อก่อนท่านบอกว่าเขาไม่รักท่าน ไม่ห่วงใยเอาใจใส่ท่าน แต่ถ้าเขาไม่รักท่าน เหตุใดเขาจึงยอมตาย ยอมสละการแก้แค้น แทนที่จะทำให้ท่านลำบากใจ?”เยว่เจี้ยนเวยถอยหลังไปสองก้าวอย่างซวนเซ ใบหน้ามีแต่ความว่างเปล่าราวกับถูกฟ้าผ่า ทั้งร่างเหมือนก้าวเท้าครึ่งหนึ่งเข้าสู่นรก หรือราวกับถูกวิญญาณนับหมื่นจับขาและรัดคอพร้อมกันเขาถึงกับหายใจไม่ออก“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ยาถอนพิษสลายหมื่นกระดูกต้องใช้สมุนไพรเพียงแปดชนิดเท่านั้น เจ้าหลอกข้า... อย่าคิดหลอกข้าเชียว!”“เป็นไปไม่ได้งั้นหรือ? ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ข้าก็หวังว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าจะได้ไม่ต้องเสียพี่ชายไป”โม่อวิ๋นเจ๋อเช็ดน้ำตาและสูดน้ำมูก พลางกล่าว “ข้าคิดว่าตานซินหยางหลอกพี่ชายข้า ข้าจึงไปถามความจริงจากตานซินหยาง แต่เขากลับบอกว่า บิดาข้ารู้สูตรยาที่แท้จริงมาตั้งแต่แรก ข้าจึงกลับไปถามบิดา บิดาบอกเพียงว่า... เขาบอกเพียงว่าแรกเริ่มที่ไม่ได้บอกพี่ชายข้าเรื่องสมุนไพรอีกสองชนิดสุดท้าย เป็นเพราะกิเลนตัวผู้ที่แปลงร่างได้นั้นหลายล้านปียากจะพบสักตัว เขากลัวว่าหากบอกไป พี่ใหญ่ของข้าจะหมดหวัง และอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปี”“สาเหตุที่พิษสลายหมื่นกระดูกได้
Read more
บทที่ 3
ภายในตำหนักกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งเยว่เจี้ยนเวยมองบรรดาสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “ทำต่อสิ เจ้า เจ้าถือจาน เจ้าปอกองุ่นต่อ ส่วนเจ้ามาทำหน้าที่เป็นหมอนอิงให้ข้า...”สาวใช้ทั้งหลายมองหน้ากัน ก่อนกลับเข้าประจำตำแหน่งด้วยความหวาดหวั่นลังเล บางคนยกจานแก้วใสขึ้น บางคนคุกเข่าปอกองุ่นส่วนหญิงงามที่มีมวยผมนั้นเพิ่งนั่งลงบนเตียง ก็ได้ยินเยว่เจี้ยนเวยกล่าวว่า “ช่างเถอะ เจ้าถอยไปยืนข้าง ๆ ดีกว่า คนที่จะดูก็ไม่มีแล้ว ยังทำท่าทางอะไรอีก สนุกอยู่คนเดียวหรือ?”หญิงงามผู้นั้นจึงขยับไปยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ส่งเสียงใดเยว่เจี้ยนเวยกินองุ่นไปหนึ่งลูก ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าตำหนักนี้ช่างกว้างใหญ่และเงียบเชียบเกินไปจึงกล่าวอีกว่า “เจ้าร้องเพลงเป็นหรือไม่? ร้องเพลงสักเพลงเถิด”หญิงงามเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านประมุขอยากฟังเพลงอะไรเจ้าคะ?”เยว่เจี้ยนเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “เอาเพลงนั้นน่ะ เพลงไว้อาลัยคนตาย”ใบหน้าของหญิงงามแข็งเกร็ง นางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนเริ่มขับขานลำนำ “ข้าดั่งกระเบื้องเขียวเรียวบาง ท่านดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณ น้ำค้างเหือดหายใต้แสงการุณ กระเบื้องยังคงเกื้อหนุนแ
Read more
บทที่ 4
ค่ำคืนมืดมิดราวกับถูกราดด้วยน้ำหมึกโบราณนับหมื่นปี ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างเพียงน้อยนิด ในป่าทึบ อาชาวิเศษพันลี้สีดำสนิทกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดกำลังควบไปอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า แต่กีบเท้าทั้งสี่ที่ห้อตะบึงลงบนพื้นกลับไม่มีเสียงแม้แต่น้อยบนหลังอาชาวิเศษ ชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กหนุ่มร่างบอบบางที่หันหลังให้เส้นทางด้านหน้าไว้ในอ้อมแขน กำลังตั้งใจเร่งเดินทางอย่างสุดความสามารถอาชาวิเศษวิ่งด้วยฝีเท้ามั่นคงยิ่ง แต่เพราะใช้ความเร็วมากเกินไป สุดท้ายก็ยังคงมีความรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างเยว่เจี้ยนเวยลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย รู้สึกมึนงงในศีรษะปะปนกับความเจ็บแปลบ ทั้งร่างอ่อนแรง ภาพเหตุการณ์มากมายแวบผ่านไป ชั่วขณะนั้นเขาถึงกับแยกไม่ออกว่าเวลานี้คือเมื่อใดภาพสุดท้ายในความทรงจำของเขา ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ฟาดจนวิญญาณแตกสลาย คงไม่อาจไปเกิดใหม่ชั่วนิรันดร์ แต่ในใจเขากลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังสะใจอย่างยิ่ง รู้สึกแม้กระทั่งภาคภูมิใจ—ในที่สุดเขาก็แก้แค้นให้โม่ชางหลานได้สำเร็จ“นายน้อยตื่นแล้วสินะ หลับไปตั้งสองวัน หากยังไม่ตื่นอีก ข้าคงต้องเรียกท่านว่าหมูน้อยแล้ว” เสียงอ่อนโยน
Read more
บทที่ 5
พิณยมทูตหัวเราะเฮอะ ๆ กล่าวว่า “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อย สามารถพาเด็กคนนี้หนีมาจากทวีปเซียนจื่อเจ๋อถึงที่นี่ได้ ก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว แต่น่าเสียดายที่โชคดีของเจ้า เมื่อพบกับพวกเราก็ถึงคราวจบสิ้น!”พิณยมทูตดีดพิณไม่เป็นจังหวะ เงาที่ส่งผ่านจากสายพิณกลายเป็นรูปร่างบิดเบี้ยวทอเป็นตาข่ายใหญ่ พุ่งไปครอบคลุมเยว่สือจากด้านบน เส้นสายในตาข่ายนี้คมกริบยิ่งกว่าใบมีด เพียงชั่วพริบตาก็สามารถเฉือนเนื้อเยว่สือได้เป็นชิ้น ๆส่วนปีศาจเฒ่าดาบมังกรก็ไม่ยอมแพ้ ตะขอเหล็กถูกผูกติดกับโซ่เหล็กพุ่งตรงไปที่เยว่สือ ฉีกเนื้อออกจากขาของเขา แล้วเปลี่ยนทิศทาง ตะขอนั้นพุ่งไปที่แขนของเยว่สือ...ในช่วงวิกฤตนั้น เยว่เจี้ยนเวยที่ดูเหมือนยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้แม้แต่จะวิ่งก็ไม่รู้จักวิ่ง กลับเอียงกายหมุนตัว กริชเล่มหนึ่งพลันปักเข้าที่หัวใจของปีศาจเฒ่าดาบมังกรโดยทันทีปีศาจเฒ่าดาบมังกรรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจ ได้แต่ก้มมองด้ามกริชซึ่งโผล่พ้นออกมา—ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ เขาฝึกวิชากายทองคำสำเร็จแล้ว แม้ผิวหนังจะให้สัมผัสไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริง อาวุธธรรมดาย่อมไม่อาจแทงทะลุได้ แล้วเด็กน้อยที่ยังไม่มีแกนพลังวิญญาณ
Read more
บทที่ 6
ต่อมา เยว่เจี้ยนเวยได้หยุดขบวนของเยว่อิ่นจือทายาทตระกูลเยว่ที่กำลังเดินทางกลับบ้านเยี่ยมญาติ แล้วแสดงตรายืนยันตัวให้เขาดู เยว่อิ่นจือเห็นสภาพอันน่าสงสารจึงพาเขาไปยังตระกูลเยว่ หลังจากถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ จนแน่ใจในตัวตนของเยว่เจี้ยนเวยแล้ว ก็สั่งให้คนในตระกูลเยว่รับเขาไว้ ให้การดูแลเหมือนสมาชิกสายตรงของตระกูล และยังกำชับทุกคนว่าห้ามดูแคลนเด็ดขาดแม้เยว่อิ่นจือจะเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบพูดมาก แต่เขาก็เป็นคนที่มีเหตุผล และเป็นคนเดียวในตระกูลเยว่ที่เยว่เจี้ยนเวยชื่นชอบแต่เยว่อิ่นจือก็เป็นศิษย์สำนักราชันย์คืนวิญญาณ เขากลับมาได้เพียงสองเดือนก็ต้องจากไปอีกครั้ง หลังจากนั้นหลายปีก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยหลังเยว่อิ่นจือจากไป คนในตระกูลเยว่ที่เคยสุภาพนอบน้อมกับเยว่เจี้ยนเวยก็เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาไม่เพียงแต่เย้ยหยันต่อหน้าว่าบิดาของเขาเป็นคนใจดำอำมหิตไม่ใส่ใจตระกูล แต่ยังอาศัยการที่เยว่เจี้ยนเวยไม่มีผู้ใดคุ้มครอง รังแกเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ให้ทรัพยากรฝึกวิชาใด ๆ แม้แต่เสื้อผ้าใหม่ก็ไม่ให้สวมใส่ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น พวกศิษย์ตระกูลเยว่ยังรวมหัวกันแย่งชิงกำไลสรรพภพที่บิดาให้เขาไว้ แล้วเอาขอ
Read more
บทที่ 7
“หัวหน้าปีศาจน้ำแข็งปรากฏตัวห่างออกไปสิบลี้ขอรับ”ทหารน้อยคนหนึ่งในชุดเกราะเปื้อนเลือดคุกเข่าข้างหนึ่ง เสียงสั่นเครือแต่ยังคงควบคุมท่าทีได้มั่นคง รายงานชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอยู่บนรถเข็น สวมเสื้อคลุมขนสัตว์เบาบางว่า “ซ้ำยังพาปีศาจน้ำแข็งมาเป็นพัน ๆ ตัว ทั้งพวกที่บินได้และวิ่งได้ ท่านเจ้าเมืองและคุณชายรองไปตัดเส้นทางทัพข้าศึก เกรงว่าหากครึ่งชั่วยามไม่อาจกลับมาทันเวลา เมืองนี้... คงยากจะป้องกันแล้วขอรับ”มือขวาของโม่ชางหลานที่วางอยู่บนขา มีผีเสื้อสีนิลตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกเกาะอยู่บนนิ้วกลาง ผีเสื้อนั้นดูดเลือดบนมือของโม่ชางหลานเล็กน้อย เมื่อนิ้วของโม่ชางหลานขยับ ผีเสื้อสีนิลก็โผบินออกไปนอกเมือง“ร้อนใจไปใย” เสียงของโม่ชางหลานเนิบนาบและแฝงความเกียจคร้านอยู่ในที ตัวคนดูเป็นธรรมชาติ นิ้วของเขาจับเส้นใยที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ขยับไปมาสองสามที ก่อนกล่าวว่า “ข้ายังไม่ตายหรอก เมืองนี้แตกไม่ได้ ข้าจะออกไปดูสถานการณ์เอง”ทหารน้อยพลันสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางที่เดิมคุกเข่าข้างเดียวกลายเป็นคุกเข่าทั้งสองข้าง กล่าวว่า “นายน้อยโปรดอย่ากังวล ให้ข้าออกไปปกป้องก่อน ข้างนอกลมแรงหิมะหนาว รวมถึงปีศาจน้ำแข็งพ
Read more
บทที่ 8
“แย่แล้ว” ผู้อาวุโสจื่อชวนที่เพิ่งจัดวางค่ายกลเสร็จและรีบมาที่นี่ ยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองมองไปยังที่ไกลตา สีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “โจมตีไม่สำเร็จ มือของหัวหน้าปีศาจนั่นงอกออกมาใหม่แล้ว ข้าจะลงไปเผชิญหน้ากับมันเอง!”“ไม่จำเป็น” โม่ชางหลานกล่าว “พลธนูเทพเตรียมตัว”พลธนูเทพร้อยคนได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว พวกเขาง้างธนูที่มีลูกศรพิเศษซึ่งจุดไฟไว้ล่วงหน้า เมื่อได้ยินคำสั่งก็ยิงลูกธนูลงไปข้างล่าง ลูกธนูนำพาเปลวไฟอุณหภูมิสูงปักเข้าที่ตัวหมาป่าน้ำแข็งและนกน้ำแข็ง ทำให้พวกมันละลายกลายเป็นหยดน้ำในพริบตาเปลวไฟดวงหนึ่งทะลุเข้าไปที่ไหล่ของหัวหน้าปีศาจน้ำแข็ง ทำให้มันโกรธจัดถึงขีดสุด หัวหน้าปีศาจน้ำแข็งบ้าคลั่งขึ้นมาทันที มันคว้าทหารสองคนขึ้นมาแล้วบีบจนแหลกเละคามือด้วยพละกำลังที่สามารถพังทลายเรือใหญ่ได้สบาย ก่อนคำรามแล้ววิ่งกระโจนไปอย่างบ้าคลั่ง เหยียบย่ำทั้งปีศาจน้ำแข็งและทหารข้าศึกตายไปไม่รู้กี่คนมันเหวี่ยงหมัดไปมา ชกไปทางประตูเมือง เห็นได้ชัดว่าระยะห่างร่นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ...โม่ชางหลานรักษาความสงบ พูดเสียงเรียบว่า “ให้ทหารทั้งหมดถอยกลับมา เตรียมยิงปืนใหญ่วิญญาณไฟ”ปืนใหญ่วิญญาณไฟเป็นวัตถุ
Read more
บทที่ 9
แต่ถึงแม้เยว่สือจะบ่นอยู่ในใจ ทว่าเขาก็ยังกระทุ้งก้นอาชาหนุ่มสีเขียว เจ้าอาชาส่งเสียงร้องออกมา รู้สึกแสบร้อนราวกับถูกทะลวงเข้าจุดสำคัญ ขาทั้งสี่ข้างไม่ต่างจากเหาะเหินเดินอากาศอยู่บนปุยเมฆ พรวดเดียวก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดเยว่เจี้ยนเวยเกือบจะถูกเหวี่ยงตกลงไปเจ้าอาชาหนุ่มสีเขียวตัวนี้สมกับเป็นราชาแห่งอาชา แม้อยู่ท่ามกลางพื้นหิมะหนาก็ยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็แซงหน้าหัวหน้าปีศาจน้ำแข็งที่กำลังวิ่งวุ่นด้วยความบ้าคลั่งเยว่สือรวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน กล่าวว่า “พอถึงเชิงกำแพง ข้าจะพานายน้อยเหินขึ้นไปตามกำแพง เจ้าอาชาตัวนี้คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”เยว่เจี้ยนเวยตอบรับเบา ๆ พลันสังเกตเห็นคันธนูที่กระจัดกระจายอยู่ในกองเลือดด้วยความตาไวเยว่เจี้ยนเวยคิดอะไรบางอย่างในใจ แส้เส้นหนึ่งที่เดิมพันอยู่รอบข้อมือเขาก็ปรากฏขึ้นในมือ “ควับ” เสียงแส้ดังขึ้นในอากาศ พุ่งเข้าไปม้วนรัดคันธนูยาวที่ตกอยู่บนพื้นคล้ายงูวิเศษ แล้วธนูก็ลอยหวือมาอยู่ในมือเขาเยว่สือเห็นเช่นนั้นก็เกือบจะกระอักเลือด กล่าวว่า “ท่านกินยานั่นอีกแล้ว!”เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะฮ่า ๆ เคลื่อนไหวรวดเร็วดังกระต่ายป่
Read more
บทที่ 10
“ดินแดนหิมะขาวแห่งทะเลทรายเหนือนี่ช่างหนาวเหลือเกิน” เยว่เจี้ยนเวยสูดปากด้วยความหนาวเหน็บ กระชับเสื้อคลุมเล็ก ๆ ที่ตอนนี้เป็นของตนเองแน่น ถูมือพลางพูดว่า “หนาวจะตายอยู่แล้ว”เยว่สือ “...”ทำเป็นองอาจได้ไม่เกินสามลมหายใจจริง ๆบนป้อมกำแพงเมือง เหล่าทหารที่ไม่เคยคิดเลยว่าหัวหน้าปีศาจน้ำแข็งจะถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งจัดการอย่างง่ายดาย ต่างพร้อมใจกันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีคนถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ยอดฝีมือเมื่อครู่ เป็นคนที่ท่านเจ้าเมืองหามาหรือ?”ผีเสื้อสีนิลบินกลับมาอยู่ข้างกายโม่ชางหลาน มีตัวหนึ่งหยุดเกาะบนเข่าของเขาผู้อาวุโสจื่อชวนก็มองมาที่โม่ชางหลานด้วยความสงสัยเช่นกัน กล่าวว่า “ข้าไม่เคยได้ยินท่านเจ้าเมืองบอกว่าจะหาผู้ใดมาช่วย และข้าก็ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อนด้วย”โม่ชางหลานหลับตาไม่พูดอะไร ผีเสื้อสีนิลที่เกาะอยู่บนนิ้วมือใช้ปีกของมันแตะนิ้วมือของเขาอย่างสนิทสนมโม่ชางหลานยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนกล่าว “ทั้งสองคนนั้นเลือกมาดินแดนหิมะขาวในเวลาที่อันตรายที่สุด ถ้าไม่ใช่หนีตายมาที่นี่ ก็ต้องมาเยี่ยมญาติ หรือไม่ก็ต้องการออกไปนอกกำแพงด้วยความไม่กลัวตาย นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status