LOGIN“คงงั้น สมน้ำหน้าแล้วนี่” เธอตอบ บางทีคนคนนี้อาจไม่ได้นิสัยแย่อะไรมาก อาจจะเป็นแค่เกรียนคนหนึ่ง “แล้วก็ขอบคุณที่นายผลักฉันออกไปด้วย...ถึงแม้จะเกือบโหม่งกำแพงก็เถอะ เอ ว่าแต่ตอนนั้นนายผลักฉันเหรอ”
แต่เธอไม่ได้ติดใจอะไรมาก อเล็กซิสมองไปรอบ ๆ แล้วถอนหายใจ แต่แล้วแสงสว่างในห้องค่อย ๆ ลดลงจนมืดสนิท เครื่องโพรเจกเตอร์กลับมาทำงานอีกครั้ง ดวงดาวฟื้นคืนชีวิต
“นายคงชอบห้องนี้มาก ก็ได้ ฉันปล่อยให้นายครองห้องก็แล้วกัน” เด็กสาวยอมแพ้ปราศจากอาการตะขิดตะขวงใจหรืออยากเอาชนะอีก เธอไม่มีอารมณ์มานั่งค้นหาคำตอบจากดาวพวกนี้อีกแล้ว ยิ่งเห็นท่าทางใจสลายเมื่อครู่ เธอนึกสงสารเขาอยู่
ชายหนุ่มเงยหน้ามอง ปัดผมสีดำออกไปจากหน้า “อยู่สิ เธอจะอยู่ต่อก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่อยากดูอะไรแล้ว”
“ไม่ ๆ...อยู่เถอะ ฉันอยากจะแบ่งห้องให้เธอใช้แล้วไง เธอต้องให้เกียรติฉันสิ นี่อุตส่าห์มีน้ำใจแล้วนะ”
อเล็กซิสสั่นหัว แต่ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ เธอนั่งลงบนพื้น น่าแปลกที่มันแห้งสนิท
“เวทมนตร์อะไรกันเนี่ย” เธอพึมพำ ทึ่งไปกับเทคโนโลยีของที่นี่ รัฐบาลครอบครองเทคโนโลยีชั้นสูงในแบบที่หนังวิทยาศาสตร์เรื่องใดก็เทียบไม่ติด
“สรุปแล้ว นายชอบห้องนี้ หรือว่าอยู่ในห้องนี้เพื่อสูบบุหรี่กันแน่” เธอถามชายหนุ่ม
“ถูกทั้งสองข้อ”
จู่ ๆ เขาหุนหันลุกขึ้นยืน ทำเอาอเล็กซิสรีบลุกตามไปด้วย เขาเดินไปรอบ ๆ แหงนหน้ามองดวงดาวทั้งหลายเหมือนกำลังชื่นชมผลงานศิลปะที่เก็บสะสมในแกลลอรี่ส่วนตัว “พอจ้องมองสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ เท่านั้น หลงทาง เป็นแค่เศษเสี้ยวในจักรวาล มีความสำคัญน้อยนิด สิ่งมีชีวิตที่ถูกทิ้งขว้าง ฮึ”
น่าแปลกที่ว่าพอเขาพูด อเล็กซิสกลับเห็นตัวตนของเขาชัดเจนกว่าเวลาที่ไฟส่องสว่าง ในน้ำเสียงนั้นแดกดันรัฐบาลอยู่หน่อย
“นายแน่ใจนะว่าอยากจะแบ่งท้องฟ้านี้กับฉันแล้ว” เธอถามเพื่อความแน่ใจ ถึงเขาทำตัวเป็นมิตรมากขึ้น แต่เธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจกับอาการล่องลอยเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ดี
“อื้อ พูดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ช่างเหอะ” เธอนวดขมับตัวเอง พยายามปรับจูนสติ
“ฉันไม่ได้จะไล่เธอหรอกนะ คือ ใช่ ตอนแรกก็จะทำ” ชายร่างสูงสารภาพ “แต่พอเห็นว่าเธอยืนมองเหตุการณ์ที่ดาวชนกัน แวบหนึ่ง เหมือนฉันเห็นว่าเธอหลอมรวมไปกับพวกมัน...เหมือนโลกภายในตัวเธอแตกสลาย เหมือนกับที่ฉันรู้สึกกับตัวเอง เธอมีคำถามมากมาย...เหมือนกับฉัน...ความเจ็บปวด...ราวกับนี่คือจุดจบของชีวิต เธอกำลังสับสนว่าตัวเองควรยอมรับความจริงหรือไม่ และเธอพยายามที่จะหาคำตอบกับดาวพวกนี้”
อเล็กซิสเงียบไปพักใหญ่เมื่อมีคนอ่านความในใจออก
“ใช่ นายพูดถูก ในหัวของฉันฟุ้งไปหมด มีแต่คำถามและข้อสงสัยมากมาย บางครั้งฉันสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวเรา ณ ปัจจุบันคือตัวตนของเราจริงหรือไม่ บางที ที่นี่อาจจะเป็นยานอวกาศก็ได้นะ พอเที่ยงคืน สิ่งรอบข้างก็เปลี่ยนไป แล้ววันหนึ่ง ฉันอาจลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร” [1]
เธอสัมผัสได้ว่าเขามองเธอ แต่สายตาของเธอในตอนนี้มองเห็นไม่ชัด ไม่เห็นแม้แต่สีตาของเขา น้ำตาลเข้มหรือเปล่า เธอหันไปสนใจเจ้าหลุมดำที่เคลื่อนตัวอยู่ด้านข้าง “พวกเขาไม่ควรทาสีขาวขนาดนั้น มันควรจะเป็นสีที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนกว่านี้ หรือไม่ก็สีครีม สีขาวโทนนี้ทำให้ระคายตา ฉันไม่ชอบ มันขาวเกินไป ไม่รู้ทำไมถึงเกลียดขนาดนี้”
เขาหัวเราะผ่านไรฟัน “เห็นด้วยเรื่องสี เพื่อนสนิทของฉันก็ไม่ชอบ เขาบอกว่าคนพวกนี้พยายามทำตัวให้ขาวสะอาดมากขึ้นด้วยการใช้สีขาวปิดบังความโสมมข้างใน”
“มีเหตุผลดี แต่เพื่อนของฉันไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย พวกเขาเฉยชากับมัน ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ ฉันไม่ชอบเวลาพวกเขายอมรับความจริงได้ง่ายเหลือเกิน รับมือกับภาพมายาได้เก่ง...มันน่าหงุดหงิด” เธอมองกลับไปยังคู่สนทนา เพราะบรรยากาศค่อนข้างมืดเมื่อเครื่องฉายท้องฟ้าในยามค่ำคืน “ฉันไม่รู้ตัวเลยว่านายเข้ามาเมื่อไหร่ นายบอกว่าเห็นปฏิกิริยาของฉันทุกอย่าง จริงเหรอ ฉันว่ามันมืดออกจะตาย แม้แต่ตอนนี้ ฉันยังเห็นนายไม่ชัดเลย ถ้าไม่มีแสงจากดาว”
“อื้อ สายตาแบบพวกเราดีกว่าคนแบบเธออยู่แล้ว แม้แต่ภายใต้แสงสลัวฉันก็ยังมองเห็นชัด เธอไม่รู้ตัวจริง ๆ นั่นแหละ ขนาดฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ ยังไม่รู้เลย จนกระทั่งฉันสูบ สักพักเลยทีเดียวกว่าเธอจะรู้สึกตัว ก็เลยแกล้งหยอกนิดหน่อย”
อเล็กซิสหัวเราะ “นายรู้ตัวดีนี่ ว่านิสัยไม่ดี”
เขายักไหล่
แปลกคน แม้อเล็กซิสไม่สามารถสังเกตอากัปกิริยาได้ดีไปกว่าที่เขาสังเกตเธอ เพราะประสาทสัมผัสถูกแสงสลัวปิดกั้นเอาไว้ แต่คำพูดของเขานั้นจับใจ เหมือนเป็นสิ่งที่ออกมาจากข้างใน เธอสัมผัสมันได้และมันทำให้เธอเห็นตัวตนของเขาดีกว่ามองด้วยตาเปล่า
“ฉันชื่ออเล็กซ์ เธอชื่ออะไร”
เด็กสาวขำพรืดออกมาทันที “แปลกแฮะ ฉันชื่ออเล็กซ์เหมือนกัน มาจากอเล็กซิส เดี๋ยวนะ” เธอนึกถึง เบน หนุ่มหล่อเสน่ห์แรงคนนั้น “นายเป็นเพื่อนของเบนใช่ไหม”
“รู้จักหมอนั่นด้วยเหรอ” เขาว่า “อืม ก็คงไม่แปลก หมอนั่นต้องทำความรู้จักกับเด็กผู้หญิงอย่างเธอก่อนฉันแน่นอนอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ ไอ้นี่ไวเสมอ”
อเล็กซิสพอเข้าใจอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด “อ่า...เขาหัวเราะพอฉันบอกชื่อตัวเอง สรุปแล้ว นายคือ...อเล็กซ์คนนั้นจริง ๆ สินะ”
“มาจากอเล็กซานเดอร์” เขาตอบ “และใช่ ฉันคืออเล็กซ์คนนั้น สนิทกันแล้วหรือยังล่ะ กับเบนน่ะ”
“คุยกันสั้น ๆ แบบ ไง ยินดีที่ได้รู้จัก เขาเป็นคนใจดีนะ เขาช่วยฉันเรื่อง...เออ ช่างมันเหอะ”
“ใจดี...” น้ำเสียงของเขาดูขำขัน
“นายนอนดึกเป็นประจำเลยเหรอ”
“ฉันนอนที่นี่ต่างหาก” อเล็กซ์หยุดเดิน แล้วเรียกเธอให้มาใกล้ ๆ “แค่ออกไปหาอะไรดื่ม พอกลับมา เธอก็ขโมยห้องไปแล้ว”
“....”
“เมื่อกี้พูดเล่น เธอเป็นคนจริงจังเหมือนกันนะเนี่ย นี่ อยากเล่นกลหรือเปล่า” น้ำเสียงในประโยคหลังทำให้เธอรู้สึกว่า เขาเพิ่งตื่น
“ฉันเล่นกลไม่เป็น แล้วก็เบื่อกลแล้วด้วย” อเล็กซิสนึกถึงกลเดินบนน้ำในงานปาร์ตี้ของเวดที่เป็นช่องทางให้เบลินดาแจ้งความจนพวกเขาถูกจับแล้วลงเอยที่นี่
“ไม่เป็นไร ฉันจะเล่นให้ดู มานี่สิ” อเล็กซ์ไม่รอคำตอบ พอออกปากปุ๊บ พริบตาหนึ่งเขาก็มายืนข้างตัวเธอแล้ว ชายหนุ่มสอดมือระหว่างเอวพยายามจะอุ้มตัวเธอขึ้น
“เฮ้ย!” อเล็กซิสผลักมือเขาออก “ไม่ดีนะแบบนี้ ไม่ดี”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย ไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้นด้วย เชื่อเถอะ สัญญาว่าจะแสดงเวทมนตร์ให้ดูจริง ๆ อย่าดื้อน่า”
[1] พล็อตที่อเล็กซิสพูดมาจากหนังเรื่อง Dark City
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







