เปิดอ่าน '
น้ำเซาะทราย' แล้วรู้สึกเหมือนถูกพายพาไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าแต่หนักแน่น เรื่องเล่าเริ่มจากตัวละครหลักที่เติบโตท่ามกลางชายฝั่งและชุมชนที่ผูกพันกันด้วยความทรงจำเก่า ๆ แต่ไม่ได้เป็นนิยายรักหวือหวาแบบเปลือกนอก สาระสำคัญคือการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและรอบตัว—การสูญเสีย ความไม่แน่นอนของอนาคต และการเยียวยาแบบค่อยเป็นค่อยไป
พล็อตหลักเล่าเรื่องด้วยมุมมองใกล้ชิด จับจังหวะชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายแล้วค่อย ๆ ขยายเป็นภาพรวมของความสัมพันธ์ ส่วนตัวชอบตอนที่มีฉากริมทะเลซึ่งผู้เขียนใช้ภาพ 'น้ำกัดทราย' เป็นสัญลักษณ์แทนการกัดกร่อนของเวลา ฉากเปลือย ๆ แบบนี้ทำให้ประเด็นเรื่องความทรงจำและผลของการกระทำในอดีตต่อปัจจุบันชัดเจนขึ้น การเขียนมีความเป็นกวีพอสมควร แต่ไม่ล้นจนทำให้เรื่องขาดความหนักแน่น ตัวละครรองแต่ละคนก็ถูกให้บทบาทที่มีความหมาย จนรู้สึกว่าเมืองนั้นคือหนึ่งในตัวละครหลักไปพร้อมกัน
จุดเด่นของ 'น้ำเซาะทราย' อยู่ที่การบาลานซ์ระหว่างบรรยากาศกับความจริงจังของประเด็น สำนวนใช้ภาพธรรมชาติเป็นกรอบในการสะท้อนอารมณ์ คนอ่านได้เห็นทั้งความงดงามและความเจ็บปวดโดยไม่ต้องตะโกนออกมาชัดเจน นอกจากนั้น การใส่รายละเอียดชีวิตประจำวัน—จากงานประจำของคนในชุมชน ไปจนถึงของกินท้องถิ่น—ช่วยให้โลกในเรื่องมีน้ำหนักและสัมผัสได้ ใครที่ชอบงานที่เน้นความรู้สึกละเอียดอ่อนและต้องการเวลาอยู่กับตัวละคร 'น้ำเซาะทราย' จะตอบโจทย์ได้ดี
ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศร้าแต่มีวิธีเยียวยาที่เรียบง่ายและจริงใจ ส่วนตัวแล้วชอบการผูกปมที่ไม่รีบร้อน จบแบบเปิดที่ยังให้ความหวังเล็ก ๆ เป็นการเตือนใจว่าชีวิตเดินไปข้างหน้าเสมอ แม้ร่องรอยจะยังคงอยู่ แต่บางครั้งการยอมรับและทำความเข้าใจ ก็เพียงพอให้คนหนึ่งคนเริ่มต้นใหม่ได้