ภูมิทัศน์บนภูเขาในเรื่อง '
วัตถุโบราณลงเขา' ถูกเขียนให้เป็นทั้งฉากหลังและตัวละครร่วมเรื่องไปพร้อมกัน ผมเห็นภาพหมอกหนา ต้นไม้ล้ม และเสียงลือเสียงเล่าอ้างของชาวบ้านที่แล่นผ่านบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ
จุดเริ่มต้นที่วัตถุโบราณตกลงมาจากยอดเขาไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์ทางกายภาพ แต่มันเป็นจุด
ชนวนให้อดีตและปัจจุบันมาปะทะกัน ผู้เขียนใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างให้เปิดเผยความลับของชุมชน ตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่แตกหัก ความคับข้องใจที่ถูกเก็บงำมานาน ไปจนถึงความโลภและความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง เมื่อวัตถุชิ้นนั้นถูกนำลงไปในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนมีความเห็นต่างกัน ทั้งกลุ่มที่อยากเก็บไว้เพื่อพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์และกลุ่มที่กลัวว่ามันจะนำภัยมาสู่คนในพื้นที่
เส้นเรื่องหลักโฟกัสไปที่ตัวละครหลักซึ่งเป็นผู้กลับมาเยือนบ้านเกิดในฐานะนักอนุรักษ์หรือคนกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อพื้นบ้าน ช่วงระหว่างการสืบค้นอดีตของวัตถุทำให้เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ของตัวละครอื่น ๆ มากขึ้น อีกทั้งเกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มองโลกผ่านหลักฐานและข้อมูล กับคนรุ่นเก่าที่ยึดมั่นในพิธีกรรมและตำนานท้องถิ่น ฉากที่ชอบที่สุดคือฉากที่ชาวบ้านจัดพิธีคืนวัตถุให้ภูเขา ซึ่งถูกบรรยายด้วยรายละเอียดทางประสาทสัมผัส ทำให้รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของความทรงจำร่วม และยังมีฉากที่วัตถุเปิดเผยเบาะแสเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่แทบจะลืมเลือนไปแล้ว เช่น สงครามท้องถิ่น เหตุการณ์แปลกประหลาด หรือความรักต้องห้ามในอดีตที่ยังส่งผลต่อปัจจุบัน
งานเล่าเรื่องนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ปริศนาเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนหัวข้อที่ลึกซึ้งกว่า เช่น การต่อสู้ระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนา ความหมายของรากเหง้าเมื่อคนหนุ่มสาวย้ายออกจากชนบท และการที่วัตถุโบราณถูกมองเป็นสินค้าแทนที่จะเป็นมรดกร่วม ช่วงจบของเรื่องแฝงด้วยความหวังปนความขมขื่น เมื่อชะตากรรมของวัตถุคลี่คลาย ตัวละครแต่ละตัวต้องเลือกระหว่างการปกป้องความทรงจำหรือการเดินหน้าต่อไป ผมรู้สึกว่าการเล่าเรื่องแบบนี้มีพลัง เพราะมันทำให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของคน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงบนกระดาษ เรื่องราวยังเชื่อมโยงกับงานอื่นที่พูดถึงผลกระทบของอดีตต่อชุมชน เช่น 'One Hundred Years of Solitude' ในแง่ของความซ้อนทับของเหตุการณ์ในครอบครัวและชุมชน
สรุปในมุมมองคนนอกที่หลงใหลเรื่องเล่ารากเหง้า เราออกจากการอ่าน 'วัตถุโบราณลงเขา' ด้วยความอิ่มเอมใจและความรำลึกถึงว่าทุกวัตถุมีเรื่องเล่า และทุกเรื่องเล่ามีคนที่ต้องรับผิดชอบต่อมันในแบบของตนเอง ความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุดคือความอยากรักษาความสมดุลระหว่างการเคารพอดีตและการให้โอกาสอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เรื่องนี้ทำได้อย่างละมุนละไมและหนักแน่นพร้อมกัน