ทันทีที่เริ่มเล่า ฉันรู้สึกว่า '
two times forsaken' เป็นงานที่เล่นกับคำว่า 'หายไป' ในหลายชั้นอย่างแยบยล เรื่องเล่าเดินตามตัวเอกที่ถูกทอดทิ้งสองครั้ง—ครั้งแรกคือการ
ทรยศทางความรักหรือความไว้วางใจ ที่ทำให้ชีวิตของเขาพังทลาย ครั้งที่สองคือการตัดขาดจากสังคมหรืออำนาจรัฐที่เขาพึ่งพาไว้จนหมดสิ้น แต่สปอยล์หลักไม่ได้จบแค่นั้น เพราะงานนี้สอดแทรกการกลับมาแบบไม่ได้เรียบง่าย ตัวเอกได้โอกาสแก้ไขหรือย้อนเวลาในรูปแบบหนึ่ง (ไม่ใช่แค่ลูปนับครั้ง) ซึ่งทำให้เรื่องไม่เป็นแค่เรื่องล้างแค้น แต่เป็นการทดสอบตัวตน เมื่อทุกอย่างย้อนกลับ ตัวเอกเริ่มตั้งคำถามว่าการทวงคืนเกียรติหมายถึงการทำลายใครสักคนจริงหรือเปล่า
ในตอนกลางเรื่องมีการเปิดเผยว่าแรงผลักดันเบื้องหลังการทรยศมีมากกว่าความโลภหรืออิจฉา—มันเป็นเครือข่ายผลประโยชน์ทางการเมืองกับบาดแผลในอดีตที่เชื่อมโยงตัวละครหลายคนเข้าด้วยกัน ความตึงเครียดจึงไม่ได้อยู่แค่ระหว่างตัวเอกกับคนทรยศ แต่ขยายไปถึงครอบครัว การเมือง และแรงปรารถนาที่ต้องแลกด้วยสิ่งที่ตัวเอก
รักสุดท้ายฉันชอบฉากหนึ่งที่ตัวเอกเลือกจะไม่ฆ่าอีกฝ่าย แต่เลือกเปิดโปงความจริงต่อสาธารณะ การตัดสินใจนั้นทำให้เรื่องซับซ้อนกว่าแค่แผนแก้แค้นแบบ 'ตีแผ่แล้วจบ' เหมือนงานคลาสสิกอย่าง 'Re:Zero' ในแง่การเผชิญกับความผิดพลาดเดิม ๆ แต่เนื้อหาให้ความรู้สึกของการล้างแค้นแบบ 'The Count of Monte Cristo' ที่มีการวางแผนและผลสะท้อนทางสังคม ฉากจบเปิดพื้นที่ให้คิดว่า 'การได้รับโอกาสครั้งที่สอง' อาจหมายถึงการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง มากกว่าจะได้กลับไปเหมือนเดิม นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันยังคุยเรื่องนี้ได้ไม่หยุด