แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้
“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น
“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ” คำพูดของผู้ติดตามทำให้หยางเจี้ยนยิ้มเย็นออกมาสายตาที่ใช้มองหลินเหม่ยเหยาก็พลันเย็นชามากยิ่งขึ้น
“อ้อที่แท้ก็คือคุณหนูที่อยู่จวนข้างๆ นี่เอง แล้วเหตุใดเด็กสาวเช่นเจ้าจึงได้มาป้วนเปี้ยนแถวนี้” คำพูดของหยางเจี้ยนทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มเย็นออกมาเช่นเดียวกัน นางเงยหน้าขึ้นไปประสานสายตากับเขาแล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สำนักคุ้มภัยสกุลมู่คือกิจการของข้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะมาที่นี่” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าที่นางมักจะถือติดตัวมาด้วยแล้วนำขวดยาขวดเล็กๆ ออกมา
“นี่คือยาสลบที่ข้าใช้ แม้ว่าฤทธิ์ยาจะทำให้คนหรือสัตว์หมดสติในทันทีที่ได้สัมผัสแต่กลับทำให้หมดสติไม่นานนัก ข้าขอมอบให้คุณชายใหญ่หยางเพื่อเป็นการขอขมาที่ข้าลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกของท่าน” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางยื่นขวดยาออกไปตรงหน้า หยางเจี้ยนรีบส่งสัญญาณให้คนของเขามารับไปในทันที แม่สุนัขจิ้งจอกส่งเสียงคำรามใส่นาง แต่พอนางปรายสายตาไปทางมัน แม่สุนัขจิ้งจอกก็ลดเสียงคำรามลงแล้วก้มหน้าลงไปเลียลูกๆ ของตนด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“อีกไม่นานลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนี้ก็จะฟื้นคืนสติขึ้นมา ข้าขอรับรองว่าพวกมันจะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็พยักหน้า
“เจ้าก็จงภาวนาขออย่าให้พวกมันเป็นอะไรก็แล้วกัน” เมื่อเขาเอ่ยจบก็สั่งให้คนของเขาไปอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอกขึ้น แม่สุนัขจิ้งจอกเดิมทีก็ขู่คำรามใส่คนที่มาอุ้มลูกของมันแต่พอหยางเจี้ยนส่งเสียงห้ามปรามมันเบาๆ มันก็หยุดคำรามแล้ววิ่งไปคลอเคลียหยางเจี้ยนในทันที
“ถ้าเช่นนั้นข้ากับน้องชายต้องขอตัวก่อน หากลูกสุนัขจิ้งจอกฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการผิดปกติท่านสามารถส่งคนไปตามข้าที่จวนได้ทุกเมื่อ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็แค่นเสียงในลำคอแล้วโบกมือให้นางด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนางจึงได้ย่อกายคารวะอำลาแล้วจึงได้พาน้องชายกลับจวน
เมื่อไปถึงจวนนางก็ยืนนิ่งมองหลินโม่วถูกชุยอวี้หลันเอาไม้ไล่ตีโดยไม่ช่วยเหลือ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะออกหน้าช่วยน้อยชาย อีกทั้งยังแสดงท่าทีต่อต้านมารดาเลี้ยงอย่างดื้อรั้น แต่ยามนี้นางกลับเห็นพ้องต้องกันกับมารดาเลี้ยงว่าน้องชายของนางควรจะได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง
“พี่หญิง! เหตุใดคราวนี้ท่านจึงไม่ช่วยข้า” หลินโม่วเอ่ยพลางวิ่งมาแอบด้านหลังของนาง แล้วหลบหลีกไม้เรียวที่ตั้งใจจะฟาดใส่เขาของชุยอวี้หลันด้วยความคล่องแคล่ว
“หลินโม่ว อย่าหนีนะ” ชุยอวี้หลันเอ่ยพลางหอบออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย นางไล่ตีเขามาหลายถ้วยชาแล้ว น้อยครั้งนักที่จะตีถูกเขาทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ระวังนะ ระวังว่าท่านจะตีถูกพี่หญิงเข้า ถ้าพี่หญิงเจ็บตัวขึ้นมาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่” หลินโม่วเอ่ยพลางหัวเราะออกมาแต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รู้สึกสนุกสนานไปกับเขาด้วย คำพูดของเขาทำให้แม้แต่ชุยอวี้หลันยังหยุดนิ่ง หลินเหม่ยเหยาได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยกับน้องชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าคงจะตามใจเจ้ามากจนเกินไป ให้ท้ายเจ้ามากจนหลงลืมตน มู่เหอ มู่จิ่นมาจับตัวเขาเอาไว้ ข้าจะดูสิว่าคราวนี้เขาจะหนีรอดไม่เรียวของแม่เล็กได้ไหม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็ผงะถอยหลังไป แต่ก็ยังช้าไปกว่ามู่เหอและมู่จิ่นที่เข้ามาช่วยกันจับยึดแขนของเขาเอาไว้คนละข้าง
“แม่เล็กคือผู้ควบคุมดูแลจวนแห่งนี้ เป็นนายหญิงที่ทุกคนให้ความเคารพ ส่วนข้าแม้ว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนแต่ก็ยังต้องให้ความเคารพนางในฐานะผู้อาวุโสในจวนที่คอยอบรมเลี้ยงดู ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักคิดได้ตลอดไป เจ้าเองก็เช่นกัน เป็นคุณชายคนเดียวของจวน วันๆ ไม่สนใจศึกษาเรียนรู้ตำราวิชาแพทย์ก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้กาลเทศะเจ้าควรจะเรียนรู้เอาไว้ วันหน้าเมื่อเติบใหญ่เจ้าต้องพบกับผู้คนอีกมากมาย หากเจ้ายังคงพูดจาไม่คิดและไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้วันหน้าเจ้าจะต้องเกิดเรื่องแน่” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็พลันน้ำตาคลอเต็มสองหน่วยตาในทันทีด้วยรู้แน่ชัดแล้วว่าวันนี้พี่สาวจะต้องไม่ช่วยเขาแน่
“แต่ข้ายังมีท่านพ่อคอยช่วยเหลือ แถมยังมีท่านคอยปกป้องแล้วข้ายังจะต้องระมัดระวังอะไรอีก” คำพูดของน้องชายทำให้คราวนี้หลินเหม่ยเหยาพลันมีน้ำตาเอ่อคลอเต็มสองตาไปด้วย
“หากวันหน้าท่านพ่อไม่อยู่แล้วเล่า ส่วนข้าเองก็ไร้ความสามารถไม่อาจจะปกป้องเจ้าได้ แล้วเจ้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางคิดถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว ไม่เพียงไม่อาจจะช่วยบิดาได้ แม้แต่น้องชายและมารดาเลี้ยงนางก็สิ้นไร้หนทางที่จะช่วยเหลือ แม้ว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ในสำนักคุ้มภัยอยู่ในมือ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักแล้วนางก็สิ้นไร้กำลังที่จะช่วยเหลือ กองกำลังของสำนักคุ้มภัยเล็กๆ มีหรือจะสู้กองกำลังอันยิ่งใหญ่ของแคว้นได้ ยังไม่นับว่านางไม่อยากจะดึงคนของสำนักคุ้มภัยมาเกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏของบิดา สิ่งเดียวทำได้ก็คือนางจำต้องตัดความเกี่ยวข้องกับสำนักคุ้มภัย เพื่อให้ทุกคนในสำนักรอดพ้นจากข้อหากบฏ
“เช่นนั้นคราวหน้าข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ท่านก็อย่าได้หลั่งน้ำตาออกมาอีกเลย” เมื่อหลินโม่วเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาจึงได้รู้ว่ายามนี้บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ
“เอาเถอะๆ วันนี้จะละเว้นโทษโบยตีให้เจ้าสักครั้ง แต่ครั้งหน้าอย่าได้มีอีก หากมีอีกแม่จะสั่งให้คนช่วยกันจับตัวเจ้าส่งไปที่หอลงทัณฑ์ในทันที” ชุยอวี้หลันเอ่ยพลางโยนไม้ลงพื้นแล้วจึงได้หันมาทางหลินเหม่ยเหยา
“เอาล่ะคุณหนูใหญ่ท่านก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ข้าไม่ตีน้องชายของท่านก็ได้เพียงแต่ครั้งหน้าหากเขาทำผิดอีก คงต้องเป็นหน้าที่ของคุณหนูใหญ่ที่จะต้องลงทัณฑ์เขาจนกว่าเขาจะหลาบจำและไม่ทำอีก” คำพูดของชุยอวี้หลันทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังใช้ผ้าซับน้ำตาพลันชะงักไป ด้วยรู้ดีว่ายามนี้ทุกคนกำลังเข้าใจท่าทีของนางผิด คิดว่านางกำลังร้องไห้เพราะเกรงว่าน้องชายจะถูกลงโทษแต่นางก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคน แถมยังยินดีที่จะได้เป็นคนลงไม้ลงมือกับน้องชายของตนเองอีกด้วย
“ในเมื่อแม่เล็กมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ข้าเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ แม่เล็กวางใจเถิดข้าจะลงโทษเขาให้หนักกว่าที่แม่เล็กลงมือเสียอีก” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินโม่วเอ่ยวาจาประท้วงออกมาในทันที
“พี่หญิง! ท่านจะลงมือกับข้าได้ลงคอจริงหรือ” คำถามของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาพยักหน้าพลางเอ่ยวาจายืนยันในทันที
“ต้องอบรมให้หนักสักหน่อย ในเมื่อเจ้ายังแยกแยะไม่ออกว่าระหว่างลูกสุนัขกับลูกสุนัขจิ้งจอก ข้าก็ควรจะลงมือกับเจ้าให้หนักสักหน่อย” หลินเหม่ยเหยายืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในใจของนางคิดถึงภาพน้องชายที่เป็นหนุ่มน้อยแล้วในชาติที่แล้ว แม้ว่าจะเติบใหญ่แล้วแต่หลินโม่วกลับยังคงอาลัยอาวรณ์และพูดถึงลูกสุนัขที่ตนเองเคยอยากได้มาเลี้ยงในวัยเด็ก ทั้งๆ ที่เขามีสุนัขให้เลี้ยงตั้งหลายตัวแต่ก็เอาแต่บอกว่าไม่เหมือนลูกสุนัขที่เขาเคยอยากได้ ยามนั้นนางไม่เข้าใจแต่ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เหมือน ลูกสุนัขที่ชาวบ้านทั่วไปเลี้ยงจะนำไปเทียบกับลูกสุนัขจิ้งจอกที่หยางเจี้ยนเลี้ยงเอาไว้ได้อย่างไร...
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต