ฉันหลงรักโลกของ 'อสูรมังกรฟ้า เล้งซาน' ตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดออก เพราะมันผสมความเป็นแฟนตาซีแนวปลูกฝังพลังกับดราม่าการเมืองของสำนักและความย้อนแย้งในหัวใจตัวละครได้อย่างลงตัว
เรื่องย่อคร่าว ๆ คือการเดินทางของเล้งซาน หนุ่มผู้มีชะตาผูกพันกับมรดกโบราณของมังกรฟ้าที่ทั้งเป็นพรและคำสาป เล้งซานเติบโตในชุมชนชายแดนที่คนมองว่าเป็นคนนอก ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ที่มี ‘เงามังกร’ ฝังอยู่ ทุกบทตอนเล่าเรื่องการค้นหาตัวตน ฝึกฝนพลัง และการตัดสินใจที่จะยอมแลกอะไรเพื่อปกป้องคนที่รักหรือแสวงหาอำนาจ การเล่าเรื่องไม่ได้เพียงแค่การต่อสู้แต่ยังแทรกฉากทางการทูต ขัดแย้งระหว่างสำนัก และประเด็นด้านศีลธรรมเกี่ยวกับการใช้พลังเหนือธรรมชาติ
ตัวละครหลักที่ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจมีหลายคน เริ่มจากเล้งซานเองซึ่งเป็นแกนกลางของเรื่อง เขาไม่ได้เป็นฮีโร่สมบูรณ์แบบ แต่มักต้องเผชิญกับการตัดสินใจยาก ๆ ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุผลทั้งสองด้านของความขัดแย้ง ต่อมาคืออาจารย์เหมย ผู้เป็นครูฝึกที่มีอดีตลึกลับและเคยมีความเกี่ยวพันกับมังกรฟ้ามาก่อน บทบาทของอาจารย์เหมยไม่ได้มีแค่สอนวิชา แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนจริยธรรมและบาดแผลในอดีตของโลกที่ตัวละครต้องรับรู้ ลี่มู่เป็นตัวละครหญิงที่ทำหน้าที่ทั้งเพื่อนร่วมทางและแรงผลักดันให้เล้งซานยืนหยัดในมุมมองที่ต่างออกไป ระหว่างรักและการต่อสู้เธอคือจุดสมดุลทางอารมณ์
อีกคนที่น่าจับตามองคือจวินเทียน ผู้เป็นคู่แข่งแบบซับซ้อน เขาไม่ได้เป็น
วายร้ายชัดเจน แต่เป็นตัวแทนของความทะเยอทะยานและระบบที่ไม่ยอมให้คนธรรมดายืนอยู่ในจุดสูงสุดได้ ส่วนตัวร้ายหลักมักจะเป็นราชาอสูรหรือผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการปลุกพลังมังกรให้กลายเป็นอาวุธแห่งการปกครอง ฉากปะทะสำคัญมักเกิดขึ้นทั้งในสนามรบและในสนามการเมือง ทำให้การต่อสู้แต่ละครั้งมีผลสะเทือนทั้งระดับบุคคลและระดับชาติ
ธีมของเรื่องที่ฉันชอบคือการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้พลัง: ว่าพลังมากมายทำให้เราก้าวข้ามศีลธรรมได้หรือไม่ และการยอมเสียสละเพื่อคนที่รักมีขอบเขตอย่างไร นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบของมิตรภาพ การทรยศ และการเติบโตที่ทำให้ทุกตัวละครมีหลายชั้นมากกว่าบทบาทแบบแบน ๆ ฉากการฝึกของเล้งซานบางตอนทำให้ฉันนึกถึงความทรมานและความพยายามของฮีโร่ใน 'Record of a Mortal' ขณะที่ความดิบและเลือดเนื้อในการต่อสู้บางฉากให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับงานแฟนตาซีทหารยุคเก่า
สรุปแล้ว 'อสูรมังกรฟ้า เล้งซาน' เป็นเรื่องที่ผสมอารมณ์เข้มข้นกับโลกแฟนตาซีได้อย่างกลมกล่อม ตัวละครมีมิติ ขัดแย้งทางจริยธรรมชวนให้คิด และฉากต่อสู้กับการเมืองของสำนักทำให้เรื่องมีแรงขับเคลื่อนต่อเนื่อง สำหรับฉันนี่คือผลงานที่อ่านแล้วทำให้คิดถึงความหมายของพลังและความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังชอบการที่ผู้เขียนไม่ยกป้ายถูกผิดให้ชัดเจนเสมอไป ทำให้ทุกการตัดสินใจมีน้ำหนักและไว้ให้ผู้อ่านตั้งคำถามต่อไป