ทุกครั้งที่เปิดอ่าน 'กำสรวล' รู้สึกราวกับถูกดึงเข้าไปในโลกที่ตัวละครไม่เคยเป็นแค่บทบาทบนหน้ากระดาษ — พวกเขามีน้ำหนัก มีอดีต และมีความขัดแย้งภายในที่ผลักดันให้เรื่องเดินหน้า ในมุมมองของผม ตัวละครสำคัญที่สุดคือนลิน หญิงสาวที่แบกชะตากรรมบางอย่างไว้บนบ่าตั้งแต่ต้นเรื่อง เธอไม่ใช่ฮีโร่แบบตรงไปตรงมา แต่เป็นคนที่เติบโตผ่านการสูญเสีย การตัดสินใจผิดพลาด และความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เธอเห็นว่าไม่เป็นธรรม นลินทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางทางอารมณ์ของเรื่อง — ทุกครั้งที่ฉากหนัก ๆ มา มุมกล้องจะวนกลับมาที่ความคิดและการกระทำของเธอเสมอ
การตั้งค่าสำคัญถัดมาในใจผมคือเทพา ซึ่งในตอนแรกถูกวาดเป็นตัวร้ายที่ลึกลับ แต่ความซับซ้อนของเขาคือการเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นว่าการเลวไม่ได้เกิดจากความชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว เทพามีเหตุผล มีบาดแผล และบางครั้งบทบาทของเขาก็คือการช็อตความเชื่อของนลินให้กลับมาทบทวนอีกครั้ง อีกคนที่ไม่ควรละเลยคือหลวงปู่กัณฐ์ ผู้ให้คำสอนและภูมิปัญญาแม้จะมีหน้าที่ที่คลุมเครือ เขาไม่ใช่แค่ครู แต่เป็นตัวแทนของประเพณีและอดีตที่บางครั้งดี บางครั้งจำกัดความเป็นไปได้ของตัวละครอื่น ๆ ส่วนมารุตกับปลิวทำหน้าที่เติมมิติทางสังคมและมนุษยสัมพันธ์ — มารุตเป็นเพื่อนที่กลายเป็นตัวจุด
ชนวน ขณะที่ปลิวเป็นคนที่เบรก tension ด้วยมุมมองเรียบง่ายของเขา
ฉากที่ทำให้ผมเข้าใจบทบาทของแต่ละคนชัดขึ้นคือฉากเผชิญหน้าบนสะพานโค้ง หลังฝนตก นลินยืนเผชิญเทพาและคำพูดของหลวงปู่กัณฐ์ยังวนอยู่ในหัวฉากนั้นสรุปการเดินทางภายในของแต่ละคนได้ดี — นลินเลือกการกระทำที่ไม่ใช่แค่เพื่อตนเอง แต่เพื่อลมหายใจของชุมชน เทพาปรากฏเป็นภัยที่มีแรงจูงใจ มารุตต้องชั่งใจระหว่างมิตรภาพกับความถูกต้อง และปลิวทำให้เราเห็นว่าความอ่อนโยนยังมีพื้นที่ในโลกที่โหดร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเหล่านี้สร้างแรงดึงดูดให้เรื่องไม่กลายเป็นนิยายดี-ชั่วแบบแบน ๆ แต่กลายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและนำเสนอคำถามมากกว่าคำตอบ — นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมยังอยากกลับไปอ่านซ้ำเมื่อใดก็ตามที่ได้คิดถึง 'กำสรวล'