“เห้อ! ไม่ต้องบอกก็จะไป! จบนะ!”
ฉันหมุนตัวกลับไป เดินหนีไลน์เนอร์ราวกับหนีเจ้าหนี้สุดโหด ยังเดินไม่ถึงไหนน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าที่ได้ยิน ก็ดังอยู่ข้างหู
“มึงไปกับกูหน่อยสิ ไวท์!”
ข้อมือใหญ่เหมือนกรงเหล็ก รวบเอาข้อมือข้างซ้ายของฉันไปกำไว ร่างกำยำน่าอิจฉาลากฉันไปตามทางเดินเชื่อมระหว่างตึกคณะ ฉันขืนตัวไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แรงผู้หญิงมันสู้แรงผู้ชายได้ที่ไหน เมื่อสู้ด้วยแรงไม่ได้ ฉันก็ตัดสินใจที่จะใช้ปากสู้ ไม่กลัวว่านั่นอาจจะทำให้เส้นด้ายชีวิตของตัวเองขาดสะบั้นลง
“ปล่อยกูนะไอ้เหี้ย!”
ฉันไม่สนว่ากำลังถูกใครลากไป ไม่สนแม้จะรู้ถึงความน่ากลัวของไลน์เนอร์ ผ่านทางข่าวลือที่ใครหลายๆคนพูดผ่านหู ในพื้นที่ที่มีคนอยู่เยอะแบบนี้ เขายังกล้าทำแบบนี้กับฉัน ถ้าหากปล่อยให้เขาลากไปในที่ลับตาคน ฉันอาจจะถูกเขากระทืบตาย เพราะคิดว่าฉันเป็นไนท์
เดี๋ยวสิ ไม่นี่ เมื่อกี้เขาเรียกฉันไวท์นี่นา ได้ยินชัดเต็มสองหูเลย
“นี่! เดี๋ยวก่อน นายรู้ว่าฉันไม่ใช่ไนท์นี่ ปล่อยสิ ปล่อยสิเว้ย”
ฉันตั้งใจว่าจะคุยกับไลน์เนอร์ดีๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา คือแววตาที่ชวนให้หงุดหงิด และแรงลากที่มากกว่าเดิม ฉันแทบจะปลิวไปตามแรงของเขา ไม่ต่างจากว่าวกระดาษที่ปลิวไปตามกระแสลม พยายามจะขืนตัวโต้ลมพายุไว้ นอกจากทำไม่ได้ยังรู้สึกเหมือนตัวจะขาด
อ๊าก! ไอ้บ้านี่มันใช่คนหรือเปล่าเนี่ย!
“นี่!”
“ขึ้นไป!”
คนที่ลากฉันมาจนถึงรถยนต์คันหรูสีสันแสบตา ออกคำสั่งพร้อมกับเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้ ฉันอยากฉวยโอกาสนั้นหนีไป แต่เหมือนเขาจะรู้ทันความคิด ขยับมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เบียดร่างเข้ามาจนฉันรีบถลาเข้าไปในรถ กลัวว่าถ้าขืนยังยืนอยู่แบบเดิม แผ่นอกแน่นๆของเขา จะแนบชิดติดกับร่างกายของตัวเอง
“จะพาไปไหนอะ?”
ฉันพยายามบังคับเสียงไม่ให้มันสั่น เพื่อแสดงออกว่าฉันไม่ได้กลัวอะไรเขาหรอก ทั้งที่ใจฉันเต้นดังกว่าเสียงกลองยาว
“ไปไหนงั้นเหรอ?”
ไลน์เนอร์ขึ้นมานั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองฉัน พร้อมความยียวนชวนฟาดหมัดลงบนใบหน้า ถ้าไม่ทำหน้ากวนส้นตีน ฉันคงมองว่าเขาหล่อไปแล้ว แต่มันติดตรงนั้นแหละ เขาทำหน้ากวนประสาทอยู่เสมอ ซึ่งคนประเภทเดียวกันกับไนท์ ฉันเกลียดที่สุดในโลกเลย
“ลืมไปเถอะว่าฉันเคยถาม”
ฉันเริ่มถอดใจในการหนี เพราะไม่มีช่องว่างให้ทำแบบนั้น ไลน์เนอร์ยังคงจ้องหน้าฉันไม่เลิก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาจ้องจนฉันมั่นใจว่าเขาเห็นความแตกต่างหมดแล้ว สายตาของเขาเล่นเอาขนอ่อนของฉัน ลุกขึ้นพร้อมกันด้วยความสามัคคี
ตึก! ตัก!
หัวใจดวงนี้ก็ขยันเต้นเหลือเกิน แล้วครั้งนี้มันเต้นต่างออกไปจากเดิมด้วย เลือดในกายสูบฉีดดีขึ้นและความร้อนก็เห่อขึ้นมาอยู่ใบหน้า ฉันเบือนหนีหลบสายตา
ให้ตายสิ! ฉันคนนี้เขินเนี่ยนะ ยี้! ขนลุก
“หน้าคล้ายกันจริงๆแหละ เป็นเธอก็คงได้มั้ง”
ในที่สุดไลน์เนอร์ก็พูดออกมา หลังจากเงียบไปเกือบห้านาที ฉันนั่งงงอยู่กับคำพูดของเขาได้เพียงไม่นาน รถยนต์ยี่ห้อดังอย่าง Jaguar F- Type 5.0 V8 สีเหลืองสด ก็ขับออกไปจากบริเวณลานจอดรถหลักของมหาวิทยาลัย
ฉันนั่งอยู่กับความสงสัยและหวาดกลัวตลอดเส้นทาง ขับมาได้ราวๆครึ่งชั่วโมง รถก็เลี้ยวเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆสตูดิโอ เมื่อรถจอดสนิทก็ได้รู้ว่ามันเป็นสตูดิโอจริงๆ และนั่งมึนได้ไม่นาน คนขับรถก็เดินอ้อมมาลากตัวฉันลงไป
“เบาๆหน่อยสิ! กลัวคนไม่รู้หรือไงว่าเป็นควายอะ!”
ฉันด่าคนที่ลากตัวฉันลงไปจากรถ เหมือนกับควายลากคันไถไปไถนา คนถูกด่ามองจ้องเหมือนจะเข้ามาขย้ำให้คอหัก หยุดฝีเท้าลงจนฉันใจชื้น แต่ก็ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนฉันใจเสีย แล้วก็แยกเขี้ยวใส่จนหัวใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม
อะ! ไอ้นี่! ถนัดใช้หน้าตาข่มขวัญคู่ต่อสู้จริงๆ
“อย่าปากดีกับฉัน ถ้ายังอยากใช้ชีวิตแบบครบสามสิบสอง”
ขู่เสร็จไลน์เนอร์ก็ดึงหน้าออกไป หัวใจฉันยังอยู่ที่ตาตุ่มเหมือนเดิม ฉันผิดอะไรก่อน ฉันอยู่ของฉันดีๆไหมอะ ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยวะ มีปัญหากับไนท์ก็เคลียร์กับเขาสิ ก็รู้แล้วนี่ว่าฉันไม่ใช่ไนท์ ปล่อยฉันไปเถอะ
“ตามมาเงียบๆ อย่าทำให้ฉันโมโหมันจะดีกับตัวเธอ”
ไลน์เนอร์ขู่อีกครั้ง ฉันจำใจต้องเดินตามร่างสูงใหญ่ของเขาไป ไม่ใช่ว่าฉันยอมหรอก ฉันแค่ขัดขืนเขาไม่ได้เลยต่างหาก ยังอยากใช้ชีวิตแบบครบสามสิบสอง อะไรยอมได้ ก็ยอมๆแม่งไปเหอะ
“อุ๊ย! ดูสิว่าไลน์เนอร์ของเจ้พาใครมา น้องไนท์ เดือนบริหาร มหาลัย T ไปเปลี่ยนชุดเตรียมถ่ายแบบเลย ว่าแต่ไปลากตัวมาได้ยังไงเนี่ย เจ๊ดีใจจนจะเป็นลมแล้ว”
ผู้หญิงสวยคนนั้นทำท่าเหมือนจะเป็นลมจริงๆ และกำลังเอนร่างไปทางไลน์เนอร์ เขารับร่างของเธอไว้ จากนั้นก็ผลักออกเบาๆ เพื่อไม่ให้ดูน่าเกียจเกินไป เจ้คนสวยเหมือนได้สติ จากนั้นก็เอนตัวมาทางฉันแทน
อ๊ะ! พรึ่บ!
ฉันที่กำลังตกใจ และไม่รู้ว่าควรจะรับร่างผู้หญิงคนนั้นดีไหม ถูกไลน์เนอร์ดึงตัวไปอีกทาง เจ้คนนั้นทรงตัวยืน ทำหน้าเหลอหลาบอกบุญไม่รับ มองสำรวจฉันอีกครั้ง ก่อนจะเบ้ริมฝีปากขึ้นสูง เมื่อเห็นการแต่งกายท่อนล่างของฉันเข้า
“ไนท์เป็นผู้หญิงเหรอ?”
“ไวท์ไม่ใช่ไนท์”
ฉันแก้ความเข้าใจผิดของทุกคนที่มองจ้องฉันอยู่ ผู้หญิงคนนั้นเดินวนสำรวจรอบตัวฉัน ต่างจากคนที่พาฉันมา ไลน์เนอร์ลากสายตาสำรวจเหมือนกับที่เคยทำมาตลอด
“หน้าคล้ายกันอยู่แหละ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ผมก็สั้นด้วย ไม่น่าจะมีปัญหา”
“อืม เตรียมตัวเลยนะ”
“อือ ชุดอยู่ทางนั้นนะ”
ผู้หญิงคนนั้นเดินจากไปพร้อมสายตาผิดหวัง ส่วนฉันก็ยังมึนๆงงๆกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เหมือนเดิม กำลังจะอ้าปากถามไลน์เนอร์ ข้อมือก็ถูกคว้าไปกำ
หมับ!
“เดี๋ยวสิ! จะไปไหนอีก?”
ฉันถามไลน์เนอร์ที่พยายามดึงฉันให้เดิน เขาหันมามองพลางทำหน้าเหมือนรำคาญ ฉันเบ้ปาก มีสิทธิ์อะไรมาทำหน้าแบบนั้นก่อน ฉันไหมที่ควรทำหน้าแบบนั้น ถูกลากมาโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ เดี๋ยวก็โดดงับหูขาดเลยนิ!
“ฉัน ฉันเจอกับผู้หญิงคนนั้นตอนอายุย่างสิบสามปี เราเจอกันโดยบังเอิญ เธอโผล่เข้ามาในตอนที่ฉันกำลังถูกทำร้าย” ผมพยายามพูดเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากให้ไวท์นึกภาพตาม ยังไม่อยากให้เธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นตอนนี้ แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนที่ผมกอดอยู่กำลังสั่น ผมจึงขยับแขนลงช้อนบั้นท้าย อุ้มไวท์กลับมาที่เตียงนอนสีดำสนิท “…!” “เธอถูกคนที่ทำร้ายฉันจับตัวไว้ เราถูกขังอยู่ด้วยกันนานหลายชั่วโมง ฉันที่หมดหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป ได้เธอช่วยให้กำลังใจจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมเล่าอ้อมๆ กดใบหน้าลงบนไหล่เล็ก พยายามไม่นึกถึงภาพเก่าๆเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมกอดไวท์แน่น คนบนตักนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ผมได้ยินมันจากเธอ “ฉัน ฉันขอไม่ลงรายละเอียด เพราะฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงมัน ฉันไม่อยากให้เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยนะไวท์ ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งตอนหลับ เธอก็ยังช่วยดึงฉันออกมาจากฝันร้ายเหล่านั้น” “ฮึก! นายจะบอกฉันว่า ฉัน ฉันคือผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม นายจะบอกฉันว่า เด็กคนนั้นที่อยู่กับฉัน ยังไม่ตายงั้นเหรอ นาย นายคือเขาเหรอ” ไวท์ขยับตัวหมุนมาเผ
“ทำอะไรอยู่อะไวท์?!” ตึง! ตึง! เสียงของไลน์เนอร์ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง ไม่นานเสียงวิ่งตึงตังก็ดังขึ้นมา และเพียงไม่นานสมุดบันทึกเล่มนั้นก็หลุดออกไปจากมือ ใบหน้าตกใจของเขา ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอ่านมัน เธอคนนั้นที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นแรกไม่ใช่ฉัน แต่มันหมายถึงเธอ เธอที่เหมือนตุ๊กตาของเขา “ฉันจะกลับไปนอนที่บ้าน” ฉันบอกพลางลุกขึ้นจากเตียง เหมือนร่างกายมันจะหมดแรงลงดื้อๆ แต่ก็ฝืนจนยืนได้สำเร็จ คนตรงหน้าฉันเงียบ การที่เขาเงียบ มันทำให้ฉันเริ่มคุมการไหลของน้ำตาไม่ได้ เขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ที่เลือกคบกับเขา “ … เธอ อ่านถึงไหนแล้ว? ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับของอย่างอื่นไง” เขาถาม จากนั้นก็เริ่มตำหนิสิ่งที่ฉันทำ ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่าเจอมันอยู่ในถุงกระดาษ แต่เสียงมันหายไป และไม่นานริมฝีปากก็เม้มแน่น น้ำตาของฉันไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ทั้งๆที่เห็นมันแล้ว เขาทำแค่เพียงมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไวท์!” “ฮึก! … ขอ ขอโทษ!” “ไวท์! มันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเห็นหรอก ฉันผิดเองที่ไม่ได้ตรวจดูมันให้ดี” ไลน์เนอร์ก้าวเข้ามาใกล้ ฉันถอยทั
17 : 45 น. หลังจากเรียนคาบสุดท้ายจบ ไลน์เนอร์ก็อาสามาส่งฉันที่คอนโดก่อน เพราะเขามีท่าทีรีบร้อน ฉันจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา ปล่อยเขาไปทันทีที่วนรถขึ้นมาถึงชั้นบน คนตัวโตทำหน้าตึง แต่ก็รีบบึ่งรถหรูคันโปรดของเขาออกไป Tru Tru “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะมาส่งฉัน และยังขับรถไปได้ไม่ไกลโทรกลับมา ไลน์เนอร์ไม่ยอมพูด บอกให้ฉันรู้ว่าเขากำลังใช้สมาธิในการวนรถลงไปข้างล่าง [ คือ … ฉันซื้อชุดนอนมาให้ เธอช่วยใส่ชุดนั้นนอนรอฉันได้ไหม ] “ที่จะพูดมีแค่นี้ ทำไมไม่พูดตอนมาส่งล่ะ” ฉันแตะคีย์การ์ดเข้ากับเครื่องสแกนหน้าทางเข้า ใช้ใบหน้ากดโทรศัพท์ให้มันแนบกับใบหู ใช้มือดันประตูเข้าไป สอดตัวผ่านช่องว่าง จากนั้นก็ใช้มือถือโทรศัพท์อีกครั้ง [ เหอะน่า! ] “อือ ก็ได้ ขับรถระวังนะ” [ อืม ] ไลน์เนอร์เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นคนรักของเขา ถึงผู้ใหญ่จะยินยอมให้เราคบหากัน แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย คงเพราะไลน์เนอร์เป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยพูดคำว่ารักหรือชอบออกมาดีๆ มันจึงทำให้ฉันเกิดความกังวล ว่าจริงๆแล้ว เขาชอบฉันจริง หรือแค่อยากกันฉันออกจากพี่ชายของเขา
“เสียดายจัง ไม่มีพี่ไวท์อยู่ ข้าวก็ไม่อยากไปเลยอะ ข้าวออกบ้างดีไหมคะ” “แต่นั่นก็เท่ากับว่า ข้าวลดโอกาสของตัวเองลงนะ” “ฮ่าๆ มันยังมีโอกาสเหลือให้ข้าวอยู่เหรอคะ ข้าวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลย ตั้งแต่การหมั้นถูกยกเลิก พี่เขาก็กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ตอนนี้ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด” ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเจอกับข้าวหอมตอนเที่ยงทุกวัน และนั่งปรับทุกข์ให้กันฟังไม่ต่างจากตอนนี้ ทุกข์ของฉันมีไม่มาก แต่ความทุกข์ของข้าวหอมกองโตกว่าภูเขา และวันนี้ ดวงตาของเธอเริ่มฉายความอ่อนล้าออกมา มันเหมือนเธออยากจะตัดใจจากพี่อาเธอร์จริงๆ “อ่า ลอง … ลองทำแบบนั้นดูไหมอะ พี่ก็ พี่ก็ตกไลน์เนอร์ได้เพราะทำแบบนั้นกับเขา” กว่าจะพูดจบ ใบหน้าก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผา ฉันแนะนำอะไรออกไป แล้วทำไมยัยแว่นนี่ ต้องทำหน้าตาจริงจังขนาดนั้น อย่าบอกนะว่า คิดจะทำตามคำแนะนำของฉันจริงๆ “แบบนั้นคือแบบไหนเหรอ?” “ก็แบบ … มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ … กรี๊ด! ไอ้บ้า! จะแกล้งทำไมเนี่ย!” การปรากฏตัวของไลน์เนอร์ ทำฉันตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้ โชคดีที่เขาใช้แผ่นอกดันแผ่นหลังฉันไว้ ซ้ำยังใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวแน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำค
“บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ใช่ลูกรัก ไม่ได้มีพร้อมเหมือนที่พี่อาเธอร์มี แต่ฉัน …ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” ผมเขินตอนพูดประโยคสุดท้าย คำพูดที่เหมือนคนกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ มากกว่าจะเป็นการมาฝากตัวกับครอบครัว ทำเอาไวท์หัวเราะคิกคัก “คิกๆ ฉันเตรียมใจตั้งแต่หลงรักคนอย่างนายแล้วแหละไลน์เนอร์ เพราะฉะนั้น อย่าห่วงเลย” “เธอ เข้มแข็งตลอดเลยนะ” ผมชมคนตัวเล็กที่ยังคงยิ้มไม่หุบ ก้าวเดินต่อไปช้าๆ คราวนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย การมาถึงของเราทั้งคู่ ไม่ได้ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่เกิดความแปลกใจ ผมบอกแม่ไว้แล้วว่าจะพาไวท์มาหา ตั้งแต่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนอเล็กซ์ก็คงรู้มันจากแม่อีกที “สวัสดีครับแม่ อเล็กซ์” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ๊ะหนูไวท์ ไลน์เนอร์เล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะเลย” แม่รับไหว้ผมกับไวท์ อเล็กซ์พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเรา ด้วยความที่แม่อยากจะมีลูกสาวมานาน การที่ผมพาไวท์มา สีหน้าของท่านจึงดูดีมาก ยิ่งตอนที่ไวท์ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพราะโดนฝ่ามือผมดัน ท่านยิ่งยิ้มไม่หุบ “ตายแล้ว! หน้าหนูไปโดนอะไรมาลูก?” รอยยิ้มของแม่หายไป เมื่อได้เห็
“อ๊ะ! นะ นาย / ชู่ว! เบาเสียงหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากถูกคนอื่นจับได้นะ” ผมบอกไวท์ชิดแผ่นหลัง สอบเอวควงความใหญ่โตเข้าออกถี่ขึ้น ความอดทนเริ่มจะถึงขีดจำกัด แต่ก็พยายามยื้อเวลาออกไปอีก เพราะคนที่อยู่ใต้ร่างในท่าโก้งโค้ง ยังไม่ได้แตะขอบสวรรค์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีหรือผมจะสนใจ แต่เพราะนี่คือไวท์ ผมอยากทำให้เธอเสร็จด้วย “อึก!” คนตัวเล็กตัดสินใจใช้มือตัวเองช่วยปิดเสียงคราง เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ผมจึงเลื่อนมือไปด้านหน้า ดึงมือของไวท์ออกมาจากริมฝีปากของเธอ “อึก อื้อ!” ไวท์ลังเลที่จะใช้มือของผม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากหยักสวยก็อ้าออก กดฟันซี่สวยลงบนอุ้งมือ เสียงครางหวานหายไปในทันที ผมสอบเอวถี่ยิบ อีกมือลูบวนบนจุดกระสัน ถี่รัวเป็นจังหวะเดียวกันกับสะโพก ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วลำกาย ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวแน่น สะโพกเล็กแอ่นขึ้นรับสัมผัสหนักหน่วง ตับ! ตับ! “อึก!” “เสียงดีใช้ได้เลยเนอะ” “อ๊ะ อื้อ!” ผมพูดจาหยอกล้อคนตัวเล็ก เพื่อระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะถึงขีดจำกัด ผมยังอยากแช่ตัวตนอยู่ในความคับแน่น อยากกระแทกให้มันลึกกว่านี้ ถี่กว่านี้ แต่ไวท์เสร็จไปแล้ว ความคับแน่นของเธอ ก