“ฟังดู...น่ากลัวแฮะ แถมประโยคหลังก็ไม่น่าไว้ใจ” เหมือนหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ใบหน้าปีศาจของคาเมรอนผุดขึ้นมาในความคิดด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าชายคนนี้จะกลายเป็นปีศาจเหมือนไอ้เวรนั่น แต่เขาดูไม่เหมือนคนพวกนั้น เธอไม่รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก แต่กระนั้น...“ฉันนั่งดูนายเล่นกลก็ได้ ฉันเป็นผู้ชมที่ดีนะ ขอเถอะ อย่าคะยั้นคะยอเลย”
อเล็กซ์คงสังเกตเห็นว่าเธอไม่สบายใจ เขาจึงพูดโน้มน้าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง “ไม่น่ากลัวหรอก เธอปลอดภัยแน่ ๆ ฉันจะอุ้มเธอไว้แบบนี้ เถอะน่า ฉันต้องมีผู้ช่วย แล้วตอนนี้เธอได้รับตั๋วชมชั้นพิเศษเชียวนะ โชคดีขนาดไหนแล้ว”
ใบหน้าของเขาห่างกับเธอไม่กี่คืบ และเพราะเหตุนี้ เธอจึงมองเห็นดวงตาของเขาได้เต็มตา มันเป็นสีดำสนิท แต่สะท้อนให้เห็นดาราจักรที่โลดแล่นอยู่ข้างใน และไม่รู้เพราะอะไร เธอเกิดเชื่อใจเขาขึ้นมา
“นายสัญญานะว่ามันไม่อันตราย”
“แน่นอน ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันสัญญา” เขาชูนิ้วก้อยขึ้น
“แล้วทำไมต้องอุ้มด้วย” เด็กสาวไม่หยุดซักถาม
“เพราะมันง่ายกว่า แล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย เดี๋ยวเธอจะเข้าใจเอง ฉันสัญญาแล้วนะ”
อเล็กซิสนิ่งคิดสักพัก จากนั้นพยักหน้าตกลง เขาอุ้มเธอขึ้นง่าย ๆ ราวกับอุ้มตุ๊กตา แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอยกแขนคล้องคอเขาแน่น
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามนะ”
เธอพยักหน้า
“หนึ่ง...” อเล็กซ์กระโดดทันที ร่างสูงโพทะยานขึ้นราวกับจรวด
อเล็กซิสกรีดร้องเสียงดังลั่น หลับตาปี๋ ไม่กล้ามองข้างล่าง
ไม่นาน เธอเพิ่งรู้ตัวว่าร่างของทั้งสองไม่ได้ตกลง อเล็กซ์กระโดดสูงในแบบที่มนุษย์ปกติทำไม่ได้ พวกเขากำลังลอยตัวอยู่ โอบล้อมไปด้วยดาวนับพัน เธอมองเห็นทางช้างเผือกใกล้ขึ้น และพอเขาสั่งให้เครื่องซูมเข้า จึงดูเหมือนว่ามันกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาคนทั้งคู่
ชั่วขณะหนึ่งที่จิตกับร่างแยกออกจากกัน ร่างกายของเธอเบาจนเหมือนไร้น้ำหนัก ช่วงเวลาที่จิตปราศจากมลภาวะทางความคิดที่คอยหลอกหลอนอยู่ในหัว เมื่อมันเป็นอิสระ ต่อมรับรู้แทบไม่มีผลอันใด และเมื่อไม่รู้สึก ก็ไม่มีความเจ็บปวด หมดสิ้นอาวรณ์ และข้อสงสัยต่าง ๆ ประหนึ่งสิ่งรบกวนในใจทั้งหมดพร้อมใจกันหยุดนิ่ง เธอกลายเป็นเพียงดาวดวงหนึ่งที่มีอยู่ แต่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก บางทีเมื่อเธอหยุดรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันอาจเป็นหนทางสู่อิสรภาพอย่างหนึ่ง ปลดเปลื้องโซ่ตรวนทางความคิดที่ครอบงำเธออยู่ทุกวัน
“เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงชอบสิงอยู่ในนี้”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในหู แต่ในสภาวะนี้ สมองของเธอทำงานช้าลง การประมวลผลจึงช้าลงไปด้วย ไม่นาน ร่างคนทั้งสองค่อย ๆ ลอยลงสู่เบื้องล่าง พ่ายแพ้ให้กับอำนาจแรงโน้มถ่วงในที่สุด เขาปล่อยตัวเธอลง
“ว้าว ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปบนอวกาศจริง” เด็กสาวตบมือเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว “นายบินได้ น่าทึ่งมาก”
“ไม่ได้บินสักหน่อย” เขาว่า อเล็กซิสเพิ่งรู้สึกตัวว่าอเล็กซ์มองเธอไม่วางตา
“มีอะไรเหรอ”
เขาเดินเข้ามาใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาเธอด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง “ฉันไม่เคยเห็นดวงตาสีน้ำเงินแบบนี้มาก่อนเลย”
“ตาของฉันน่ะเหรอ มันก็สีฟ้า”
“ไม่ใช่สีฟ้า สีน้ำเงินเข้ม ตอนอยู่ข้างบนเลยเห็นชัดว่าเป็นสีน้ำเงินเข้ม (“โอเค สีน้ำเงิน” อเล็กซิสยอมแพ้) แต่เหมือน...มีอะไรบางอย่าง...ส่องสว่างอยู่ข้างใน ไม่ใช่เพราะแสงกระทบแต่...มันอยู่ในตัวเธอ”
ฉับพลันอุณหภูมิในห้องเหมือนเพิ่มขึ้น อเล็กซิสรู้สึกว่าอากาศอบอุ่นขึ้นทันตา เมื่ออเล็กซ์เขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดวงตาสีดำของเขาเอาแต่จ้องสำรวจเข้าไปในตาของเธอ เป็นวินาทีที่แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว ลมหายใจติดขัด และเธอเป็นฝ่ายถอยออกมาเอง
“พวกเราเป็นพวกสัตว์กลางคืนแน่ ๆ เลย เธอก็เหมือนกันใช่ไหม” ชายหนุ่มถาม โทนเสียงดูยินดีเหมือนเด็กที่เจอเพื่อนใหม่
“นายคนเดียวมั้ง วันนี้ฉันแค่นอนไม่หลับ ปกติแล้วฉันชอบนอนนะ”
พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก
อเล็กซ์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน “ในเมื่อคืนนี้มีแค่ฉันกับเธอ ทำไมพวกเราไม่ลองมาคุยปัญหาปรัชญากัน[1]” เขาจบประโยคด้วยการกัดปากพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“...ฮะ”
“ฉันหมายถึงปรัชญาจริง ๆ นะ” ชายหนุ่มยิ้มเย้ย ดวงตาสีเข้มจนเหมือนสีดำลุกวาวล้อเลียนความคิดบางอย่างในหัวเด็กสาว เธอกลั้นหายใจอย่างอดทน เพราะรอยยิ้มก่อนหน้าทำให้เธอคิดไปในทางนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอกลับอยากคุยกับเขาต่อ
และใช่ หมายถึงปรัชญา
“งั้น ถ้าเป็นเดส์การ์ต[2]ล่ะ”
“ดังนั้น พวกเราถึงอยู่คุยเรื่องนี้”[3] อเล็กซ์สรุป
[1] ‘คุยปรัชญา’ ผู้เขียนยึดความหมายที่จะสื่อในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ‘Talking Philosophy’ มีความหมายอีกนัยหนึ่งหมายถึง sexual intercourse (การมีเพศสัมพันธ์) ตัวละครอเล็กซ์เล่นกับความหมายของคำ
[2] เรเน่ เดส์การ์ต เป็นนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญา
[3] วลีโด่งดังของเดการ์ตคือ I think; therefore, I am ภาษาไทยคือ ข้าพเจ้าคิด (ดังนั้น) ข้าพเจ้าจึงมีอยู่ หมายถึง ความคิดเกิดจากการที่มนุษย์นั้นคิด เมื่อมีผู้คิด นั่นหมายความว่าผู้คิดมีตัวตนอยู่จริง ๆ
เปล่า ไมเคิลแน่ใจว่าอเล็กซ์ไม่ได้รู้สึกแบบเขา อีกฝ่ายเข้าใจไปอีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะพูดกับอเล็กซิสเดี๋ยวนี้ บางที...มันอาจเป็นพลังของเธอ แต่ทำไมอเล็กซ์ไม่รู้สึก หรือเพราะเขายังไม่ได้สู้ เขายังไม่ได้ใช้พลัง แล้วพลังของอเล็กซิสเป็นแบบไหนกันแน่ เพิ่มพลังให้คนอื่นงั้นหรือ หรือปลดล็อกให้อีกฝ่ายรู้จักใช้พลังของตัวเอง“บรรยากาศไม่ดี” อาคุสะพูดขึ้น“กลับไปดูพวกเทสซ่าก่อนกันเถอะ” อเล็กซิสตบไหล่แฟนหนุ่มสองสามทีเพื่อให้เขาออกไปจากตัว “ถ้าพวกมันแห่ไปที่นั่น ทุกคนแย่แน่” ทั้งหมดพยักหน้า เด็กสาวกำลังจะขยับเท้าก็หันมาไมเคิล “ไว้อธิบายว่าเมื่อกี้นายทำอะไร” เธอยกมือตีหน้าผากตัวเองแต่ก่อนจะไปไหนได้ ทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้อง...*****เทสซ่าไม่เคยยินดีเท่านี้มาก่อนที่ได้เจอพวกบลูในเวลานี้ เธอผล็อยหลับไปเมื่อไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีมนุษย์รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์สองตนตรงเข้ามา ทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจะสังหารฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขามาเพื่อลักพาตัวโคดี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังนอน
“หาเองสิวะ” เขาตะโกน ทว่าไม่ทันระวังเพราะมันดาปาอาวุธกลับมา เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นรอยเท้าเต็มหน้ากระแทกเข้าที่หน้า ร่างของเขากระเด็นกระแทกกำแพงตึก ไมเคิลส่ายหัว มึนไปมันหมด อเล็กซิสวิ่งเข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น“พวกมันไม่บอก อย่าเสียเวลา” เขาได้ยินดังนั้นคิ้วขมวดกันทันที เดี๋ยว... กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดจำต้องรั้งพวกมันให้สู้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเทสซ่าแย่แน่ เขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่นตามหาโคดี้อีกหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พวกมันไป พอเห็นเขายืนได้ อเล็กซิสตัดสินใจค่อย ๆ เดินตรงไป มือยังยิงปืนไม่หยุด “เก็บไฟแช็ก” เธอสั่งเขา “ห้ามทำมันหายเด็ดขาด”“อย่าไป” เขาร้อง แต่เธอไม่ฟัง อเล็กซิสหยิบดาบของไมเคิลขึ้นมาอีกข้างแล้วโถมตัวใส่มันแล้วไมเคิลเห็นดังนั้นรีบตะครุบไฟแช็กแล้วจุดมันขึ้น“อเล็กซิส” เขาร้องเมื่อเห็นเธอบ้าบิ่นจะสู้กับมันตัวต่อตัว พลันร่างเธอก็กระเด็นล้มไปทางเรมีที่กำลังรับมือกับอีกตัวคู่กับอาคุสะ อเล็กซ์สบถอะไรบางอย่าง แล้วจัด
เฒ่าทรอยนอนฟุบลงกับพื้นจนหน้าคลุกไปกับหิมะสกปรกบนพื้น ไม่มีใครคิดช่วยให้เขาลุกขึ้นมา และถ้าใครทำแบบนั้น ไมเคิลจะเป็นคนกระชากคอออกมาเอง เด็กหนุ่มยืนพักหอบหายใจ กว่าจะพาทรอยออกมาได้ยากลำบาก หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมให้กำจัดใครก็ตามที่อยู่ในสถานะเจ้าพนักงานของทอยซิตี้ ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ฟีบี้รีเซตพวกมันใหม่เป็นหน่วยทหารแทน แต่เพราะเธอยืมพลังมาจากโคดี้ ประสิทธิภาพของมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อเซตได้ตัวหนึ่งก็ต้องเซตตัวอื่น เธอไม่สามารถทำได้ทีเดียว พอทำงานซ้ำไปซ้ำมา หญิงสาวก็เริ่มหมดความอดทน ฟีบี้บอกว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อสานงานของโคดี้และเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนต่างหาก ศูนย์กลางของทอยซิตี้คือ เดอะ วาล และถ้าหากเจาะเข้าไปยังศูนย์บัญชาการได้ พวกทหารจะแพ้ราบคาบ นั่นคือสิ่งที่เธอบอก แต่ไมเคิลเข้าใจว่ามันคือการคาดเดามากกว่า และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันมาจากลูไมเคิลเดินตรงไปแล้วดึงคอเสื้อทรอยขึ้นมาอีก คราวนี้เขาลากเข้าไปในตึกของเมลิสซ่า ที่พักเก่าของตนกับเรมี ตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว ประชากรในเดอะ วาลบางส่วนที่ไม่อยากต่อสู้ก็อพยพไปยังเขตอื่น เนื่อง
ขณะนั้นริงโก้ตัดสินใจอุ้มเอมอนขึ้นมาคนเดียว เพียซจึงอุ้มเดสซิเรตามมา เบลินดาเห็นพวกเขาเดินตรงมาก็ลุกขึ้น เธอส่งขวดน้ำดื่มให้อย่างรู้งาน ระหว่างนั้นเพียซก็เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากประตูเปิด พวกเขาก็บุกเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวเอมอนกับเดสซิเร ทั้งสองถูกจับสวมกุญแจมือ อาวุธโดนยึดหมด แต่เดสซิเรและเอมอนก็ทำให้กำลังพลภายในนั้นปั่นป่วนไปมาก พวกเขาเจอศพทหารหลายราย คงเป็นฝีมือของทั้งสอง ตอนไปถึง หญิงสาวยังพอมีสติจึงเล่าว่า ทั้งคู่พยายามหาห้องควบคุม แต่ภายในมีระบบเชื่อมต่อกับชุดสูทที่เอมอนสวม เพียงย่างก้าวไปในส่วนที่เป็นสำนักงาน หน้ากากจึงถูกปลดออกอัตโนมัติ ทั้งสองจึงต้องสู้และพยายามจะออกมา ทว่าก็สู้จำนวนคนและอาวุธไม่ได้ จากนั้นจึงถูกจับทรมาน อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเดสซิเรที่ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว บวกกับพลังพิเศษที่ทำให้พวกนั้นไม่อาจสัมผัสหรือเข้าใกล้ได้มากนัก ส่วนเอมอนนั้นแย่หน่อยเพราะพอรู้แผนของลูคร่าว ๆ แต่ไม่ได้ปริปากออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงโดนซ้อมหนักที่สุด“แล้ว...ทำไมพวกเธอมานั่งอยู่ตรงนี้” โอลิแวนถาม “พวกอเล็กซิสล่ะ ฉันได้ยินกว่าทั้งกลุ่มเข้าไปในเขตเธอไม่ใช่หร
ไมเคิลสบตากับเรมี อีกครั้งที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเธอวางแผนอะไรกัน“ฉันต้องการคำอธิบาย ตั้งแต่เช้า พวกเราวุ่นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังไม่นับเรื่องที่พวกเธอทำโดยไม่บอกก่อน”ฟีบี้กลอกตา เธอไม่ได้มีท่าทีสำนึกหรืออ่อนข้อลงแบบเทสซ่า แต่กลับยักไหล่ไม่สนใจ แม้บุคลิกหญิงสาวจะเป็นแบบนี้ และปกติก็ไม่มีใครถือสา (ยกเว้นเทสซ่า) แต่เวลานี้ เขาอดฉุนไม่ได้“ทำไมฉันต้องบอกพวกนายด้วย โต ๆ กันแล้ว อีกอย่างก็ใช่ว่าฉันจะรู้ก่อนหน้าอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ ฉันก็อาจจะนั่งทำหน้าโง่เหมือนพวกนายนี่แหละ” อาคุสะทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามเรื่องคำพูด เธอยักคอไปมาอย่างกวนประสาท “เฮ้อ เอาเป็นว่าตอนนี้โคดี้ต้องพัก ส่วนฉันก็ยืมพลังเขามาใช้ จะพยายามเปิดไอ้ประตูยักษ์นั่น” พูดจบก็ถูมือ“ฟีบี้...” อเล็กซิสพูดขึ้น “ฉันเดินผ่านศูนย์อนามัย...เห็นศพพยาบาลเต็มไปหมด ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอีก...”หญิงสาวเงียบไปเมื่อเจอคำถามนี้ เทสซ่าก็เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้า
11:45 PM หน้าประตูเขตเครสเตอร์ - เดอะ วาลกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายเป็นวงกว้าง มันส่งแรงต้านผลักก้อนคอนกรีตชิ้นโตหล่นกลับลงมบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไมเคิลทึ่งที่โคดี้สามารถป้อนชุดคำสั่งพิลึกพิลั่นให้กับหุ่นพิฆาต หรืออันที่จริงคือ ใครจะคิดว่าเขาจะป้อนคำสั่งแบบนั้นในเวลารีบเร่งเช่นนี้ ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีหุ่นสองสามตัวเดินกลับมาปาก้อนหินหนักขึ้นไป กำแพงกั้นเขตแน่นหนาจนแม้แต่พวกมันข้ามไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เช็กดูว่าระบบรักษาความปลอดภัยของทอยซิตี้สั่นคลอนแล้วหรือยัง จะว่าเป็นเพราะระบบถูกออกแบบมาดีก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ใช้เพราะโคดี้มีพลังพิเศษ ไมเคิลไม่เห็นหนทางเลยว่าพวกเขาจะออกไปได้ ต่อให้เครสเตอร์และนอร์ธพังทลายเพียงใด มันก็ยังไม่ลามไปถึงอีกฝั่งที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และเมื่อนั้น ถ้าหากพวกเขาจะล้างศัตรู ก็อาจปล่อยระเบิดลงมาลูกเดียว แบบที่เคยเกือบล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเมื่อหลายพันปีก่อนยุคก่อนหายนะ...พี่สาวฝาแฝดเคยเล่าให้เขาฟังเข้าเที่ยงคืนกว่าแล้วหรือ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อเล็กซิสจะกินอะไรแล้วหรือยัง เขานั่งนับวันแล้วเหงื่อตก พวกเขาทำปฏิทินเช็กความถี่ว่าอะวีซีจะออกฤ