ในช่วงเวลาที่ผมชอบเดินเล่นตามร้าน
หนังสือเก่า คำว่า 'จรด' มักกระพริบอยู่ในหัวเหมือนคำสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความหมาย—ทั้งการจรดปลายปากกา การจรดถึงปลายทาง หรือแม้แต่จรดขอบฟ้า ผมไม่เคยเจอนิยายเล่มหนึ่งที่ใช้คำว่า 'จรด' เป็นชื่อเรื่องเดียวๆ ที่โด่งดังแบบแพร่หลาย แต่คำนี้ถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อตอน ชื่อบท หรือวลีสำคัญในงานวรรณกรรมหลายชิ้น เพื่อสื่อถึงจุดสิ้นสุดหรือการบันทึกเหตุการณ์สำคัญ
เมื่อผู้เขียนเลือกใช้คำว่า 'จรด' ในชื่อบท มักจะหมายถึงช่วงเวลาที่ตัวละครต้องตัดสินใจครั้งสุดท้ายหรือจุดหักเหของเรื่อง ตัวอย่างพล็อตที่มักเจอคือเรื่องราวของนักเขียนหรือนักบันทึกที่ต้องจรดปากกาเพื่อเผยความจริงที่เก็บซ่อน เช่นนิยายแนวดราม่าตัวละครหลักเผชิญกับความลับในอดีตและการจรดปากกาเป็นการปลดปล่อยความจริงให้โลกรู้ อีกแนวที่ผมชอบคือนิยายประวัติศาสตร์ที่ใช้ 'จรด' เพื่อสื่อการจรดปลายธงหรือการจรดขอบแดน เรื่องแบบนี้มักผสมการเมืองกับชะตาชีวิตคนธรรมดา การใช้คำสั้นๆ อย่าง 'จรด' ทำให้โทนเรื่องหนักแน่นและกะทัดรัด
มุมมองเชิงแฟนตาซีก็ใช้คำว่า 'จรด' ได้อย่างสร้างสรรค์ ผมเคยอ่านเรื่องสั้นที่บทสำคัญชื่อว่า 'จรดฟ้า' ซึ่งไม่ได้หมายความถึงการถึงฟ้าโดยตรง แต่เป็นการจรดเส้นทางสู่ความหวังใหม่ ในบริบทนี้ 'จรด' กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางข้ามขอบเขตของโลกเดิมไปสู่โลกใหม่ สรุปคือ หากเจอชื่อเรื่องหรือชื่อบทที่มีคำว่า 'จรด' ให้เตรียมตัวรับเรื่องราวที่เกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งสุดท้าย การบันทึกความจริง หรือการก้าวข้ามขีดจำกัดอะไรบางอย่าง—และนั่นแหละคือเสน่ห์ของคำสั้นๆ ที่หนักแน่นดี
สุดท้ายนี้ ผมคิดว่าการไม่เจอหนังสือที่ใช้คำว่า 'จรด' เป็นชื่อเรื่องเดียวเพียงคำเดียวกลับเปิดพื้นที่ให้จินตนาการว่าถ้ามีงานแบบนั้น มันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งชอบคำนี้มากขึ้นด้วยความคาดหวังแบบแฟนๆ ที่ยังรออ่านงานใหม่ๆ อยู่