เพลงจาก
เรื่อง 'Your Name' มักเป็นชื่อแรกที่โผล่เข้ามาเมื่อนึกถึงเพลงประกอบที่ทำให้คนไทยหลายคนซึ้งตามไปด้วย เพราะงานของวง 'Radwimps' ที่ใส่ทั้งเมโลดี้และคำร้องไว้ในฉากสำคัญ ทำให้หลายฉาก
กลายเป็นภาพติดตา เพลงอย่าง 'Nandemonaiya' หรือบรรยากาศเพลงประกอบในฉากสุดท้ายมักทำให้หวนคิดถึงความสัมพันธ์ที่หลุดลอยและความทรงจำที่ยังคงเต้นอยู่ในใจ ฉันเองเคยเห็นเพื่อนๆ ในกลุ่มแฟน
การ์ตูนแชร์คลิปฉากนั้นแล้วพูดคุยกันยาวถึงความหมายของคำร้อง ทั้งแบบตั้งใจและแบบซึมซับเงียบๆ โดยที่เพลงเป็นตัวผลักอารมณ์ให้ล้นออกมา
ความไพเราะของ 'Anohana' อยู่ที่การเลือกใช้เพลง 'Secret Base ~Kimi ga Kureta Mono~' ซึ่งเวอร์ชันที่ร้องโดยนักพากย์สาวๆ ทำให้ซีนจบกลายเป็นน้ำตาท่วมจอ เพลงนี้ในไทยโดนใจคนทั่วไปเพราะเนื้อหาเรียบง่ายแต่แตะตรงหัวใจของการสูญเสียและมิตรภาพ ฉันเองยังจดจำเสียงร้องที่ใสและเปราะบางในซีนปิดเรื่องได้ชัดเจน อีกเรื่องที่คนไทย
โปรดปรานคือ '5 Centimeters per Second' ที่ใช้เพลง 'One More Time, One More Chance' เป็นเหมือนตัวแทนของความคิดถึงและความไม่สมหวังในความรัก ฉากและดนตรีผสานกันจนคนดูหลายคนหยิบเพลงนี้มาร้องคาราโอเกะหรือแชร์เป็นมู้ดเพลงยามคิดถึงใครสักคน
เสียงเปียโนและไวโอลินใน 'Your Lie in April' ทำให้มันโดดเด่นในหมู่เพลงประกอบการ์ตูน เพราะการนำ
บทเพลงคลาสสิกมาผสมกับธีมเรื่องราวการเติบโตและการสูญเสีย ทำให้ฉากการแสดงทางดนตรีมีพลังมากกว่าการแค่โชว์ทักษะ ดนตรีในเรื่องมักกระตุ้นให้คนฟังอยากกลับไปฟังเค้าโครงเพลงเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก อีกตัวอย่างที่แฟนไทยชอบกันคือ 'Clannad: After Story' ที่บางเพลงกลายเป็นซาวด์แทร็กที่เรียกน้ำตาได้โดยไม่ต้องมีบทพูดมาก เพราะมันเชื่อมโยงกับการเดินทางของตัวละครและธีมครอบครัวอย่างลึกซึ้ง
ในวงการแฟนการ์ตูนไทยยังมีนิสัยชอบทำคัฟเวอร์หรือ
เมดเลย์เอาไว้เพิ่มอรรถรสให้เพลงประกอบที่ชวนซึ้ง หลายครั้งที่เวอร์ชันแปลเป็นภาษาไทยหรือบรรเลงอคูสติกกลายเป็นเวอร์ชันโปรดของคนที่ไม่ค่อยฟังเพลงญี่ปุ่น แต่ต้องการอารมณ์เดียวกับต้นฉบับ ส่วนตัวแล้วยังชอบฟังเพลงประกอบตอนทำงานหรือก่อนนอน เพราะมันช่วยพาฉันย้อนดูซีนโปรดในหัวอีกครั้ง เพลงเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแค่แบ็กกราวนด์ แต่เป็นสะพานพาเราไปเจอความทรงจำและความรู้สึกที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย