จวนจวิ้นอ๋อง
ด้านเติ้งหมิงซีนั้น หลังจากมอบของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนตระกูลไป๋เรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องของตนเองในทันที เมื่อกลับมาถึง พ่อบ้านเหรินก็ประคองเขาเข้ามาที่ห้องนอน ก่อนจะให้เขานอนพักผ่อน เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนนอนพักแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ออกไปให้หมด ไม่ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้านาย
เมื่อคนออกไปหมดแล้ว เติ้งหมิงซีก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ท่าทีเหมือนคนเสียสติและยิ้มตลอดเวลาพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยกลับกลายเป็นเย็นเยียบ มือเรียวยาวราวหยกแกะสลักยื่นไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหาย ก่อนจะปรายตามองพ่อบ้านเหรินที่ยืนอยู่
"ข้าไปงานเลี้ยงวันนี้คงมีคนของราชสำนักจับตาดูอยู่ไม่น้อย ต่อไปข้าคงต้องไปที่งานเลี้ยงให้น้อยลง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเป็นวันเกิดท่านยาย ข้าคงไม่ไป"
พ่อบ้านเหรินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ท่านอ๋อง ได้ยินว่าระยะที่ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการไม่สู้ดี มักจะทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังให้องค์รัชทายาทว่าราชการแทน แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะสายลับของเรารายงานมาว่า ฮ่องเต้ยังคงสั่งให้คนออกตามหากองกำลังลับของอดีตจวิ้นอ๋องท่านพ่อของพระองค์อยู่"
เติ้งหมิงซีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านพ่อก่อนจะจากไปได้
"จำไว้นะอาหมิง หาอยากกมีชีวิตรอดจงหาทางหลบหนีไปจากเมืองหลวงเสีย เสด็จลุงของเจ้าใจคอคับแคบอำมหิต เขาหวาดระแวงทุกคน ย่อมไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้เมื่อหมดผลประโยชน์ย่อมหาทางกำจัด เพราะเกรงว่าวันหนึ่งเจ้าอาจจะมีใจคิดก่อกบฏ"
เติ้งหมิงซีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาฉายแววเย็นชาน่าหวาดกลัว การตายของท่านพ่อย่อมมีเงื่อนงำ เขาไม่เชื่อว่าคนที่แข็งแรงเช่นท่านพ่อจะตายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น ต้องเป็นเพราะท่านพ่อหมดผลประโยชน์และอาจจะเป็นภัยต่อแผ่นดิน เสด็จลุงจึงกำจัดท่านพ่อของเขาทิ้ง
แต่จะกำจัดด้วยวิธีใดนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องหาคำตอบ
นับแต่วันนั้นก็เกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นเขามีอายุสิบหกปีออกนำทัพด้วยตนเอง ตอนตีฝ่าวงล้อมศัตรูและกำลังจะเอาชนะมาได้ เขากลับถูกธนูอาบยาพิษยิงเข้ามาที่หน้าอกฝังซ้ายและพลัดตกจากหลังม้า เดิมทีอาการไม่ได้สาหัสมากเท่าใดนัก ขอเพียงถอนพิษได้ก็ปลอดภัยแล้ว แต่ว่าเขาเขาจำคำที่ท่านพ่อบอกเอาไว้ก่อนตายได้เป็นอย่างดี
เขาจึงใช้การบาดเจ็บในครั้งนี้ให้เป็นประโยน์
นับตั้งแต่วันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสี่ปีแล้ว เขาต้องแกล้งเป็นคนใบ้และสติไม่ดี ใช้ข้ออ้างว่าเป็นเพราะพิษแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดทำลายลมปราณภายในจนไม่เหลือชิ้นดี วรยุทธ์ของเขาถูกทำลายสิ้น อีกทั้งผลข้างเคียงจากพิษที่ตามมาภายหลังทำให้เขาพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต ซ้ำร้ายยังได้เพราะผลัดตกจากหลังม้าศีรษะกระแทกพื้น ทำให้สมองบาดเจ็บกลายเป็นคนสติไม่ดี เป็นคนบ้าใบ้ที่น่าเวทนา ไม่สามารถออกรบและเป็นภัยต่อราชสำนักได้อีก
เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย เขาต้องให้พ่อบ้านเหรินไปหายาพิษชนิดหนึ่งมา ที่ทำให้คนเสียสติและเป็นใบ้ในเวลาชั่วขณะหนึ่งเพื่อตบตาคนในราชสำนัก แต่ต้องแลกกับการขจัดพิษนี้ออกร่วมปีด้วยความทรมาณ เมื่อผ่านความทรมาณจากการถอนพาครั้งนั้นมาได้เขาก็กลับมามีสติแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทว่าก็ต้องแลกด้วยการเป็นคนบ้าใบ้ในสายตาของผู้คนทั่วไปเพื่อเอาชีวิตรอด ช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเสด็จลุงมักส่งคนมาตรวจสอบว่าเขาบ้าใบ้จริงหรือไม่ นานวันเข้าเมื่อไม่พบสิ่งใดก็คลายความสงสัยลง เขาเริ่มทำหลายอย่างได้สะดวกขึ้น
เขาไม่เพียงต้องทำเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องปกป้องตระกูลไป๋ ตระกูลของท่านแม่ด้วย โชคดีที่หลายปีมานี้ลูกหลานตระกูลไป๋ค่อนข้างมีตำแหน่งมั่นคงในราชสำนัก และเพราะเขาเองก็มีสภาพเช่นนี้จะไปปลุกปั่นผู้ใดให้คิดก่อกบฏได้ได้ ย่อมไม่มีทาง และคนตระกุลไป๋ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากติดต่อคบหากับเขา ทุกคนจึงยังใช้ชีวิตได้ยอย่างปลอดภัยตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
เพราะอย่างนี้เขาจึงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ท่านแม่ของเขานั้นตายจากไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียงสองขวบ ท่านพ่อไม่แต่งงานใหม่ตั้งใจเลี้ยงดูเขาอย่างสุดกำลัง สอนเขาทุกอย่าง
มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เสด็จลุงต้องการมากที่สุดคือกองกำลังลับของท่านพ่อ หากได้กองกำลังนี้ก็เท่ากับได้ใต้หล้ามาไว้ในกำมือ
อีกสิ่งหนึ่งที่เสด็จลุงต้องการนั่นก็คือ ต้องการให้ขุนนางทุกจวนสยบแทบเท้า จากการที่เขาส่งสายลับไปจับตาดูในช่วงหลายปีมานี้ เขาพบว่าอีกไม่นานเมืองหลวงอาจจะมีการนองเลือดครั้งใหญ่
หากตามหากองกำลังของท่านพ่อไม่พบ แน่นอนว่าเสด็จลุงต้องพุ่งเป้าหมายไปที่กองทัพตระกูลเสี่ยวเป็นแน่
เสด็จลุงมีนิสัยหวาดระแวงเพียงใดมีหรือเขาจะไม่รู้ แต่ทว่าตราบใดที่ยังหากองกำลังของท่านพ่อไม่พบ ย่อมยากที่จะกระทำการได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังต้องต้านรับกับศัตรูแคว้นอื่น หากรีบกำจัดคนตระกูลเสี่ยวตอนนี้ย่อมเท่ากับเป็นการฆ่าตนเองและเปิดหนทางให้ศัตรูบุกชิงแคว้นได้อย่างราบรื่น
ยิ่งคิดเติ้งหมิงซีก็ยิ่งเจ็บแค้นไม่น้อย พี่น้องสายเลือดเดียวกัน เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกันแต่กับหวาดระแวงคิดฆ่าแกงกันเองเช่นนี้!!
เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อระงับความแค้นภายในจิตใจ ก่อนจะครุ่นคิดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
ระยะหลังมานี้เขามักจะฝันเห็นสตรีนางหนึ่ง นางกำลังตกจากหน้าผาลงไปเบื้องล่าง แววตาของนางโศกเศร้าสิ้นหวัง ใบหน้าอาบน้อมไปด้วยหยาดน้ำตา ในฝันเขายื่นมือไปหมายจะคว้าจับตัวนาง แต่กลับคว้าจับไม่ได้แม้เพียงปลายอาภรณ์
บางคืนก็ฝันเห็นนางวิ่งหนีไปในความมืด ยิ่งเขาวิ่งตามก็ยิ่งวิ่งไม่ทันตัวนาง เขาฝันเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว จนกระทั่งได้พบนางในวันนั้น
สตรีนางนั้นที่เขาพบวันนี้ เขาพบนางสองครั้งแล้ว ครั้งแรกที่วัดไป๋หวาแต่นางไม่เห็นเขา ครั้งที่สองคือที่จวนตระกูลไป๋ ครั้งนี้นางเห็นเขา และดูเหมือนว่านางจะมีท่าทีสงสัยใคร่รู้ในตัวเขาไม่น้อยเลย
ไม่คาดคิดว่านางจะมีตัวตนอยู่จริงๆ!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เติ้งหมิงซีจึงเอ่ยถามพ่อบ้านเหรินทันที
"เจ้ารู้จักสตรีที่มาพร้อมกับเสี่ยวฮูหยินหรือไม่"
"คนใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"สตรีนางนั้นที่จ้องมองข้าอย่างไม่ละสายตา ตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป สตรีที่มีใบหน้างดงามนางนั้น นางปักปิ่นดอกเหมยบนศรีษะด้วย"
พ่อบ้านเหรินทำท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่ง สตรีในงานเลี้ยงงดงามมีไม่น้อยเลย เขาคิดแล้วคิดอีกก่อนจะคิดขึ้นมาได้
"อ้อ จำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สตรีใบหน้างดงามที่ปักปิ่นดอกเหมย สวมชุดสีเขียวอ่อนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
“คล้ายว่านางจะเป็นคุณหนูรองจวนตระกูลเสี่ยวพ่ะย่ะค่ะ เหมือนว่าจะเป็นน้องสาวร่วมมารดากับคุณชายเสี่ยวไป่ฟงด้วย ชื่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวา"
"น้องสาวของอาไป่หรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เติ้งหมิงซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขากับเสี่ยวไป่ฟงเป็นสหายกัน แม้เสี่ยวไป่ฟงจะอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีแต่ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ ตอนที่เขาออกรบก็มีเสี่ยวไป่ฟงร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน แต่หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่ได้พบเจอกันบ่อยเท่าแต่ก่อน เพียงส่งจดหมายพูดคุยกันบ้างเท่านั้น เขามักจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับผู้ใด เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่จับตามอง เขามักจะเก็บตัวอยู่ในจวนเหมือนกับคนป่วยคนหนึ่ง นอกจากมีงานเลี้ยงในวังหรืองานสำคัญจึงจะออกจากจวนสักครั้ง ทำได้เพียงใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆ เพียงเท่านั้น
ตอนที่อายุเพียงสิบสี่ปีเขาเคยไปที่จวนตระกูลเสี่ยวครั้งหนึ่ง เพื่อไปพูดคุยสนทนากับเสี่ยวไป่ฟงตามประสาสหาย เขาเคยพบเจอเสี่ยวฮูหยินอยู่บ้าง และรู้อีกว่าเสี่ยวไป่ฟงมีพี่สาวต่างมารดาหนึ่งคนชื่อว่าเสี่ยวเย่วหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา และน้องสาวร่วมมารดาชื่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวา จำได้รางๆ ว่าเขาเคยเห็นเสี่ยวจิ่วฮวาตอนยังเป็นเด็กแต่ไม่ได้ทำความรู้จักกันมากนัก หลังจากนั้นเขาออกรบก็ไม่เคยพบนางอีกเลย และเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องสตรีเท่าใดนัก
ไม่น่าเชื่อว่าพอเติบโตขึ้นมาจะงดงามถึงเพียงนี้
พ่อบ้านเหรินรินชาให้เจ้านายอีกถ้วย ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
"บ่าวได้ยินคนในตลาดพูดกันว่า คุณหนูรองนางนั้นไม่มีใครอยากคบหากับนางเลยสักคน เพราะชื่อเสียงของนางไม่ดี ไปจวนใดก็มักจะก่อเรื่องก่อราว เอาเปรียบผู้อื่น เหยียดหยามคนที่ต่ำกว่าพ่ะย่ะค่ะ ที่แย่กว่านั้นมีข่าวเล่าลืออีกว่า นางมักจะเอาโทสะไประบายกับบ่างไพร่ในจวน และมักจะด่าทอทุบตีพี่สาวต่างมารดาอยู่เป็นประจำเลยพ่ะย่ะค่ะ"
เติ้งหมิงซีที่ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
"นางนิสัยไม่ดีถึงเพียงนั้น?"
"คนเขาเล่าลือกันเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้านี่รู้เรื่องภายนอกไม่น้อยเลยนะ"
"ย่อมต้องรู้เขารู้เราพ่ะย่ะค่ะ"
พ่อบ้านเหรินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นนาย
"เหตุใดท่านอ๋องจึงเอ่ยถามถึงนางเล่าพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่มีอันใด เพียงอยากรู้เท่านั้น เจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะพักเสียหน่อย ตื่นมายังต้องแสร้งเป็นคนบ้าใบ้ต่ออีก"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อ พ่อบ้านเหรินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะดึงผ้าม่านเตียงนอนลงและออกไปไม่รบกวนเจ้านายของตนพักผ่อนอีก เขาเลี้ยงท่านอ๋องมาตั้งเล็กแต่น้อยย่อมรักราวบุตรของตนเอง ท่านอ๋องเป็นเช่นนี้เขาเองก็เห็นใจไม่น้อย
แต่หากไม่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดทางรอดของตน หนทางยังอีกยาวไกล เขาเชื่อว่าท่านอ๋องจะทนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกไม่นานแน่นอน
เมื่อได้ยินว่าบุตรชายกลับมาถึงวังหลวงแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ดีใจไม่น้อย นางโผเข้ากอดบุตรชาย ก่อนจะจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกคนหามเข้ามาคราหนึ่ง และจึงเอ่ยถามเติ้งจื่อหยวน"นางคือ?""เสด็จแม่ นางคือสตรีของข้า ข้ารักนาง ท่านอย่าให้นางไปที่ใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันไปสบตากับเติ้งหมิงซีคราหนึ่ง เห็นว่าสามีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของคนทั้งสองหลายวันต่อมาอาการของฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีขึ้นมากแล้ว วันต่อมาก็มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่า เสี่ยวฮองเฮาเรียกนางให้เข้าไปพบฮวาชิงเหยี่ยนไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความ นางตรงไปที่ตำหนักคุณหนิงในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเสี่ยวฮองเฮาที่กำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ภายในตำหนัก"ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินก็มองฮวาชิงเหยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ลุกขึ้นเถิด หูเป่าหาที่นั่งให้นาง""เพคะฮองเฮา"ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกประหม่าไม่น้อย นางมาที่นี่เดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อมาอยู่ในวังและยังมีกฎเกณฑ์มากมายจึงยิ่งไม่คุ้นชิน เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมองออก จึงไม่ได้แสดงท่าทีกดดันนางเท่าใดนัก"
เติ้งหมิงซีลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ทราบข่าวก็เริ่มกระวนกระวายเพราะห่วงบุตรชาย โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากทั้งเจียงซวี่และหลี่จิ่ง ทำให้ไม่กี่วันต่อมาก็สามารถสืบพบกบฏเหล่านั้นได้ และจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันทิ้งไปเสีย แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลฮวาเกือบทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยนอกจากฮวาชิงเหยี่ยน เมื่อสอบสวนอย่างละเอ่ียด ก็พบว่าคนพวกนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เคยขึ้นตรงต่อเติ้งเจี๋ยมาก่อน และหวังจะแก้แค้นแทนเจ้านายของตน ส่วนคนตระกูลฮวานั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว และถูกหลอกใช้ให้ส่งข่าวความเป็นไปในเมืองหลวงให้ทราบเพียงเท่านั้น ยามนี้สกุลฮวาตายสิ้น บุตรชายเขาและบุตรสาวนักโทษนางนั้นก็ยังหายไปด้วยกันอีกเมื่อจัดการเรื่องนี้จบแล้ว ก็มีฎีการ้องเรียนไม่หยุดว่าเติ้งจื่อหยวนมีใจคิดไม่ซื่อ มีใจคิดก่อกบฏ เพราะเหตุนี้เติ้งหมิงซีจึงสั่งลงโทษพวกขุนนางเหล่านั้น จนเหล่าขุนนางต่างเงียบปากไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องใดออกมาอีกด้านเติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนนั้น ยามนี้คนทั้งสองหลบมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ด้านนอกเมืองหลวง ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกเจ็บเท้าไม่น้อยเล
เช้าวันต่อมาก็มีคนพบศพของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ ในตัวเขามีจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขากำลังติดต่อกับคนที่เติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนพบเจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ร่วมมือกับกบฏนอกวังหลวงเติ้งจื่อหยวนรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเลย แต่เรื่องนี้จะเก็บเงียบไม่ได้ย่อมต้องกราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อเติ้งหมิงซีรู้จึงสั่งตรวจสอบคนใกล้ชิดกับชายผู้นั้นทันทีไม่เว้นแม้แต่จวนสกุลฮวาสุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่าฮวาหยวนเองก็มีส่วนสมคบคิดกับชายผู้นั้นเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนส่งเรื่องราวและความเป็นไปของในเมืองหลวงให้แก่เหล่ากบฏ เพื่อแลกกับเงินไปใช้จ่ายในโรงพนันเขาคิดว่าอย่างไรย่อมไม่มีคนสาวมาถึงตัวเขา แต่ฮวาชิงเหยี่ยนบุตรสาวตัวดีกลับไปรู้เรื่องเข้า เขาตัดใจฆ่านางไม่ลง จึงสั่งให้นางแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นไปเสีย เมื่อแต่งงานออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่สามารถก่อคลื่นลมใดได้อีกแต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ใจของเขาคิด สุดท้ายตระกูลฮวาทั้งตระกูลกำลังจะถูกสั่งประหารชีวิตโทษฐานกบฏแต่เพราะเติ้งจื่อหยวนไปขอร้องบิดา ทำให
เติ้งจื่อหยวนหันมาสบตากับฮวาชิงเหยี่ยนอีกครา คนทั้งสองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเป็นฮวาชิงเหยี่ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเคยมาหาของป่าที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ท่านกับข้าเราต้องลงเขาไปด้วยกันในเวลานี้ ซึ่งมีเพียงทางเดียวคือกระโดดลงไปในแม่น้ำด้านล่างนั่นถึงจะหนีได้ ท่านกลัวหรือไม่"เติ้งจื่อหยวนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายเถอะ ประโยคนี้ควรเป็นเขาที่ถามนางมากกว่าสิ เหตุใดจึงกลายเป็นนางมาเอ่ยถามเขาเช่นนี้เล่ายามนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาต้องเร่งหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งจื่อหยวนจึงหันมาเอ่ยกับฮวาชิงเหยี่ยนในทันที"ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด เราไปกันเถอะ""อืม"เติ้งจื่อหยวนจับมือของฮวาชิงเหยี่ยนเอาไว้แน่น ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะพากันกระโดดหนีไปนั้น ก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเฉียดที่แขนของฮวาชิงเหยี่ยน จนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันไปมอง ทำให้สบตากับคนที่ยิงธนูใส่นางได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่เห็นอีกคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง เติ้งจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เขาใช้มีดสั้นที่มักพกติดกายมาด้วยเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บ และสั่งให้อง
ฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็ตั้งรับไม่ทัน นางพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของเฉินเย่ แต่ทว่าเฉินเย่เหมือนจะระวังตัวและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี จึงไม่เหลือทางให้นางได้จัดการเขาเลย "ดิ้นรนไปเถิด เจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าหรอก ข้าชอบเจ้ามากนะชิงชิง เป็นของข้าเถอะ" พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้ามาคิดจะจูบที่หน้าผากของนาง แต่ทว่าเฉินเย่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกใครบางคนลากไปจัดการเสียก่อน แสงเทียนที่สลัวรางทำให้มองเห็นทุกอย่างได้บ้าง ฮวาชิงเหยี่ยนมองเห็นว่าเติ้งจื่อหยวนกำลังจัดการเฉินเย่อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฝีมือของเขาดีมาก เฉินเย่ไม่ทันได้เอ่ยปากร้องขอความเมตตาก็โดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว เมื่อซ้อมคนเสร็จเติ้งจื่อหยวนก็สั่งให้คนของเขาลากเฉินเย่ไปโยนเอาไว้ที่ตลาดในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ต้องสั่งสอนให้รู้จักความอัปยศและความอับอายเสียบ้างเมื่อจัดการคนเรียบร้อย เติ้งจื่อหยวนก็หันมาเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนในทันที "เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่"ฮวาชิงเหยี่ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าสาม ท่านมาได้อย่างไรกัน"เติ้งจื่อหยวนจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางหันมามองเติ้งจื่อหยวนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้นางด่าเขาในใจเอาไว้มากมาย ยามนี้เมื่อได้เขาช่วยเหลือจนได้เงินคืนมาก็รู้สึกผิดในใจ"ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็ว่ามา"เติ้งจื่อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "เลี้ยงบะหมี่ข้าก่อน แล้วข้าจะบอก"ฮวาชิงเหยี่ยนคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงพาเขาไปกินบะหมี่ที่ร้านลุงหลี่ตามเดิม หลี่จิ่งมองดูคนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่งเห็นทีอาจิ่วคงกำลังจะมีลูกสะใภ้คนที่สามเสียแล้ว!!เมื่อกินอิ่มแล้ว เติ้งจื่อหยวนจึงเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนทันที"เจ้าชื่ออันใด""ฮวาชิงเหยี่ยน เรียกชิงชิงก็ได้ ท่านเล่า""เรียกข้าว่า เจ้าสามก็ได้"ฮวาชิงเหยี่ยนพยักหน้าคราหนึ่ง ชื่อแปลกพิลึกดีเติ้งจื่อหยวนจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ย"ภาพเหล่านั้นเจ้าวาดได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกับยุคสมัยนี้เลย ข้าชอบมาก มันคือที่ใดกัน"ฮวาชิงเหยี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี นางคิดใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมา"ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เหลือเ