คืนหนึ่งที่เปิดหน้าแรกของ '
รัตติกาลแห่งต้าเฟิ่ง' ผมโดนดึงเข้าไปทันทีด้วยภาพเมืองที่ทั้งอันตรายและงดงาม—ตรงกลางของภาพนั้นคือตัวเอกชื่อ เฉินเยว่ (เฉินเยว่ในบทบรรยายของผม) ผู้เริ่มต้นจากคนธรรมดาที่มีความฝันเล็ก ๆ แต่ถูกลากเข้าไปอยู่
ท่ามกลางการเมืองและเงื่อนงำเหนือธรรมชาติ จุดแข็งของเฉินเยว่ไม่ใช่แค่ฝีมือหรือ
โชคชะตา แต่เป็นความสามารถในการสงสัยและตั้งคำถามกับสิ่งที่คนอื่นยอมรับง่าย ๆ พัฒนาการของเขาเดินเป็นเส้นโค้งที่สวยงาม: จากคนที่เชื่อในคำพูดของผู้อาวุโส ไปสู่คนที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความถูกต้องในสังคมกับความยุติธรรมส่วนตัว การทดสอบทั้งทางศีลธรรมและอารมณ์บ่อยครั้งทำให้เขาเปลี่ยนจากความไร้เดียงสาเป็นคนที่มีน้ำหนักของการตัดสินใจในทุกย่างก้าว
มุมมองอีกด้านที่ผมชอบมากคือการเล่าเรื่องของ หลัวถิง หญิงสาว
ปริศนาที่ถูกตราหน้าว่าเป็น 'ภัยเงียบ' ในเมือง หลายฉากที่ฉันหยุดอ่านคือช่วงที่หลัวถิงต้องเลือกว่าจะยอมเปิดใจให้ใครสักคนหรือจะปิดตัวเองไว้เพื่อความอยู่รอด การเติบโตของเธอไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็นการสะสมบาดแผลและการเรียนรู้ว่าการไว้วางใจบางครั้งก็กลายเป็นความเข้มแข็งไม่แพ้การต่อสู้ เธอผ่านจากการเป็นผู้เล่นฉากหลังมาเป็นคนที่เรียกร้องบทบาทของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวถิงและเฉินเยว่ก็ค่อย ๆ พลิกความหมายจากพันธมิตรเชิงผลประโยชน์เป็นคนที่ทำให้กันและกันเผชิญด้านมืดของตัวเอง
อีกสองคนที่ผมมักพูดถึงเมื่อคุยเรื่องนี้คือ เมิ่งหลาง ศัตรูที่ไม่ใช่นักร้ายแบบเรียบง่าย และ ซูเฉียว ผู้ให้คำปรึกษาที่ดูเหมือนจะรู้จักอดีตของเมืองมากกว่าที่เขาบอก เมิ่งหลางเป็นตัวอย่างคลาสสิกของคนที่ถูกอุดมคติกลืนกินจนกลายเป็นปฏิบัติการโหดร้าย การเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นการเตือนว่าเส้นแบ่งระหว่างฮีโร่กับวายร้ายบางครั้งถูกลากด้วยเหตุผลที่ดีแต่ผลลัพธ์เลวร้าย ส่วนซูเฉียวเองมีพัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไปจากแนวปกป้องไปสู่การยอมรับว่าการปล่อยมือบางครั้งคือการรักเช่นกัน ฉากสุดท้ายที่แสงเทียนของเมืองสาดสะท้อนบนใบหน้าแต่ละคน ทำให้ผมคิดว่ารัฐบาล เมือง และอดีต ต่างมีชีวิตของตัวเองที่บังคับให้ตัวละครต้องเติบโต—นั่นแหละคือเสน่ห์ของ 'รัตติกาลแห่งต้าเฟิ่ง' ที่ทำให้ผมยังคุยเรื่องนี้ได้ไม่รู้เบื่อ