หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด
แววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”
หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง
“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นาง
หลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดี
ได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักหลอมโอสถที่ถึงขนาดฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ ไหนเลยจะเคยโดนสบประมาท
แต่นางเด็กน่าตายผู้นี้ เห็นเขาดีด้วยหน่อยถึงกับไม่เคารพนับถือกันเชียวหรือ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร” หลี่หลิงเฟิ่งรีบอธิบายก่อนที่ท่านหมอหนึ่งเดียวในละแวกนี้จะเข้าใจผิดไปไกล พาลไม่รักษาพี่ชายของนาง จะทำอย่างไร
ชายชรามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับไม่อยากเชื่อ มีคนบนโลกนี้ไม่รู้จักของสิ่งนี้จริงหรือ หรี่ตาสังเกตพักใหญ่ เห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของนาง ความโกรธขึ้งก่อนหน้าจึงมอดดับ ถอนหายใจเฮือกอย่างปลงอนิจจัง
“เจ้าได้มันมาจากที่ไหนกันแน่ถึงไม่รู้จัก คนขายไม่ได้บอกเจ้ารึไง” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย จะให้นางบอกได้อย่างไรว่าไปขโมยจากสัตว์อสูรตนหนึ่งมา
“คนขาย?”
หูซานไม่สนใจจะตอบคำถาม เอ่ยปากต่อ “มีของล้ำค่าอยู่เช่นนี้ เจ้าของกลับเห็นเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ราคาเสียได้ รู้ไว้เถอะว่าแค่ก้อนๆ เดียวก็เกือบซื้อเมืองทั้งเมืองได้แล้ว แต่เจ้ากลับเห็นเป็นขยะ! รู้หรือไม่สิ่งนี้ได้มาจากอะไร แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ครอบครองมันสักก้อนเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดังขึ้นเรื่อยๆ หางตาปริ่มน้ำด้วยความตื่นเต้น กวัดแกว่งหินสีเขียวไปมาเบื้องหน้านาง
“ล้ำค่า หายาก มีเพียงหนึ่ง เจ้าว่ามันจะเป็นอะไรได้เล่า” ชายชราลุ้นระทึกขณะจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่ง พลันหมดสนุก เมื่อปะทะเข้ากับหน้าตาเอือมระอาสุดขีดของสตรีผู้นี้ สายตาของนางคล้ายกับกำลังบอกเขาว่า ท่านรีบพูดเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอกนะ
หูซานส่งเสียงฮึ่มในลำคออยู่หลายที “มันคือไขแร่! ไขแร่น่ะรู้จักมั้ย! ไม่เพียงแค่เป็นไขแร่เท่านั้น แต่ยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย ไขแร่ในวังสระหยกสกุลกวนยังมิอาจเทียบเท่ากับในมือของข้าเลย”
“ไขแร่หรือ” คราวนี้ถึงคราวหลี่หลิงเฟิ่งตกอกตกใจบ้างแล้ว หยิบก้อนหินที่เปร่งประกายวาววับขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขณะพินิจดูคิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสนอกสนใจ
หลี่หลิงเฟิ่งเคยอ่านตำราขั้นพื้นฐานที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์พึงรู้ของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้ เข้าใจว่า การจะได้ไขแร่มานั้น เกิดจากการผสมหินแร่กับน้ำแร่ จากนั้นตกตะกอนมาเป็นไขแร่
แต่เจ้าก้อนหินพวกนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่รอการเจียระไนซะมากกว่า หลุดกรอบความคิดนางไปมากโข หาได้เอะใจเลยสักนิด
นางรู้คุณสมบัติของไขแร่มาบ้าง หากแต่ไม่คิดว่ามันจะอยู่ติดกายนางมาตลอด ไม่แปลกใจเลย เหตุใดท่านหมอหูถึงขุ่นเคืองมากมายเช่นนี้ เป็นของหายากขนานแท้ นางกลับไม่รู้จักมัน แต่นางผิดอันใด ในเมื่อไม่เคยเห็น ย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
แน่ล่ะ ถ้าใครได้เห็นก็ต้องมีสติแตกกันอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเกิดการแย่งชิงขึ้นมาได้
“เท่าที่ข้ารู้คือ ไขแร่สีเขียวหนึ่งก้อนทดแทนหินแร่สีเขียวได้แค่สองก้อนเท่านั้น แต่พี่ใหญ่ต้องการทั้งหมดสิบก้อน จะเพียงพอได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งควบคุมอารมณ์ให้สงบลง นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับเรื่องทุกเรื่องนางสามารถจัดการได้อย่างสงบ มีสติ แต่พอเป็นเรื่องของหลี่เฟยหยาง สมองของนางมักจะมีปัญหาเสมอ
นับตั้งแต่คราแรกที่เจอกัน จิตสัมผัสของนางทำงานบกพร่อง ความรู้สึกนำพาไปก่อนความคิด รู้สึกไม่สงบนิ่งตลอดเวลา
หูซานหัวเราะร่า กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไขแร่บริสุทธิ์จะเหมือนกับไขแร่ทั่วไปได้อย่างไร”
มองใบหน้าที่ไม่ยอมผ่อนคลายของหญิงสาวที่เขานึกเอ็นดูอยู่หลายปี จึงเอ่ยปลอบออกมาคำหนึ่ง “วางใจเถอะ พี่ชายของเจ้ายังไม่ถึงคราวตายหรอก”
หูซานหยิบเตาหลอมโอสถและสมุนไพรอีกสองสามอย่างออกมาจากกำไล จากนั้นเริ่มทำการหลอมยาทันที หลี่หลิงเฟิ่งจ้องกำไลสีเงินเกลี้ยงเกลาเขม็ง กำไลอีกแล้วหรือ หรือสิ่งนี้จะเก็บสิ่งของได้เหมือนกับมิติของนาง
ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง แอบส่ายหัวอยู่ในใจ ไม่น่าใช่ อาจเก็บสิ่งของได้ แต่ไม่มีทางมีคุณสมบัติอย่างมิติมายาแน่ เมื่อคิดได้ดังนี้ ประกายตาของนางก็สั่นระริกระคนยินดี
ถ้าข้ามีกำไลเก็บสิ่งของได้ จะอำพรางมิติของข้าก็ง่ายขึ้นน่ะสิ เอาล่ะ ตอนนี้นางไม่อาจแน่ใจว่าตนเองคิดถูกต้องหรือไม่ คงต้องรอถามจากท่านหมอหูอย่างเดียว
ระหว่างที่หลี่หลิงเฟิ่งจมดิ่งอยู่ในโลกส่วนตัว หูซานได้สกัดส่วนผสมทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โยนส่วนผสมทั้งหมดเข้าไปในเตาหลอมโอสถ จากนั้นเริ่มควบคุมกำลังไฟให้เหมาะสม
แววตาของหญิงสาวเผยแววชื่นชมออกมาจากใจจริง คิดไม่ผิดที่นางเลือกคบค้าสมาคมด้วย หมอท่านนี้เป็นคนดียิ่ง หากเป็นคนอื่น แค่ฝีมือนับว่าพอใช้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลอมยาเลย ต่อให้ไปเชิญคงไม่ยอมเปิดแม้แต่ประตูต้อนรับ หรือต่อให้เชิญมาได้ ได้เห็นไขแร่มูลค่าควรเมืองหลายชิ้น ต้องละโมบอยากได้อยู่แล้ว จะมีสักกี่คนอดใจไหวและยอมละทิ้งความโลภอย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น หูซานยังหลอมโอสถต่อหน้านางโดยไม่เก็บงำวิชาเอาไว้แม้เพียงนิด ไม่ทราบว่ามั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองหรือดูถูกว่านางโง่เง่าดูไม่เข้าใจกันแน่
ไม่ว่าเหตุผลไหน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือ น้ำใจ
“มีปัญหา มีปัญหาแล้ว” ผ่านไปเพียงสองเค่อ ชายชราโพล่งออกมาเสียงดัง จนหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลอยสะดุ้งไปด้วย เร่งร้อนเดินมาหาหูซาน
“ปัญหาใด” น้ำเสียงวิตกกังวลปนร้อนใจออกจากปากเรียว
หูซานยิ้มกว้าง กลิ่นหอมกำจายอ่อนๆ ของยาลูกกลอนลอยออกมาจากเตา ในนั้นมียาลูกกลอนสีเข้มขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันอยู่สองเม็ด “ไม่ใช่ปัญหาของยาที่ข้าหลอมแต่อย่างใด แต่ประสิทธิภาพไขแร่ที่เจ้าหามาดีมากเกินไปต่างหาก ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บให้หายเร็วขึ้น ยังช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ได้อีกด้วย ตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยหลอมยาบริสุทธิ์ขนาดนี้ ระดับของข้าไม่นับว่าสูง หลอมออกมาเต็มเจ็ดส่วนในสิบส่วนนับว่าเกินความคาดหมายแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสเห็นไขแร่พิสุทธิ์จนแลโปร่งใสเช่นนี้ อารมณ์ของหูซานเกินกว่าจะใช้คำว่าดีมาบรรยายได้ “ติดอยู่อย่างเดียว ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าจะรับไหวหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ไหวเล่า” ฟังมาถึงตรงนี้ หลี่หลิงเฟิ่งร่วมอารมณ์ดีด้วยไม่ลงแล้ว
“ก็ตาย” ชายชราตอบกลับรวดเร็ว ราวกับผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ผิดเพี้ยน
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก อยากจะกระชากตัวเฒ่าทารกผู้นี้ลงพื้นสักร้อยตลบ “ช่วยไม่ได้ แล้วยังมาอวดอ้างว่าตนเองฝีมือดีอีกหรือ”
“เพ้ย! นังหนู ข้าผู้นี้บอกว่ารักษาหายก็คือหาย” หูซานหน้าตึง แทบจะกระอักเลือด ถ้ามีเครา ป่านนี้คงชี้ชันไปแล้ว “จะไปยากอะไร ก็แค่ลดปริมาณยาลงให้พี่เจ้าก็พอแล้ว ไม่เกินสามวันเจ้าหนุ่มนั่นก็ฟื้นขึ้นมาดุด่าเจ้าได้แล้ว ส่วนลูกกลอนนี่ก็เก็บไว้กินทีหลัง ชื่อเสียงของข้าไม่ใช่แค่กล่าวอ้างลอยๆ ตอนเฒ่าผู้นี้เป็นที่เลื่องชื่อกระบือไกล เด็กปากเสียอย่างเจ้ายังเป็นก้อนเลือดอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ”
หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียง ฮึ่ม กลับไป “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ”
“ช้าก่อน เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย” หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังกลับมา นึกฉงน “คำตอบอันใด”
“พี่ชายเจ้าจะยอมกินยาลูกกลอนสองอันนี้พร้อมกันหรือไม่” สายตาคาดหวังเต็มเปี่ยมแสดงเจตจำนงที่แท้จริงออกมาโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวส่งสายตาดูแคลนให้อย่างเปิดเผย
“ท่านหมอหู เห็นแก่ที่พวกเราคบค้ากันมานาน เรื่องในครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ หากท่านต้องการคนทดลอง ก็ใช้ตัวท่านเองเถิด” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามอีกครั้ง หลังจากที่หายลับไปตลอดทั้งวัน “ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ความเสี่ยงแม้น้อยนิด ข้าก็จะไม่มีวันให้เกิดขึ้น ท่านจงลืมมันไปเสีย”
แม้หูซานจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะหุบปากตัวเองสนิท ไม่รบเร้าต่อ อย่าได้ไปแตะขีดความอดทนของสาวน้อยตาใสจิตใจโหดเหี้ยมผู้นี้จะดีกว่า
เขาไม่กลัวมีเรื่องกับตระกูลหลี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หวาดหวั่นต่อพิษสงของหญิงสาวตรงหน้า
หูซานเดินไปป้อนยาให้หลี่เฟยหยางด้วยตนเอง หยุดมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ซีดขาวราวกับศพ พลางเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังพินิจเตาหลอมโอสถของเขาเป็นระยะ
ชายชราลูบคางอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกถูกใจและเอ็นดูสาวน้อยนางนี้ตั้งแต่แรกเห็น จากการคบหาจริงจังก็ราวสองปี นิสัยใจคอไม่นับว่าแย่ ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถ เขาไม่อาจเชื่อว่านางแค่อ่านตำราก็สามารถปรุงยาขั้นพื้นฐานและถึงกับปรุงพิษออกมาได้อีกด้วย
หากเป็นเขายังต้องร่ำเรียนอยู่เป็นปีกว่าจึงจำสมุนไพรหลากหลายชนิดได้ ฝึกฝนอยู่หลายปีถึงช่ำชองปรุงยาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพสูงสุดสำเร็จ แต่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะสอนสั่ง หูซานถูกขนานนามว่าเป็นอัจริยะ พรสวรรค์เป็นเลิศผู้หนึ่งในดินแดนหลิวเฟิง
ทว่า หลังจากพบหลี่หลิงเฟิ่ง เขากลับไม่กล้าภูมิใจกับเกียรติยศที่สั่งสมมาหลายปีของตัวเองได้เลย นางเป็นยอดอัจริยะในหมู่อัจริยะด้วยกัน!
หูซานกระแอมเบาๆ “อยากได้รึ” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากพูดแต่สายตาไม่ได้รั้งไปจากเตาหลอมสักนิด “ข้าแสดงออกชัดเจนเพียงนั้นเชียว”
ชายชรากลอกตา “เจ้าจ้องมันปานจะกลืนกินลงท้องขนาดนั้น ผู้ใดมองไม่ออกก็โง่เต็มทีแล้ว” เมื่อรู้ว่าตนเองเอ่ยเหน็บแนมหญิงสาว ปากที่กำลังจะอ้าออกพลันชะงักค้าง ก่อนที่น้ำเสียงจีบปากจีบคอจะดังขึ้น ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งขนลุกซู่ ขยาดกลัว “หากเจ้าอยากเข้าสำนักแพทย์โอสถตอนนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องยาก ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมต้องรู้จักการหลอมยาขั้นต้นก่อน อีกอย่าง การเปิดรับสมัครปิดไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว หากเจ้าอยากสมัครก็ต้องรออีกทีต้นปีหน้า”
“แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ตำแหน่งของเจ้ายังจะสูงกว่าพวกนักเรียนเข้าใหม่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ” หูซานยังพูดโน้มน้าวสตรีชุดแดงไม่หยุด “ไม่ง่ายเลยที่อัจริยะอย่างข้าจะรับศิษย์ เจ้าจงภูมิใจที่ได้เป็นผู้ถูกเลือกเถิด”
ความเงียบภายในห้องยังคงดำเนินต่อไป ชายชรายิ้มกริ่ม นังหนูนั่นอึ้งอยู่สินะ เนื้อเต้นตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกสินะ หึๆ
หูซานเดินไปทั่วห้อง ยืดอกกล่าวต่อพร้อมกับหันไปทิศทางที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่ “พึงรู้ไว้ เจ้าโชคดีแค่ไหน ที่ข้าลด...” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นเพียงเงาหลังไวๆ เดินผ่านหน้าไปนั่งแหมะอยู่ข้างเตียงคนป่วย
นางไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยสักนิด นางเด็กนิสัยเสียผู้นี้!
“ยาลูกกลอนของท่าน เมื่อกินไปแล้ว มีผลข้างเคียงอันใดหรือไม่” มือเรียวจับชีพจรที่เต้นชัดขึ้นกว่าตอนแรก สีหน้าอ่อนล้ามาทั้งคืนผ่อนคลายลงในที่สุด จากนั้นกระชับผ้าห่มผืนหนาให้แน่นขึ้น
“ห้ะ...ไม่มี” เมื่อเจอประโยคนี้สวนกลับ สมองของเขาถึงกับว่างเปล่า “นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเลยรึ” หูซานโกรธจนควันออกหู เขาพูดไปเยอะแยะ แต่นังหนูนี่กลับทำหูทวนลม
“พูดอะไร” หญิงสาวเงยหน้ามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ที่ท่านเสนอขายตัวเองน่ะรึ”
“เด็กเวร! ข้าหวังดีกับเจ้าจึงรับเป็นศิษย์ มีใจอยากสอนสั่ง เจ้าไม่ซึ้งใจไม่เป็นไร แต่กลับเนรคุณกล่าวหาข้าเยี่ยงนี้รึ เจ้าทำกับผู้มีพระคุณอย่างนี้ได้อย่างไร” หูซานชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งจนนิ้วสั่นเทา หน้าดำหน้าแดงโมโหจนตัวสั่น
“บุญคุณมีไว้ตอบแทน ข้ากระจ่างแจ้งดี อีกอย่าง ข้าพูดอันใดผิด อัจริยะรึ ไหนท่านลองบอกสักหน่อยเถิด คำว่าอัจริยะของท่านสะกดอย่างไร” ตลกน่า ให้นางกราบหูซานเป็นอาจารย์ ในใจของนางเห็นปฐมาจารย์เทพโอสถ ผู้มอบคัมภีร์โอสถสวรรค์เป็นอาจารย์ของนางอย่างแท้จริง นางมีอาจารย์อยู่แล้วแท้ๆ แถมยังเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน จะให้นางกราบคนอื่นเป็นอาจารย์อีกได้อย่างไร นี่เป็นการลบหลู่ปฐมาจารย์เทพโอสถชัดๆ
หูซานอ้ำอึ้งอยู่นาน ก็ยังพูดออกมาไม่ได้สักคำ สุดท้ายยกมือพ่ายแพ้ ก้มหน้าปลงตก ยอมรับชะตากรรมอันโหดร้าย สำหรับหญิงสาวตรงหน้าแล้วยังไปได้ไกลกว่าเขาหลายร้อยเท่า แค่ความสามารถดมกลิ่น จำแนกสรรพคุณสมุนไพรภายในไม่กี่วัน ปรุงยา ปรุงพิษคุณภาพกลางได้ด้วยตนเอง นางยังต้องการอาจารย์ไปเพื่อสิ่งใด
“เป็นศิษย์ท่าน ข้าไม่สนใจ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้โกรธขึ้งหูซานจริงจัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงกึ่งโมโหกึ่งปลอบประโลม “แต่เราเป็นสหายแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
อย่างไรก็ตาม ท่านหมอหูก็เป็นคนช่วยชีวิตหลี่เฟยหยาง ถือว่ามีบุญคุณต่อนางเช่นกัน นางจะจัดเขาให้เป็นหนึ่งในสหายก็ไม่มีอะไรเสียหาย
แต่ใครจะคาดคิดว่าตาเฒ่าชราจะดื้อรั้นเป็นเด็กๆ เมื่ออีกทางถูกนางปิดตาย เจ้าตัวกลับเริ่มแผ้วถางทางใหม่เดินให้ได้เสียนี่ เมื่อได้ฟังจนจบ หลี่หลิงเฟิ่งแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ ความคิดนี้ไม่เลว” ใบหน้าห่อเหี่ยวกลับมาตื่นเต้นจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน “งั้นเจ้าก็เป็นศิษย์น้องของข้าแล้วสิ”