ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมในทันที ระหว่างทางนางพบกับฟางเจี๋ยและหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังเดินออกมาจากจวนพอดี ฟางเจี๋ยที่เห็นว่าน้องสาวตนมีท่าทีรีบร้อนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เมี่ยวเอ๋อร์ จะรีบไปที่ใดกัน เจ้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงมิใช่หรือ?"
"พี่ใหญ่ แม่นมหลิ่วบอกว่าที่ร้านเครื่องประทินโฉมเกิดเรื่อง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องใด จึงจะรีบไปดูเสียหน่อย"
"เกิดเรื่องหรือ เช่นนั้นให้พี่ไปด้วยดีกว่า อาเยี่ยน ข้าคงไม่ได้ไปส่งเจ้าที่จวนแล้ว ข้าขอตัวไปจัดการธุระกับเมี่ยวเอ๋อร์ก่อน"
"อืม เจ้ารีบไปเถิด"
ยามนี้ฟางเมี่ยวไม่มีเวลามาใส่ใจหลี่เยี่ยนเฉินเท่าใดนัก นางจึงเร่งรีบเดินทางไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมพร้อมกับฟางเจี๋ยในทันที
เมื่อรถม้าจอดลงที่ด้านหน้าร้าน ฟางเมี่ยวก็รีบก้าวลงมาอย่างรีบร้อน ภาพที่เห็นก็คือ ยามนี้ด้านหน้าร้านของนางมีคนมามุงเต็มไปหมด ผู้ดูแลหลัวก็มีท่าทีกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เมื่อเหลือบมาเห็นฟางเมี่ยว นางก็มีท่าทีดีใจราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดอย่างไรอย่างนั้น
"คุณหนู"
เสียงเรียกของผู้ดูแลหลัว ทำให้ผู้คนที่มุงดูหันมามองฟางเมี่ยวเป็นตาเดียว
"เจ้าเองหรือคือเจ้าของร้านนี้ ดูเอาเถิด บุตรสาวของข้าซื้อยาสระผมของเจ้าไปใช้เพียงวันเดียว ผมกลับร่วงจนบางแทบไม่เหลือ เจ้าจะรับผิดชอบเช่นไร!!!"
ฟางเจี๋ยที่เดินลงมาจากรถม้ามองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ด้านฟางเมี่ยวนั้นนางหันไปจ้องมองสตรีน้อยที่ผมบางนางนั้นกับมารดาของนางด้วยแววตาที่เรียบเฉย
"เชิญฮูหยินกับบุตรสาวเข้ามาพูดจากันด้านในก่อนเถิด หากได้รับผลข้างเคียงจากยาสระผมที่ร้านของข้าจริง ข้าเองก็ยินดีชดใช้ให้ท่าน"
หญิงวัยกลางคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย
"เหอะ!!! พวกเจ้าเห็นว่าข้าไม่ใช่คนที่มีอำนาจ ไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ใช่หรือไม่ เจ้าจึงไม่ยอมเจรจาที่นี่ แต่กลับเรียกข้าเข้าไปด้านใน หวังที่จะใช้เงินปิดปากข้า ตายแล้ว!! มิใช่ว่าจะให้คนมาทุบตีข้าสองแม่ลูกหรอกหรือ จึงเรียกให้พวกข้าเข้าไป แหม ปากก็พูดว่าค้าขายไม่หวังกำไร อยากให้คนที่ไม่มีเงินได้ใช้ของดีๆ เจ้ามันหลอกลวงชัดๆ คนหลอกลวง เจ้าจะรับผิดชอบเช่นไร บุตรสาวข้าต้องมาอับอายเช่นนี้ ชาตินี้จะแต่งกับบุรุษดีๆ ที่ใดได้อีก"
ฟางเมี่ยวพิจารณามองสองแม่ลูกผู้นั้นคราหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก
"ฮูหยิน สตรีบางคนหัวล้านขึ้นไปถึงหน้าผากนางยังสามารถแต่งสามีได้เลย บุตรสาวท่านผมบางเพียงเท่านี้ คงไม่หนักหนาถึงกับหาสามีไม่ได้กระมัง"
หญิงวัยกลางคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที นางหันไปเอ่ยกับคนที่มามุงดูอย่างโกรธเคือง
"พวกเจ้าเห็นหรือยัง!!! นอกจากจะหวังทุบตีพวกเราสองแม่ลูกแล้ว ปากคอนางยังเราะรายไม่เบาเลย พวกเจ้าดูสิ!!!"
เหล่าชาวบ้านต่างมองฟางเมี่ยวอย่างไม่พอใจ ฟางเจี๋ยที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกระซิบกับฟางเมี่ยวอย่างไม่สบายใจ
"เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าระวังคำพูดด้วย"
ฟางเมี่ยวคร้านจะสนใจฟางเจี๋ยอีก นางหันไปมองสองแม่ลูกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"ข้ายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด เพียงบอกว่าให้เข้าไปเจรจากันด้านใน เจ้าก็เอ่ยวาจาไร้สาระหาว่าข้าจะทุบตีพวกเจ้าบ้างละ หาว่าข้าจะไม่รับผิดชอบบ้างละ ข้าได้เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาหรือไม่ พวกท่านก็เห็นว่ามีแต่นางที่เอ่ยอยู่ผู้เดียว"
"นี่เจ้า!!!"
"ร้านของข้ารับประกันว่านำแต่ของดีมาขาย ผู้อื่นที่ได้ซื้อไปใช้ย่อมไม่มีปัญหา แต่ทว่าบุตรสาวของเจ้ากลับมี เรื่องนั้นข้าไม่ติดใจอันใด แต่ที่ข้าจะเรียกเจ้าไปเจรจา เพราะต้องการที่จะเจรจาชดเชยค่าเสียหาย และมอบเครื่องประทินโฉมอย่างดีเป็นการชดเชย อีกทั้งยังจะมอบน้ำมันบำรุงผมให้บุตรสาวของเจ้าอีกด้วย โดยที่ไม่คิดเงินเลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับตีโพยตีพาย ข้าว่าเจ้าตั้งใจมาถึงที่นี่ไม่ได้มาเพื่อเจรจากับข้า แต่มาเพื่อหวังจะทำลายชื่อเสียงของร้านข้าเสียมากกว่า"
"เหลวไหล เจ้าพูดเหลวไหล จะกลับผิดเป็นชอบหรือ!!!"
ฟางเมี่ยวแค่นเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เช่นนั้นข้าขอสินค้าที่พวกเจ้าซื้อไปคืนมาด้วย ข้าจะได้นำมันไปตรวจสอบดูว่าผิดพลาดตรงที่ใด"
สตรีวัยกลางคนยิ้มหยัน ก่อนจะยื่นขวดยาสระผมส่งให้ฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวรับมันมาดู ก่อนจะมองยาสระผมขวดนั้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ช่างลอกเลียนแบบได้เหมือนเสียจริง เป็นงานที่ไม่ละเอียดเสียด้วย ดูเหมือนว่าจะรีบร้อนทำขึ้นมาจึงดูไม่ประณีตเท่าใดนัก
"เป็นอย่างไร เห็นหรือยัง ครานี้ก็ชดใช้ค่าเสียหายมา!!!"
"เป็นของปลอม"
"หา!!!"
"ขวดยาสระผมที่ร้านของข้า จะสลักตัวอักษรเมี่ยวซึ่งเป็นชื่อของข้าเอาไว้ที่ด้านล่างของขวด แต่ขวดนี้ไม่มี"
เหอะ รีบร้อนจนพลาดเลยสิท่า
"เจ้าอย่ามาโกหก นี่คือของที่ข้าซื้อมาจากร้านของเจ้า!!!"
ฟางเมี่ยวไม่เอ่ยสิ่งใด นางให้ผู้ดูแลร้านนำยาสระผมของทางร้านมาให้นางหนึ่งขวด ก่อนที่นางจะหันด้านล่างขวดให้ผู้คนได้เห็นว่าขวดของนางมีอักษรเมี่ยวซึ่งเป็นชื่อสลักเอาไว้จริงๆ ส่วนขวดที่สองแม่ลูกนำมาแอบอ้างนั้นไม่มีตัวอักษรชื่อของนางสลักเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
ผู้คนต่างหันไปมองสองแม่ลูกด้วยแววตาที่แปลกประหลาด ฟางเมี่ยวไม่รอช้า นางนำภาชนะมาสองใบ ก่อนจะเทยาสระผมลงในภาชนะทั้งสองใบ ปรากฏว่ากลิ่นของยาสระผมทั้งสองขวดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"แม้จะมีสีที่คล้ายกัน แต่กลิ่นกลับต่างกัน สินค้าของข้าจะมีกลิ่นหอมของสมุนไพรธรรมชาติเข้มข้น ไม่เหมือนกับที่อื่น ส่วนที่สองแม่ลูกนี่นำมาแอบอ้างเป็นของปลอมที่ลอกเลียนแบบขึ้นมา เพื่อทำให้ร้านของข้าเสียชื่อเสียงเจ้าค่ะ"
สองแม่ลูกทำสิ่งใดไม่ถูกจึงลนลานวิ่งหนีกระเจิงจากไปอย่างไม่คิดชีวิต ฟางเมี่ยวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ผู้ใดกันที่วางแผนทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา หรือว่าจะเป็นคู่แข่งร้านอื่น!!!
ฟางเจี๋ยหันมามองฟางเมี่ยวก่อนจะเอ่ย
"เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเติบโตแล้วจริงๆ"
"ข้าก็โตมาตั้งนานแล้ว พี่ใหญ่เพิ่งรู้หรือ"
"เช่นนั้นก็เริ่มเรียนคัดอักษรบทต่อไปได้แล้วสินะ"
"โอ๊ย!!! อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเวียนหัวเหลือเกิน ข้าจะกลับไปนอนที่จวนต่อแล้ว"
"เมี่ยวเอ๋อร์!!! เมี่ยวเอ๋อร์!!!"
ฟางเมี่ยวแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นกุมศีรษะและเดินหนีไปที่รถม้าทันที หลี่เยี่ยนเฉินจ้องมองฟางเมี่ยวอยู่ในมุมหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไปจากนาง
คล้ายว่านางจะเป็นคนที่เขาคาดเดาไม่ได้เสียแล้ว!!
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื