“ที่นี่มีไว้ทำอะไรกันแน่”
ทีวีจอแบนบนโต๊ะแสดงรายละเอียดข้อมูลสุขภาพ ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง วันเกิด กรุ๊ปเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต และอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สาวสวมชุดเครื่องแบบสีขาวคล้ายนางพยาบาล (ขาวอีกละ!) คาดผ้าปิดปากสีเขียว เธอเอ่ยชมเบนด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดว่าสุขภาพของเขาดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
“คุณครับ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เอาไว้ทำอะไร”
เธอดึงแขนข้างที่สวมนาฬิกาแล้วอธิบายวิธีการใช้งาน อุปกรณ์ตัวนี้สามารถบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้หมด โดยหากกดปุ่มแสดงรายละเอียดจะขึ้นเป็นจอโฮโลแกรม มันยังแสดงเวลาล่าสุดที่เขาสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย ใช่แล้ว ครั้งสุดท้าย เพราะห้องนั้นติดตั้งเครื่องดักจับควันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อเล็กซ์อกหักยับเยิน
“สรุปที่นี่เอาไว้ทำไรวะ บอกมาสักทีสิเว้ยเฮ้ย”
“คนต่อไป! อเล็กซานเดอร์ โวลคอฟ”
เก้าอี้เลื่อนไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ จากนั้นตัวเบาะกระเด้งขึ้นผลักเขาออกจากที่นั่งโดยปริยาย เบนกระเด็นล้มลงออกมานอกห้อง คำถามที่เขาถามไปเมื่อครู่ นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ตัวเองยังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
เบนลูบก้นตัวเอง เขายืนรออเล็กซ์ไม่นาน ร่างสูงเดินออกมาต่างจากเขาที่ถูกผลักไล่ เพื่อนของเขายิ้มกว้าง “สุขภาพของคุณดีจนน่าทึ่งจริง ๆ ค่ะ ทั้งที่ต้นกัญชาแทบขึ้นในปอดคุณแล้ว ให้ตายเถอะ” เขาทำเสียงสูงล้อเลียนเสียงโซปราโนของเจ้าหน้าที่สาวคนนั้น ทั้งสองหัวเราะดังลั่น
“ฉันถามเธอเกี่ยวกับที่นี่ แต่เธอเมินซะนี่” เบนเล่า เขาเดินเตะอากาศไปมา มือทั้งสองข้างเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง
“เออ ได้ยิน”
อเล็กซ์กลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง หน้าตาสดใส เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่ไอ้ขี้ยาที่เอาแต่เก็บตัวเพ้อฝันอยู่ในห้องนั้น เขาไม่แน่ใจว่าควรขอบคุณเครื่องตรวจจับควันหรือไม่ อย่างน้อย เบนได้เพื่อนสนิทคืนมา แค่นี้เขาควรจะพอใจแล้วล่ะมั้ง เมื่อเบนถามอเล็กซ์ว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ เขาเผยเพียงแค่ว่า “เจอเพื่อนใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อนน่ะ” เบนอยากรู้จะตายว่าคนคนนั้นคือใคร เพราะอเล็กซ์บอกเพียงแค่นี้ ไม่ยอมอธิบายต่อ และเมื่อเพื่อนมีความลับ เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้เพราะความสงสัยผุดขึ้นมาซ้ำ ๆ อยู่ในหัว
“พวกเราจะทำอะไรต่อดี” เขาถามเพื่อน
“นายไม่ไล่ล่าผู้หญิงแล้วเหรอ”
คนที่ถูกแซวกลอกตา “คนส่วนใหญ่ยังอยู่ตรวจสุขภาพกันอยู่เลย จะให้ฉันไปหาที่ไหนล่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้บ้าผู้หญิงขนาดนั้นด้วย เออ แล้วไอ้เพื่อนใหม่นี่ใคร” เขาแย้มถามทุกครั้งที่นึกออก เผื่ออเล็กซ์จะเผลอหลุดมาสักคำ
“เฮ้ พวกนาย รอก่อน” ซาร่าห์มาพอดี เธอขัดจังหวะได้ถูกเวลาเสียจริง
สาวผมบลอนด์โบกมือร่าเริง เธอเปลี่ยนไปเหมือนกัน จากดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยวเฉา บัดนี้กลายเป็นดอกกุหลาบที่กลับมาเบ่งบาน ไม่นานมานี้ เธอเพิ่งตัดสินใจคบหากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่หรอก พวกเขาไม่ใช่แฟนกัน หญิงสาวไม่ได้คิดจะสร้างสายสัมพันธ์รักโรแมนติกจริงจังอะไรแบบนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อ เวด มิลเลอร์ ซาร่าห์เล่าว่ามันเป็นการเล่นสวมบทบาทฆ่าเวลา หากจะมีเกมใดที่น่าสนุกสำหรับมนุษย์ถ้ำที่ยังคงความเป็นอารยชนก็คงเป็นเกมนี้ เธอทำตัวเหมือนย้อนเวลากลับไปในสมัยยังเรียนในโรงเรียน ผูกมิตรกับเพื่อนของเขา แล้วไปอยู่กลุ่มนั้น แม้เกมสวมบทบาทจะเป็นแค่บทบาทสมมติ อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ซาร่าห์มีความสุขมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา และแม้เธอยืนกรานว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จริงจัง แต่เธอไม่มาหาเบนอีกเลย ซาร่าห์รักษาสัญญากับอเล็กซ์ว่าจะทิ้งระยะห่างกับเบน และเธอก็ทำตามนั้น แน่นอน เขาย่อมหงุดหงิด
“ว่าไงครับคุณผู้หญิง” เขาทักเธอกลับ
“ไปเล่นบาสเกตบอลด้วยกันเถอะ เบน หยุดก่อน (หล่อนยกมือห้าม) ฟังก่อน ฉันจะแนะนำพวกนายให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ของฉัน พวกเขาน่ารักและตลกมาก เชื่อฉันเถอะ พวกเราจะมีเพื่อนมากขึ้น ไม่ใช่เกาะกันเองเหมือนไม่มีใครคบแบบนี้”
เราไม่คบใครต่างหาก “ไม่อยากจะเชื่อเลย แม่สาวซาร่าห์หันไปคบกับพวกเด็ก ๆ ซะแล้ว สรุปแล้ว เธอกับเด็กคนนั้นคบกันจริงจังแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวมองตาเขียวปั๊ด “แน่นอนว่าใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ แล้วแต่นายคิดก็แล้วกัน ฉันไม่สนหรอกว่าจะนายจะมองยังไง หรือเห็นเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหน แต่รู้ไว้เถอะ พวกเราต้องเข้าสังคมและผูกมิตรกับคนอื่นได้แล้ว ฉันพยายามเหมือนกัน เห็นไหม ไม่แย่เลย แถมตอนนี้ยังมีเพื่อนสาวไว้คุยเม้าท์มอยเรื่องของผู้หญิง พวกเราจะอยู่กันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
เบนไม่แปลกใจ “ฉันเห็นเธอหอบหิ้วกระเป๋าเครื่องสำอางออกจากห้อง เล่นแต่งตัวกับเพื่อนผู้หญิงของเธอเหรอ ทำตัวเป็นเด็กเล็กไปได้ อายุเท่าไรกันแล้ว”
“เรื่องของเธอน่า” อเล็กซ์ขัดพลางตบบ่าของเขาให้เพลาปากลง มืออีกข้างปิดปากตัวเองที่กำลังหาวหวอดๆ นึกว่าพอออกจากห้องนั้นนายจะนอนเต็มอิ่มมากขึ้นแล้วนะ “อีกอย่าง ฉันเห็นด้วยกับซาร่าห์ นายอยากให้ฉันออกจากห้องนั้น ก็นี่ไง ออกมาแล้ว อย่างที่ซาร่าห์ว่า พวกเราต้องมีเพื่อน จะอยู่ปลีกวิเวกไม่ได้หรอก ที่นี่นะ นามสกุลไม่ได้ดึงดูดเพื่อนให้เข้ามาเองเหมือนเมื่อก่อน”
ซาร่าห์ดีดนิ้ว “อเล็กซ์คนเดิมกลับมาแล้วสินะ ใช่ รู้ไหม ฉันสามารถคุยกับเพื่อนพวกผู้หญิงเรื่องเสื้อผ้า แฟชั่น พวกเธอชอบกรุสมบัติของฉันมากเลยด้วย นั่งแต่งหน้า สร้างเทรนด์ใหม่ ๆ ฉันมีกิจกรรมงอกเงยให้ทำเยอะแยะ พวกนายก็ทำได้เหมือนกัน การมีเพื่อนมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก”
“เดี๋ยวนะ สร้างเทรนด์ใหม่งั้นเหรอ”
สาวบลอนด์ม้วนผมคลอเคลียใบหน้าตัวเอง “ถ้าเราต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อย ฉันควรจะเป็นคนที่สร้างอิทธิพลให้กับคนในนี้มากกว่าเป็นผู้ตามไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สังคมแบบไหน ถ้ามีอำนาจในมือก็ล้วนดีทั้งนั้นแหละ” เธอประกบมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน “อ้อ ฉันรู้แล้วว่าจะชวนนายยังไง ในกลุ่มของฉันมีเด็กสาวสวยตั้งสองคน น่ารักแล้วก็นิสัยดี ฉันรู้ว่านายชอบอะไรแบบนี้”
“ซาร่าห์ ถ้าเพื่อนของเธอทั้งน่ารักและนิสัยดี ฉันว่าเธอไม่ควรแนะนำเพื่อนให้หมอนี่รู้จักนะ” อเล็กซ์ท้วง ส่ายหัวไปมา
หล่อนเอามือทาบอก “จริงสิ...ฉันผิดเอง ลืมที่ฉันพูดเมื่อกี้ก็แล้วกันนะเบน”
“นี่นายเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่า” เบนติง อเล็กซ์ได้แต่ยิ้ม ทำมึน
เบนทำหน้าเหม็นเบื่อใส่คนทั้งสอง พวกเขาคงยังไม่ทราบว่าเพื่อนตัวเองรู้จักสาวน้อยทั้งสองในกลุ่มนั้นแล้ว สองคนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก แม่แบมบี้กับจอมสร้างเรื่องเทสซ่า
“นายอยากเข้ากลุ่มแบบนั้นเหรอ”
อเล็กซ์ผงกศีรษะหงึก ๆ “อื้อ ฉันไม่รู้จะทำอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว บางที พวกเราคงต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตบ้างแล้วล่ะ”
ซาร่าห์ฉีกยิ้ม “ถูกต้อง เป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุดแล้ว แต่ว่าพวกเราต้องรอให้คนอื่นตรวจสุขภาพเสร็จก่อน ถ้างั้น อีกสักชั่วโมงค่อยเจอกันนะ พวกนายมาที่สนามบาสเลย อย่าลืม” เธอว่า ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ท่าทางกรีดกรายราวกับกำลังเริงระบำ
อเล็กซ์และเบนสบตาแล้วยิ้มให้กันตามประสาผู้ชาย ทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนกันว่าเธอร่าเริงขึ้นมาก และความมีชีวิตชีวานี้เองทำให้บรรยากาศรอบข้างพลอยสดชื่นไปด้วย ซาร่าห์เป็นผู้หญิงที่สวยน่ามองมากเป็นทุนเดิม พอเห็นกิริยาท่าทางแบบนี้ สองหนุ่มเลยกระปรี้กระเปร่าไปตามกัน ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานล้วนแต่งแต้มบรรยากาศได้ดีเสมอ
เพื่อนรักทั้งสองฆ่าเวลาด้วยการไปดูหนังโรแมนติกงี่เง่า แต่พอเริ่มเรื่องไปไม่ถึงสิบนาที เบนผล็อยหลับ จนอเล็กซ์ต้องปลุกด้วยการเขย่าตัว
“อะไรวะ”
“นัดไง” เพื่อนชี้นิ้วไปที่นาฬิกา
“ทำไมกระตือรือร้นจังวะ” หนุ่มดวงตาสีอำพันถอนหายใจแล้วลุกตาม
“อ้าว ภารกิจของพวกเราไง สร้างมิตร”
ไมเคิลไม่ตอบสนองคำขอร้องของเร็กกี้หากแต่พยายามรวบรวมสมาธิภายในเวลาอันจำกัด เขาเคยช่วยอเล็กซิสจากระเบิดมาแล้ว ทำไมครั้งนี้เขาจะช่วยตัวเองและเร็กกี้จากความร้อนไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามนึกถึงตอนที่ตัวเองสู้กับไซบอร์กตัวแรก ยามนั้นเขาอยู่กับอเล็กซิส และเมื่ออยู่กับแฝดสาว ดูเหมือนพลังและความคิดอ่านจะเพิ่มทวีคูณภาพของร่างของพ่อหายวับไปกลับเปลวเพลิงผุดขึ้นมาในหัว เขาจะปล่อยให้ตัวเองและแฝดอีกคนตายแบบพ่องั้นหรือ ชะตากรรมของแฝดทั้งสองจะเหมือนลูก้าใช่หรือไม่ใช้ประสบการณ์ในตอนนั้น ไมเคิล คิด! เขาต้องออกไปให้ได้ และต้องช่วยให้เร็กกี้มีชีวิตอยู่ต่อ ทักษะของชายคนนี้จำเป็นต่อการอพยพ พ่อแม่ ปาสคาล ได้โปรดเถอะ ชี้ทางสว่างที เขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคยเชื่อว่าใครอยู่เบื้องบนหรือจะมีจริงหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเป็นเพียงฝุ่นในจักรวาล แต่ในเมื่อฝุ่นตัวนี้มีชีวิตจิตใจและมีคนที่ต้องปกป้อง เขาอยากจะเชื่อว่าสิ่งลี้ลับบางอย่างจะประทานทางออกมาให้“ฆ่าฉัน!” เร็กกี้ตะโกนอีกครั้ง แก้มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกดูเหมือนเลือดฝาดหน่อย ๆ แต่เมื่อผ่านไปสักพักผิวกลับแดง
เขาคิดว่าตัวเองจะโดนกระแทกตาย แต่หลังกับกระแทกกับโครงอ่อนหนุ่ม...ไม่ถึงกับนุ่มมากนักแต่ไม่ได้ทำให้หลังเขาหัก อย่างน้อยมันก็ยืดหยุ่น ไมเคิลคลำมือลงบนสิ่งที่ว่า มันเหมือนกิ่งไม้สานต่อกันเป็นรัง เขาหันไปรอบ ๆ เจอเร็กกี้ติดแหงกอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่เพราะมีไอ้นี่กันไว้ ลำตัวเขาคงกระแทกกับกำแพงหรือไม่ก็เพดาน ทว่าดูจากสภาพแล้วก็ยังมีบางส่วนบาดเจ็บแรงดูดยังคงอยู่ พวกเขาได้แต่นอนนิ่ง ๆ เหมือนหนูติดอยู่ในกับดักกาวเพียงแต่กาวเป็นรากไม้ เนื้อแก้ม ใบหู เส้นผมเหมือนถูกดึงอยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปสักพัก ประตูทางเข้าปิดลง ร่างคนทั้งสองตกลงบนพื้น“นายเป็นไง” เขาถาม ขณะยืนขึ้น เร็กกี้ครวญออกมาคำนึงแล้วตอบมา“แขนหัก” สีหน้าชายหนุ่มเหยเก แขนข้างขวาห้อยกับลำตัว ใบหน้าและริมฝีปากซีด “ขอบใจฉันทีหลังได้”ไมเคิลมองไปข้างหน้า ประตูปิดสนิท เขาเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ราง ๆ เมื่อแรงดูดหายไป ข้างนอกเริ่มสู้ใหม่ ไมเคิลวิ่งไปจับประตู มันปิดสนิท พยายามผลักและเขย่าเท่าไรก็ไม่เป็นผล“กับดักอะไรของมัน นี่ใช่ไหม กับดักที่มันว่า เขาถามชายหนุ่ม
ร่างของเขาหล่นกระแทกบนพื้น แขนสะเทือนไปถึงหัวไหล่ แม้จะอยู่ภายใต้ชุดเกราะแต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง เรี่ยวแรงที่สะท้อนกลับมานั้นยิ่งกว่าหุ่นยนต์พิฆาตทั้งสองรุ่นเลยทีเดียว ขณะที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาใหม่ก็ได้ยินเสียงปะทะ คนที่เหลือคงซ้ำต่อ แต่เมื่อเขาเงยหน้าได้ก็เห็นว่าชายหนุ่มทั้งหมดนอนกระจายร้องโอยกันหมดมิน่ามันถึงเฝ้าประตูแค่ตัวเดียว เวลานี้ไมเคิลนึกกลับคำในใจ หรือว่ากับดักนั้นง่ายกว่า หรือว่านี่คือกับดัก และแล้วเขาก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของเร็กกี้ ไซบอร์กจะถูกปล่อยออกมาตามรอบเวลา แล้วพวกข้างล่างเล่า มันพอดีกับที่เจ้าตัวนี้โผล่มาหรือไม่เสียงหัวเราะของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้ง มันเดินมองไปทีละร่างเหมือนกำลังเล่นสนุก ยังไม่คิดจะเอาชีวิตใครสักคนในตอนนี้ ดวงตาบนหน้านั้นเหลือบไปมา ลักษณะท่าทางมีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต ดูซุกซนแต่ก็เย็นชา เขาไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไร แต่น่าจะเด็กกว่าไมเคิล ทางการทำอะไรกับเหล่าไซบอร์ก เขารู้ว่าคนพวกนี้เคยเป็นมนุษย์ปกติ แต่ดูตรงหน้าสิ...เธอยังเด็กแต่กลับสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วหรือ“เธอพูดได้ไหม” เขาเอ่ยถามออกไปมันหยุดชะงักแ
ยิ่งได้กอด เขายิ่งรู้สึกว่าอเล็กซิสผอมลงมากจนน่ากลัว ยังดีที่ไออุ่นของเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันอบอุ่นเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อนบ่มผิว เหมือนมีสายลมเย็นสบายพัดผ่านและทำให้เขาหวนนึกถึงแม่ตลอด การกอดครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฟื้นฟูพลังงานในกาย แต่เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง มันอาจเป็นการจากกันครั้งสุดท้ายหรือเริ่มต้นชีวิตใหม่อเล็กซิสไม่ห้ามให้เขาขึ้นไป เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ เธอก็จะตามไปหาเขาด้วย นาฬิกาชีวิตของทุกคนเหลือไม่ถึงสองชั่วโมงและมันก็ลดลงเรื่อย ๆ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ทุกคนก็ตาย เหตุและผลง่าย ๆ แต่พวกเขาจะยึดความหวังไว้จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย“จำไว้นะ หากฉันขึ้นไปได้ นายก็ต้องอยู่” ดวงตาสีน้ำเงินดูดุดันขึ้นยามเธอจริงจัง“อื้อ” เขาพยักหน้า “เราจะไม่จากกันอีก”“ไม่” เธอส่ายหน้า มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นน้อย ๆ “รักษาตัวนะ...น้องชาย”เขายิ้ม เธอพยายามจะเป็นพี่จนเขายอม เด็กหนุ่มหันไปสบตากับชายหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีเข้มคล้ายเม็ดนิลสบกลับมาเหมือนต้องการจะให้ความมั่นใจผ่านเพียงสายตา ไมเค
มือและเท้าเย็นเยียบขึ้นมา แต่บลูพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ่งเห็นทุกคนในห้องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ข้างใน แม้ภายในใจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อนระหว่างกลัวตายกับสูญเสีย“พวกนั้นว่าไง แล้วเจ้าคนที่คุมหุ่นยนต์ได้ล่ะ”เมลิสซ่าส่ายหน้า “เด็กคนนั้นใช้พลังไม่ได้ แต่พวกเขาดูจะจัดการกับของพวกนี้ได้บ้าง” เธอหลิ่วตาไปทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อม “โคดี้พยายามจะปลดล็อกระเบิด ส่วนเรมีกำลังรวบรวมข้อมูลกับดักในตึกนี้ทั้งหมด แล้วก็เร็กกี้...” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก “เขาเคยทำงานในศูนย์วิศกรรมการบินและอวกาศของฟิวเจอร์ริสติกเลยพอจับจุดอะไรได้บ้าง ที่ฉันทำได้คือหาอะไรก็ได้ที่จะพอให้พวกมีมันสมองคิดออก เพราะคนอย่างฉัน แค่เปิดเครื่องยังงง”“ยาน?” ริงโก้ไม่แน่ใจนัก “เราจะหนีด้วยยานเหรอ”“อื้อ” เมลิสซ่าพยักหน้า “มันเป็นวิธีเดียวนี่”“แล้วคนอื่นล่ะ” เดสซิเรถามขึ้น “ยังมีคนกระจายอยู่ทุกเขต ซ่อนตัว หาท
เทสซ่านิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนสมองจะทำงานใหม่ เธอกลืนน้ำลายแล้วถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น พวกนั้นจะระเบิดตึกนี้...หรือทอยซิตี้?”แม้เป็นคนพูดเอง แต่เมื่อมันออกจากปากไปแล้ว เลือดในกายกลับเย็นวาบลงจนขนลุกไปหมด อเล็กซิสหน้าซีดลง สีหน้าแสดงออกว่ากำลังใช้สมองวิเคราะห์หนัก“เราต้องบอกลู” เทสซ่าสรุป ถ้าจะนับคนที่มีมันสมองดีเลิศ นอกจากเรมี อเล็กซิส และโคดี้แล้ว เธอนึกถึงลู หญิงสาวค่อนข้างเจ้าแผนการและมีประสบการณ์มากกว่า น่าจะเข้าใจตัวเลขนี้ได้ดีกว่า“บางที...” เรมีรุดเข้าไปที่โต๊ะแสตนเนอร์ อเล็กซิสเบี่ยงตัวเดินออกมาให้เขาจัดการ หน้าจอปรากฏข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เทสซ่าสบตากับรีเวอร์ แววตาของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ถึงกับยอมแพ้3:24:34เทสซ่าจ้องมันราวกับว่าเธอจะมีพลังจิตสะกดให้หยุดได้...พลังจิต “โคดี้!” นึกได้แล้วก็หุนหันวิ่งออกไปแม้จะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมง แต่โคดี้ใช้พลังหนักหน่วงมากระหว่างอยู่นอร์ธ เลือดกำเดาออกถึงสองครั้ง และเมื่อครู่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียง