หนึ่งในกรอบความคิดที่แฟนๆ มักเอามาเล่าสืบกันเมื่อพูดถึง '
guardian of the moon' คือการมองตัวละครนี้ไม่ใช่แค่ผู้คุ้มครองเชิงกายภาพ แต่เป็นสัญลักษณ์ของสมดุลโบราณที่ถูกบิดเบี้ยว ทฤษฎีหลักๆ มักแบ่งออกเป็นหลายสาย: สายแรกมองว่า Guardian คือบัลลังก์หรือบทบาทที่สลับไปมาระหว่างคนหลายยุค เป็นการเวียนว่ายตายเกิดของผู้ปกป้องที่ถูกมอบหมายโดยดวงจันทร์เอง ซึ่งทำให้ตัวตนจริงของผู้รักษาอาจเป็นใครก็ได้ตั้งแต่เจ้าหญิงผู้ถูกลืมไปจนถึงศัตรูที่แฝงตัวอยู่ใกล้ชิด อีกสายหนึ่งเชื่อว่า Guardian ถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์โดยชนชั้นปกครองหรือลัทธิ เพื่อควบคุมความเชื่อของประชาชนและซ้อนความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เช่น การกักขังเทพโบราณภายใต้ดวงจันทร์หรือการทำสัญญากับพลังเหนือธรรมชาติ
หลายทฤษฎีให้ความสำคัญกับวงจรของจันทร์เป็นตัวกำหนดพลังและอารมณ์ของ Guardian — เมื่อดวงจันทร์เต็มดวงพลังอาจถึงจุดสูงสุด แต่ก็อาจทำให้ความทรงจำของผู้คุ้มครองกระจัดกระจาย ทำให้เกิดเหตุการณ์ย้อนอดีตหรือแสดงบุคลิกอื่นออกมา ไอเดียนี้เห็นได้บ่อยในผลงานที่ใช้ภาพลักษณ์ดวงจันทร์เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและ
โชคชะตา จึงมีทฤษฎีย่อยๆ ที่ชี้ว่าการทำลายหรือการฟื้นฟู Guardian จะส่งผลต่อวงจรธรรมชาติทั้งโลก เช่นเดียวกับการเชื่อมโยงกับ Guardian อื่นๆ อย่างผู้ปกป้องแห่งสุริยันหรือแห่งทะเล ที่รวมกันเป็นเครือข่ายสมดุลระหว่างองค์ประกอบ
มุมมองเชิงละครและดราม่าก็มากมาย ตั้งแต่เรื่องราวโศกนาฏกรรมของ Guardian ที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเพราะคำสาป ไปจนถึงการหักมุมที่ Guardian
แท้จริงเป็นตัวการเบื้องหลังเหตุการณ์เพื่อตัดวงการคุกคามทางการเมือง ทฤษฎีแบบหลังชอบแตะประเด็นความไว้วางใจและการบงการ — ความคิดว่าพลังยิ่งใหญ่มักมาพร้อมการหาผลประโยชน์จากมนุษย์ ทำนองเดียวกับงานที่ใช้การหักมุมเพื่อเผยความจริงของอุดมการณ์ เช่น บทบาทจีนที่ดูเหมือนปกป้องแต่กลับเป็นคุมขัง ในอีกทางหนึ่งก็มีแฟนๆ ที่รักทิศทางโศกนาฏกรรมมากกว่า
ชื่นชอบการเล่าเรื่องที่ Guardian ต้องตัดสินใจละทิ้งพลังเพื่อปกป้องคนธรรมดา ซึ่งทำให้ธีมของการเสียสละและความทรงจำเป็นแก่นกลาง
โดยส่วนตัวชอบทฤษฎีที่ผสมทั้งสัญลักษณ์และการเมืองเข้าด้วยกัน เพราะมันเปิดช่องให้เรื่องราวไม่ใช่แค่เทพนิยายแต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและประชาชน การได้คิดว่า Guardian อาจเป็นเหยื่อของตำนานหรือผู้กุมชะตาก็สนุกดี — เมื่อไหร่ที่เรื่องราวนำความลึกลับของคืนกับดวงดาวมาเล่าในแง่มุมมนุษย์ มันมักให้ความรู้สึกทั้งแปลกและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน