LOGIN“ที่นี่มีไว้ทำอะไรกันแน่”
ทีวีจอแบนบนโต๊ะแสดงรายละเอียดข้อมูลสุขภาพ ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง วันเกิด กรุ๊ปเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต และอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สาวสวมชุดเครื่องแบบสีขาวคล้ายนางพยาบาล (ขาวอีกละ!) คาดผ้าปิดปากสีเขียว เธอเอ่ยชมเบนด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดว่าสุขภาพของเขาดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
“คุณครับ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เอาไว้ทำอะไร”
เธอดึงแขนข้างที่สวมนาฬิกาแล้วอธิบายวิธีการใช้งาน อุปกรณ์ตัวนี้สามารถบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้หมด โดยหากกดปุ่มแสดงรายละเอียดจะขึ้นเป็นจอโฮโลแกรม มันยังแสดงเวลาล่าสุดที่เขาสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย ใช่แล้ว ครั้งสุดท้าย เพราะห้องนั้นติดตั้งเครื่องดักจับควันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อเล็กซ์อกหักยับเยิน
“สรุปที่นี่เอาไว้ทำไรวะ บอกมาสักทีสิเว้ยเฮ้ย”
“คนต่อไป! อเล็กซานเดอร์ โวลคอฟ”
เก้าอี้เลื่อนไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ จากนั้นตัวเบาะกระเด้งขึ้นผลักเขาออกจากที่นั่งโดยปริยาย เบนกระเด็นล้มลงออกมานอกห้อง คำถามที่เขาถามไปเมื่อครู่ นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ตัวเองยังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
เบนลูบก้นตัวเอง เขายืนรออเล็กซ์ไม่นาน ร่างสูงเดินออกมาต่างจากเขาที่ถูกผลักไล่ เพื่อนของเขายิ้มกว้าง “สุขภาพของคุณดีจนน่าทึ่งจริง ๆ ค่ะ ทั้งที่ต้นกัญชาแทบขึ้นในปอดคุณแล้ว ให้ตายเถอะ” เขาทำเสียงสูงล้อเลียนเสียงโซปราโนของเจ้าหน้าที่สาวคนนั้น ทั้งสองหัวเราะดังลั่น
“ฉันถามเธอเกี่ยวกับที่นี่ แต่เธอเมินซะนี่” เบนเล่า เขาเดินเตะอากาศไปมา มือทั้งสองข้างเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง
“เออ ได้ยิน”
อเล็กซ์กลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง หน้าตาสดใส เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่ไอ้ขี้ยาที่เอาแต่เก็บตัวเพ้อฝันอยู่ในห้องนั้น เขาไม่แน่ใจว่าควรขอบคุณเครื่องตรวจจับควันหรือไม่ อย่างน้อย เบนได้เพื่อนสนิทคืนมา แค่นี้เขาควรจะพอใจแล้วล่ะมั้ง เมื่อเบนถามอเล็กซ์ว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ เขาเผยเพียงแค่ว่า “เจอเพื่อนใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อนน่ะ” เบนอยากรู้จะตายว่าคนคนนั้นคือใคร เพราะอเล็กซ์บอกเพียงแค่นี้ ไม่ยอมอธิบายต่อ และเมื่อเพื่อนมีความลับ เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้เพราะความสงสัยผุดขึ้นมาซ้ำ ๆ อยู่ในหัว
“พวกเราจะทำอะไรต่อดี” เขาถามเพื่อน
“นายไม่ไล่ล่าผู้หญิงแล้วเหรอ”
คนที่ถูกแซวกลอกตา “คนส่วนใหญ่ยังอยู่ตรวจสุขภาพกันอยู่เลย จะให้ฉันไปหาที่ไหนล่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้บ้าผู้หญิงขนาดนั้นด้วย เออ แล้วไอ้เพื่อนใหม่นี่ใคร” เขาแย้มถามทุกครั้งที่นึกออก เผื่ออเล็กซ์จะเผลอหลุดมาสักคำ
“เฮ้ พวกนาย รอก่อน” ซาร่าห์มาพอดี เธอขัดจังหวะได้ถูกเวลาเสียจริง
สาวผมบลอนด์โบกมือร่าเริง เธอเปลี่ยนไปเหมือนกัน จากดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยวเฉา บัดนี้กลายเป็นดอกกุหลาบที่กลับมาเบ่งบาน ไม่นานมานี้ เธอเพิ่งตัดสินใจคบหากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่หรอก พวกเขาไม่ใช่แฟนกัน หญิงสาวไม่ได้คิดจะสร้างสายสัมพันธ์รักโรแมนติกจริงจังอะไรแบบนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อ เวด มิลเลอร์ ซาร่าห์เล่าว่ามันเป็นการเล่นสวมบทบาทฆ่าเวลา หากจะมีเกมใดที่น่าสนุกสำหรับมนุษย์ถ้ำที่ยังคงความเป็นอารยชนก็คงเป็นเกมนี้ เธอทำตัวเหมือนย้อนเวลากลับไปในสมัยยังเรียนในโรงเรียน ผูกมิตรกับเพื่อนของเขา แล้วไปอยู่กลุ่มนั้น แม้เกมสวมบทบาทจะเป็นแค่บทบาทสมมติ อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ซาร่าห์มีความสุขมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา และแม้เธอยืนกรานว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จริงจัง แต่เธอไม่มาหาเบนอีกเลย ซาร่าห์รักษาสัญญากับอเล็กซ์ว่าจะทิ้งระยะห่างกับเบน และเธอก็ทำตามนั้น แน่นอน เขาย่อมหงุดหงิด
“ว่าไงครับคุณผู้หญิง” เขาทักเธอกลับ
“ไปเล่นบาสเกตบอลด้วยกันเถอะ เบน หยุดก่อน (หล่อนยกมือห้าม) ฟังก่อน ฉันจะแนะนำพวกนายให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ของฉัน พวกเขาน่ารักและตลกมาก เชื่อฉันเถอะ พวกเราจะมีเพื่อนมากขึ้น ไม่ใช่เกาะกันเองเหมือนไม่มีใครคบแบบนี้”
เราไม่คบใครต่างหาก “ไม่อยากจะเชื่อเลย แม่สาวซาร่าห์หันไปคบกับพวกเด็ก ๆ ซะแล้ว สรุปแล้ว เธอกับเด็กคนนั้นคบกันจริงจังแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวมองตาเขียวปั๊ด “แน่นอนว่าใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ แล้วแต่นายคิดก็แล้วกัน ฉันไม่สนหรอกว่าจะนายจะมองยังไง หรือเห็นเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหน แต่รู้ไว้เถอะ พวกเราต้องเข้าสังคมและผูกมิตรกับคนอื่นได้แล้ว ฉันพยายามเหมือนกัน เห็นไหม ไม่แย่เลย แถมตอนนี้ยังมีเพื่อนสาวไว้คุยเม้าท์มอยเรื่องของผู้หญิง พวกเราจะอยู่กันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
เบนไม่แปลกใจ “ฉันเห็นเธอหอบหิ้วกระเป๋าเครื่องสำอางออกจากห้อง เล่นแต่งตัวกับเพื่อนผู้หญิงของเธอเหรอ ทำตัวเป็นเด็กเล็กไปได้ อายุเท่าไรกันแล้ว”
“เรื่องของเธอน่า” อเล็กซ์ขัดพลางตบบ่าของเขาให้เพลาปากลง มืออีกข้างปิดปากตัวเองที่กำลังหาวหวอดๆ นึกว่าพอออกจากห้องนั้นนายจะนอนเต็มอิ่มมากขึ้นแล้วนะ “อีกอย่าง ฉันเห็นด้วยกับซาร่าห์ นายอยากให้ฉันออกจากห้องนั้น ก็นี่ไง ออกมาแล้ว อย่างที่ซาร่าห์ว่า พวกเราต้องมีเพื่อน จะอยู่ปลีกวิเวกไม่ได้หรอก ที่นี่นะ นามสกุลไม่ได้ดึงดูดเพื่อนให้เข้ามาเองเหมือนเมื่อก่อน”
ซาร่าห์ดีดนิ้ว “อเล็กซ์คนเดิมกลับมาแล้วสินะ ใช่ รู้ไหม ฉันสามารถคุยกับเพื่อนพวกผู้หญิงเรื่องเสื้อผ้า แฟชั่น พวกเธอชอบกรุสมบัติของฉันมากเลยด้วย นั่งแต่งหน้า สร้างเทรนด์ใหม่ ๆ ฉันมีกิจกรรมงอกเงยให้ทำเยอะแยะ พวกนายก็ทำได้เหมือนกัน การมีเพื่อนมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก”
“เดี๋ยวนะ สร้างเทรนด์ใหม่งั้นเหรอ”
สาวบลอนด์ม้วนผมคลอเคลียใบหน้าตัวเอง “ถ้าเราต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อย ฉันควรจะเป็นคนที่สร้างอิทธิพลให้กับคนในนี้มากกว่าเป็นผู้ตามไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สังคมแบบไหน ถ้ามีอำนาจในมือก็ล้วนดีทั้งนั้นแหละ” เธอประกบมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน “อ้อ ฉันรู้แล้วว่าจะชวนนายยังไง ในกลุ่มของฉันมีเด็กสาวสวยตั้งสองคน น่ารักแล้วก็นิสัยดี ฉันรู้ว่านายชอบอะไรแบบนี้”
“ซาร่าห์ ถ้าเพื่อนของเธอทั้งน่ารักและนิสัยดี ฉันว่าเธอไม่ควรแนะนำเพื่อนให้หมอนี่รู้จักนะ” อเล็กซ์ท้วง ส่ายหัวไปมา
หล่อนเอามือทาบอก “จริงสิ...ฉันผิดเอง ลืมที่ฉันพูดเมื่อกี้ก็แล้วกันนะเบน”
“นี่นายเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่า” เบนติง อเล็กซ์ได้แต่ยิ้ม ทำมึน
เบนทำหน้าเหม็นเบื่อใส่คนทั้งสอง พวกเขาคงยังไม่ทราบว่าเพื่อนตัวเองรู้จักสาวน้อยทั้งสองในกลุ่มนั้นแล้ว สองคนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก แม่แบมบี้กับจอมสร้างเรื่องเทสซ่า
“นายอยากเข้ากลุ่มแบบนั้นเหรอ”
อเล็กซ์ผงกศีรษะหงึก ๆ “อื้อ ฉันไม่รู้จะทำอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว บางที พวกเราคงต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตบ้างแล้วล่ะ”
ซาร่าห์ฉีกยิ้ม “ถูกต้อง เป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุดแล้ว แต่ว่าพวกเราต้องรอให้คนอื่นตรวจสุขภาพเสร็จก่อน ถ้างั้น อีกสักชั่วโมงค่อยเจอกันนะ พวกนายมาที่สนามบาสเลย อย่าลืม” เธอว่า ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ท่าทางกรีดกรายราวกับกำลังเริงระบำ
อเล็กซ์และเบนสบตาแล้วยิ้มให้กันตามประสาผู้ชาย ทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนกันว่าเธอร่าเริงขึ้นมาก และความมีชีวิตชีวานี้เองทำให้บรรยากาศรอบข้างพลอยสดชื่นไปด้วย ซาร่าห์เป็นผู้หญิงที่สวยน่ามองมากเป็นทุนเดิม พอเห็นกิริยาท่าทางแบบนี้ สองหนุ่มเลยกระปรี้กระเปร่าไปตามกัน ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานล้วนแต่งแต้มบรรยากาศได้ดีเสมอ
เพื่อนรักทั้งสองฆ่าเวลาด้วยการไปดูหนังโรแมนติกงี่เง่า แต่พอเริ่มเรื่องไปไม่ถึงสิบนาที เบนผล็อยหลับ จนอเล็กซ์ต้องปลุกด้วยการเขย่าตัว
“อะไรวะ”
“นัดไง” เพื่อนชี้นิ้วไปที่นาฬิกา
“ทำไมกระตือรือร้นจังวะ” หนุ่มดวงตาสีอำพันถอนหายใจแล้วลุกตาม
“อ้าว ภารกิจของพวกเราไง สร้างมิตร”
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







