“ดีใจไหมลูก หนูได้น้องสาวนะ”
พ่อของนิรมลพาไปดูน้องที่ห้องทารกแรกเกิด เด็กหญิงนิรมลชะเง้อมองผ่านกระจก ในตอนนั้นเธออายุเพียงสิบสองปี ในความคิดของเด็กๆ เธอคิดว่าน้องสาวเสมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สามารถเล่นได้ จับแต่งตัวได้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม่ของเธอออกจากโรงพยาบาล ส่วนพ่อไปทำนาคนเดียว แม่หยุดพักเพียงสองสามวันก็ออกไปทำนาช่วยพ่ออีกแรง พาน้องสาวไปเลี้ยงที่ทุ่งนาด้วย จัดการผูกเปลไว้ที่ต้นไม้ แล้วตัวเองไปยืนหลังขดหลังแข็งทำนากลางแดดร้อนๆ
ส่วนเด็กหญิงนิรมลต้องไปโรงเรียน เมื่อเลิกเรียนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เธอจะช่วยแม่เลี้ยงน้องสาวเมื่อเวลาพ่อแม่ไปทำนา หรือเวลาที่แม่ต้องทำงานบ้าน เธอรักน้องสาวมากเพราะช่วยแม่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
เด็กหญิงนิรมลเห็นพ่อแม่ทำงานหนักแทบทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย นั่นทำให้เธอวางเป้าหมายในชีวิตไว้ทันที
‘ฉันจะเรียนหนังสือให้เก่ง จะได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ เลี้ยงดูพ่อแม่เอง จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้’
เวลาผ่านไป นิรมลเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ เธอได้รับการติดต่อจากบริษัทขายอาหารเสริมที่เธอไปฝึกงาน และหญิงสาวได้เข้าทำงานที่นี่ เธอตั้งใจทำงานจนเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง และนำเงินนั้นมาซื้อคอนโดฯ ที่อยู่ใกล้ๆ บริษัท จะได้ไม่ต้องเช่าหอพักหรือคอนโดฯ อยู่
ส่วนนรีนันท์น้องสาวของเธอ ขณะนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่สามที่มหาวิทยาลัยแถวบ้าน นิรมลช่วยจ่ายเงินค่าเทอมให้กับน้องสาว โดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินของพ่อแม่อีก และหญิงสาวยังขอร้องพ่อแม่ให้หยุดทำนา อยากให้อยู่บ้านพักผ่อนสบายๆ
“หนูอยากให้พ่อแม่ได้หยุดพักบ้าง ทุกวันนี้หนูส่งเงินมาให้พ่อแม่ใช้แล้วนี่คะ พ่อแม่จะได้ไม่เหนื่อย”
“พ่อแม่ไม่หยุดทำนาหรอกนิว ขืนหนูให้พ่อแม่อยู่บ้านเฉยๆ เซ็งตายเลยลูก อีกอย่างที่นาของเราก็มีมากมาย ปล่อยให้ว่างไว้ได้ยังไง”
แม่ของเธอพูดบ่นๆ แต่นิรมลก็ยังไม่ละความพยายาม
“หนูไม่ได้ให้แม่ปล่อยที่นาไว้ว่างๆ สักหน่อย หนูอยากให้แม่ปล่อยที่นาให้เขาเช่าจะดีกว่านะคะ หนูไม่อยากให้พ่อแม่ทำงานหนักอีก”
พ่อแม่ของนิรมลเข้าใจดีว่าลูกสาวคนโตเป็นห่วง พ่อแม่จึงทำตามที่เธอแนะนำ นั่นคือปล่อยที่นาให้คนอื่นเช่าทำนาบ้าง และแบ่งที่นาส่วนหนึ่งทำเอง
นิรมลกลับมาถึงคอนโดฯ ที่พัก เธอเดินเข้ามากดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักของเธอที่อยู่ชั้นสิบ บริเวณนั้นไม่มีใครเลย
ติ๊ง!
เสียงประตูลิฟต์เปิดออก มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา แต่หญิงสาวที่ยืนรออยู่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพราะมัวก้มหน้าตอบข้อความของลูกค้าอยู่ และไม่ได้สนใจว่าจะมีใครออกมาจากลิฟต์หรือไม่ จนกระทั่งได้ยินเสียงทักทายดังขึ้น
“คุณนิว เพิ่งกลับมาเหรอครับ”
นิรมลเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก็ยิ้มทักทาย ปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านที่พักอาศัยอยู่ข้างห้อง
“ใช่ค่ะ คุณกฎจะออกไปไหนคะ หรือว่ามีนัดกับใครหรือเปล่า”
“ผมจะออกไปรับแฟนครับ วันนี้เขาอยู่ทำโอที ก็เลยคิดว่าจะออกไปกินข้าวข้างนอกกันเลย”
นิรมลยิ้มให้กับกรกฎ เขาเป็นชายหนุ่มข้างห้องพักที่อาศัยอยู่กับแฟนสาว เธอมองตามหลังเขา พูดพึมพำ
“คุณกฎนี่ดูรักแฟนจริงๆ”
หญิงสาวกดลิฟต์อีกครั้ง เธอก้าวเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นไปข้างบน
นิรมลขึ้นไปที่ชั้นสิบ ห้องของเธออยู่ตรงกลาง หญิงสาวเปิดประตูเดินเข้ามา เธอวางของไว้ในห้องนั่งเล่น มีโทรทัศน์และโซนครัวเล็กๆ มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของเธอ ส่วนอีกห้องหนึ่งบางครั้งนรีนันท์จะมาพักด้วยในช่วงปิดเทอมบ้าง
นิรมลซื้ออาหารกลับมากินที่คอนโดฯ เธอรีบกินอาหารอย่างรวดเร็วแล้วหยิบงานที่จะต้องนำเสนอให้ลูกค้าในวันพรุ่งนี้มาทำจนเสร็จ เวลาตอนนั้นดึกมากแล้ว หญิงสาวเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย แล้วเธอก็ฝัน…
นิรมลฝันว่าตัวเองมายืนอยู่ในสถานที่มืดมิดอีกครั้ง หญิงสาวหันมองรอบตัว รู้สึกราวกับว่าตัวเองเคยมาที่นี่มาก่อน หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ไม่กล้าเดินไปไหนเพราะไม่รู้ทิศทาง
“นิรมล!”
เสียงเรียกดังก้องขึ้น นิรมลหันไปตามทิศทางของเสียง เธอเดินไปตามเสียงนั้นจนเห็นท่านยมบาลยืนมองเธออยู่ด้านบน
“ท่าน!”
“เจ้าจงจำไว้ เจ้ามีเวลาเพียงเก้าสิบวันเท่านั้น”
“เก้าสิบวัน?”
นิรมลทวนคำ คิ้วขมวดด้วยความสงสัย ท่านยมบาลพยักหน้า
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าอยากให้เจ้าทำทุกวันให้ดีที่สุด เพื่อที่วันข้างหน้า หากเจ้ามองย้อนกลับมาจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังอีก”
นิรมลสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทั้งๆ ที่แอร์ในห้องเย็นฉ่ำจนหนาว แต่หญิงสาวกลับเหงื่อออกมาเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด เธอลุกขึ้นมาหยิบนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมาดู เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เธอพูดพึมพำกับตัวเอง
“ฝันแปลกๆ ทำไมรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่ช่างมันเถอะ เราคงคิดมากไป...เช้าแล้วไปอาบน้ำทำงานเลยดีกว่า”
............................................
นิรมลไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานราวหนึ่งชั่วโมง เธอขึ้นไปเตรียมเอกสารงานทุกอย่างตามปกติ จนกระทั่งเพื่อนร่วมงานในแผนกเริ่มทยอยเข้ามาทำงาน
“วันนี้มาเช้าจังเลยนะนิว เตรียมตัวไปพบลูกค้าแต่เช้าเลยหรือไง”
นิรมลหันมายิ้มให้ แต่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น จนกระทั่งหัวหน้าเดินเข้ามาหานิรมล ยื่นแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งมาให้
“เดี๋ยวตอนบ่ายไปที่นี่หน่อยนะ มีลูกค้าสนใจสินค้าของเรา คุณไปนำเสนอสินค้าหน่อย เผื่อจะมีลูกค้าสั่งออเดอร์เข้ามาบ้าง”
นิรมลยังไม่ตอบรับอะไร เธอหยิบแฟ้มงานที่หัวหน้าถือมาเปิดดูข้อมูล
“แต่ที่นี่ เคยมีพี่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ไปนำเสนอสินค้ามาแล้วนี่คะ แล้ว...หัวหน้าจะให้นิวไปนำเสนอซ้ำอีกครั้งเหรอคะ”
“ผมคุยรายละเอียดไว้แล้ว กลุ่มคนที่จะมาฟังนี่เป็นคนละกลุ่มกัน คุณไปเถอะ ผมรับรองว่าไม่น่าพลาด ผมบอกพวกเขาว่านัดไว้เวลาบ่ายโมงนะ”
ทางด้านนิรมลรีบจัดเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่จะไปคุยกับลูกค้า และเตรียมตัวออกจากที่ทำงาน เพราะสถานที่ที่นัดลูกค้าไว้ค่อนข้างไกล หญิงสาวจึงออกจากบริษัทตั้งแต่สิบเอ็ดโมง และไม่ได้กลับเข้ามาในบริษัทอีก
จนถึงเวลาพักเที่ยง แม่บ้านคนหนึ่งเดินออกไปซื้อของฝั่งตรงกันข้าม ในระหว่างการเดินข้ามถนนกลับมา แม่บ้านคนนั้นทำกระเป๋าสตางค์หล่นบนถนน เธอก้มลงไปเก็บโดยไม่ได้มองว่าตอนนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว ตรงมายังแม่บ้านที่ขยับจะลุกขึ้นจากถนนแต่ลุกขึ้นมาไม่ได้ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างดึงไว้ คนขับรถยนต์คันนั้นก็ไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่กลางถนน แม่บ้านจึงได้แต่นั่งจ้องรถยนต์และกรีดร้องสุดเสียง
“กรี๊ดดด!!!”
โครม!!!
ตู้ด....ตู้ด...“อ้าว สายหลุดเหรอเนี่ย ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวโทร. ใหม่ก็แล้วกัน”กฤติกาโทรศัพท์อีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าไม่มีสัญญาณอีกเลย นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวร้อนใจมากขึ้น จนต้องโทรศัพท์ไปหาใครอีกคนหนึ่ง“คุณอาไม่รับโทรศัพท์พี่เลย เราจะเอายังไงดีคะ ได้ค่ะ เย็นนี้เราไปบ้านคุณอาด้วยกัน”เย็นวันนั้น นรีนันท์แวะมาหากฤติกาที่โรงเรียน เพื่อจะเดินทางไปหาพ่อแม่ของมาวินด้วยกัน โดยมีนรีนันท์เป็นผู้นำทางไปบ้านมาวิน แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ทั้งสองคนพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน กฤติกาจึงโทรศัพท์หาพ่อของมาวินอีกครั้ง“พี่โทรศัพท์ไม่ติดเลย สงสัยว่าคุณอาจะบล็อกเบอร์พี่ไปแล้วแน่ๆ”นรีนันท์เห็นแบบนั้น เธอจึงโทรศัพท์หาพ่อแม่ของมาวิน แต่ทั้งสองคนก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอด้วยเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดพ่อแม่ของมาวินไม่ยอมรับโทรศัพท์กันแน่!ถัดจากนั้นอีกสามวัน ที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ช่วงเวลาที่เด็กนักเรียนเลิกเรียนและกำลังทยอยกลับบ้าน ในระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของกฤติกาก็ดังขึ้น“สวัสดีค่ะ วั
เช้าวันเสาร์ นิรมลขับรถกลับมาบ้านที่จังหวัดนครปฐมอีกเช่นเคย แต่ในวันนี้แทนที่เธอจะได้พบเจอกับนรีนันท์ดังเช่นทุกครั้ง หญิงสาวกลับเจอแม่อยู่ที่บ้าน ถือว่าผิดปกติ“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้ไม่ได้ไปทำนาเหรอคะ ทำไมอยู่บ้าน แล้วน้องไปไหนคะ”แม่ในตอนนั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ หันมาตอบในขณะที่กำลังกวาดพื้นบ้านอยู่“วันนี้แม่อยู่บ้าน ตั้งใจว่าจะเก็บของในห้องให้เป็นระเบียบมากกว่านี้จ้ะ ส่วนนัทไปค่ายอาสาน่ะ ตามกำหนดจะกลับมาบ้านวันนี้”นิรมลพยักหน้ารับรู้ เธอเห็นแม่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อย หญิงสาวเดาว่าแม่น่าจะทำความสะอาดตั้งแต่เช้าแล้วจึงรีบอาสาช่วยงานทันที“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวหนูเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ แล้วจะลงมาช่วยค่ะแม่”นิรมลเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องชั้นสอง เพียงครู่เดียวก็รีบลงมา พร้อมกับเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น แม่ของเธอหันมาเห็นก็ยิ้มให้“แหม...จริงๆ แล้วไม่ต้องเปลี่ยนชุดก็ได้ แต่เอาเถอะตั้งใจขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวนิวช่วยแม่เอาของจากลังนี่ มาใส่กล่องพลาสติกให้แม่ที”แม่พูดแล้วชี้ให้นิรมลดูว่าเธอต้องย้ายของจากกล่องไหน หญิงสาวพยักหน
วันรุ่งขึ้น เป็นเช้าวันจันทร์อันแสนสดใส นิรมลขับรถออกจากบ้านที่นครปฐมตั้งแต่ตีห้า หญิงสาวต้องไปแวะที่คอนโดฯ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เธอขับรถผ่านจุดที่เกิดเหตุ ก็ได้พบเจอกับร่างโปร่งแสงของมาวินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาวินไม่ได้มาในสภาพน่ากลัวอีก แต่กลับยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่มีความสุข พูดขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยเหลือเขามาตลอด“ผมขอบคุณพี่นิวมากนะครับ ของที่ฝากพี่ไก่ไว้ เดี๋ยวพ่อแม่ผมไปเอาของคืนเอง แล้วก็...ผมฝากให้พี่ช่วยบอกพ่อแม่กับคุณลุงคุณป้าลองปรับความเข้าใจกันด้วยนะครับ”มาวินพูดเพียงแค่นั้น แล้วร่างโปร่งแสงของเขาก็หายวับไปกับตา นิรมลจึงพูดเสียงดัง“ตกลงจ้ะ วันไหนพ่อแม่ได้ของคืนแล้วมาบอกพี่ด้วยนะ”นิรมลเข้าทำงานที่บริษัท ด้วยความที่เป็นเช้าวันจันทร์ จึงมีแต่โทรศัพท์จากลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีประชุมอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวยุ่งกับงานจนลืมเรื่องราวของมาวินไปเสียสนิทเหตุการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นิรมลยุ่งวุ่นวายกับการทำงานจนลืมวันลืมคืน จนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดี เป็นวันครบรอบการคบกันถึงเจ็ดปีของนิรมลและเอกภพ ด้วยความยุ่งทำให้นิรมลลืม แต
นิรมลและนรีนันท์ไปถึงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมของทั้งคู่ ประตูรั้วโรงเรียนปิดเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ทั้งสองคนก็ยังมองเห็นว่าภารโรงของโรงเรียนยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่พวกเธอทั้งสองคนมองไม่เห็นหน้า เนื่องจากหญิงสาวคนนั้นหันหลังให้นิรมลยืนมองด้านนอกประตูรั้ว ทีแรกนรีนันท์จะเปิดประตูเข้าไป แต่พี่สาวของเธอห้ามไว้“จะเข้าไปทำไม ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า”โชคดีที่ทั้งคู่ต่างยืนรอกันอยู่ที่หน้าโรงเรียน อีกสิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวคนที่ยืนคุยอยู่นั้นก็เดินออกมา นรีนันท์ที่ยืนมองอยู่ตาโตด้วยความดีใจ เธอรีบสะกิดบอกนิรมลทันที“พี่นิว พี่คนนี้แหละค่ะที่เป็นญาติของมาวิน”“จริงเหรอ นัทรู้ได้ยังไง”นรีนันท์ยิ้มให้กับพี่สาว แต่ก่อนที่จะทันอธิบายอะไรออกมา หญิงสาวคนนั้นก็ออกมาถึงหน้าโรงเรียนแล้ว นรีนันท์จึงเปลี่ยนเป็นเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นแทน“สวัสดีค่ะพี่ไก่ จำนัทได้ไหมคะ”หญิงสาวคนนั้นหยุดชะงัก เธอมีใบหน้าคล้ายกับมาวิน แต่ขาวกว่า รูปร่างส่วนสูงพอๆ กันกับนรีนันท์ หญิงสาวคนนั้นหยุดคิดเพียงครู่เดียว แล้วร้องออกมา“
เช้าวันรุ่งขึ้น นรีนันท์รีบมาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เธอนัดเพื่อนๆ ที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย หญิงสาวได้รับข้อความจากพี่สาวว่ารู้พาสเวิร์ดแล้วและพิมพ์บอกรหัสนั้นมาให้กับเธอนรีนันท์ตื่นเต้น และลุ้นมากว่ารหัสพาสเวิร์ดที่พี่สาวบอกนั้นจะถูกต้องหรือไม่ แต่เมื่อพวกเธอได้ทดลองเข้าอีเมลของมาวิน ปรากฏว่าถูกต้อง สามารถเข้าอีเมลได้ ทั้งสามคนต่างก็ดีใจกันมาก“เอาล่ะ คราวนี้กลุ่มพวกเราก็มีงานส่งกันสักที”นรีนันท์และเพื่อนๆ อีกสองคนต่างก็วุ่นวายกับการช่วยกันทำรายงานส่งอาจารย์ และสามารถส่งงานอาจารย์ได้ทันภายในวันศุกร์ตามที่กำหนดไว้ จนนรีนันท์ลืมถามนิรมลว่ารู้รหัสพาสเวิร์ดของมาวินได้อย่างไร?จนกระทั่งถึงวันเสาร์ นิรมลกลับมาถึงบ้านที่นครปฐมตั้งแต่เช้า ได้เจอกับนรีนันท์ที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก“พี่นิว ดีใจจังเลยค่ะที่กลับมา นัทกำลังคิดถึงพี่อยู่เลย”นรีนันท์วิ่งมากอดพี่สาวด้วยความคิดถึง นิรมลกอดน้องสาวตอบ เธอมองน้องสาวที่แต่งตัว สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เหมือนว่าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกมากกว่าจะอยู่บ้าน“นัทจะออกไปข้างนอกเหรอ แต่งตัวจะไปไห
นรีนันท์ที่ตอนนั้นถึงจะไม่เชื่อพี่สาวก็ตาม แต่เมื่อเธอย้อนกลับไปคิดทบทวนอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตามอย่างที่พี่สาวบอก นั่นก็คือลองสอบถามจากเพื่อนๆ ของเธอที่ไปเจอมาวินในที่เกิดเหตุ“แกต้องไปถามแม่ของมาวินแล้วแหละ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของมาวินอยู่ไหน บางทีของอาจจะอยู่กับพ่อแม่ของเขาแล้วก็ได้”นรีนันท์ค้นหาเบอร์โทรศัพท์แม่ของมาวินที่เธอเคยขอไว้สำหรับการติดต่อกันเมื่อตอนงานศพของมาวิน แต่คำตอบของแม่มาวินกลับทำให้เธอสงสัยมากขึ้น‘แม่ยังไม่ได้ไปรับของคืนที่สถานีตำรวจเลย พ่อแม่ยังไม่ว่าง หนูมีอะไรหรือเปล่า’“เอ่อ...นัท...ตอนนี้นัทยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่นัทนึกถึงวันที่มาวินมาที่บ้าน วันนั้นดูเหมือนว่ามาวินจะมีโน้ตบุ๊กมาด้วย”‘งั้นเหรอจ๊ะ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนแม่ว่างจะลองไปติดต่อที่สถานีตำรวจดูนะ’นรีนันท์วางโทรศัพท์ เธอนึกถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ที่พี่สาวของเธอโทรศัพท์มาเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง‘มาวินบอกว่าไฟล์รายงานที่ทำงานกลุ่มกัน อยู่ในโน้ตบุ๊กของเขา เขาอยากจะให้เอาของไปคืนให้พ่อแม่ของเขาให้หมดน่ะ’“แล้วพี่นิวรู้ได้ยังไงกัน มาวินมาเข้าฝันพี่หรือไง”นรีนันท์พูดเย้าแหย่พี่สาวเล่นๆ แต