LOGINไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอด
สมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้
แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้
จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่
จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้น
คนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิม
ถึงกระนั้นนางก็ยังอบอุ่นใจอยู่นิดหน่อย รู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่มอบโอกาสอันล้ำค่านี้มาให้ ทัศนคติของหลี่หลิงเฟิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยคิดจะปกปิดความสามารถที่แท้จริง แล้วโดนผู้อื่นรังแกอย่างง่ายดาย ไม่สู้เปิดเผยมันออกมา กดข่มศัตรูทุกคนยังดีเสียกว่า
หลี่เฟยหยาง ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปเด็ดขาด นางไม่อยากรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เรือนชั้นใน อู๋เหยียนที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บยืนอยู่ข้างเตียงเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “คุณหนู ท่านพักผ่อนหน่อยเถิดขอรับ”
หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง สองมือยังคงโอบกอดหลี่เฟยหยางไม่ขยับเขยื้อน “เสี่ยวเฉิน เป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดแผลภายนอกไม่ได้สาหัสอะไร หากแต่ภายในบอบช้ำอย่างมาก ยาลูกกลอนสะกดสำนึกยื้อชีวิตได้อีกไม่นาน หากไม่ได้รับการรักษาในหนึ่งชั่วยาม เกรงว่าคงไม่รอดขอรับ” อู่เหยียนสูดหายใจลึก นึกถึงสภาพตอนที่ฟื้นขึ้นมา บนพื้นเกลื่อนไปด้วยศพของลูกน้อง โชคดีที่พลังยุทธ์ของเขาถือว่าแข็งแกร่งที่สุด จึงรอดมาได้ แต่กระนั้นก็ยังบาดเจ็บมากอยู่ดี เขารีบควานหาลูกกลอนสะกดสำนึกระงับอาการบาดเจ็บชั่วคราว จากนั้นโคจรลมปราณให้คงที่ ร่างกายฝืนทนได้อย่างมากก็หนึ่งวัน อย่างไรก็ดี ลูกกลอนสะกดสำนึกที่เขามี เป็นแค่คุณภาพชั้นต่ำ
เมื่อเขากวาดตามองไปทั่วก็พบกับร่างสองร่างอยู่บนพื้น เขาเห็นคุณหนูหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากมิติของนาง ป้อนให้ชายในอ้อมกอดไม่หยุด เนิ่นนานก็ไม่เกิดผลอันใด แต่คุณหนูก็ยังคงทำมันไม่ยอมหยุด ในที่สุดร่างซีดขาวของนายท่านก็ซับสีเลือดขึ้นมาจางๆ หายใจเข้าออกรวยรินบ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่
อู๋เหยียนพลันรู้สึกว่า สิ่งที่นายท่านทุ่มเทให้คุณหนูก็ไม่สูญเปล่าซะทีเดียว
นอกจากนายท่านแล้วยังมีเสี่ยวเฉินที่รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เจ้าเสี่ยวเฉินผู้นี้จะบอกว่าโชคร้ายก็ว่าได้ เข้ามาอยู่ในเหตุการณ์อันตรายเช่นนี้ ยืนอยู่ปลายขอบขุมพลัง และเป็นผู้ไร้พลังยุทธ์เพียงหนึ่งเดียว ต่อให้โดนน้อยนิดก็ยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ ยังดีที่เขาช่วยไว้ทัน
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่งเงียบ ใบหน้านางสงบนิ่งจนไม่อาจอ่านความรู้สึกได้ “เสี่ยวเซียง ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
อู๋เหยียนมองเจ้านายนอนสลบไสล ก็ร้อนใจจนหน้าตาแดงก่ำ “ให้ข้าไปตามเถิด ขืนรอต่อไป นายท่านคงแย่แน่”
“ต่อให้เจ้าสิบคนไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านหมอหูไม่ใช่ผู้ที่จะยอมออกมาพบใครง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ด้วยซ้ำ มีแค่คนของข้าที่เขาจะยอมพบ” เมื่อสัมผัสว่าร่างในอ้อมกอดเย็บเฉียบลง หลี่หลิงเฟิ่งรีบถ่ายทอดพลังออกไปไม่ขาดสาย เหงื่อกาฬท่วมใบหน้า ใบหน้าของนางขาวซีดทว่ากลับไม่ยอมหยุดมือ นางกัดฟันทนจนเลือดไหลรินออกจากริมฝีปากช้าๆ
ถ้าความเจ็บปวดนี้จะทำให้นางรู้สึกผิดน้องลง ก็คงดี หากแต่นางรู้ว่าความจริงไม่มีทางทดแทนกันได้
“คุณหนู ให้ข้าทำแทนเถอะ” อู๋เหยียนมองหญิงสาวบนเตียงที่หน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้อง” หลี่หลิงเฟิ่งไม่แม้แต่จะเหลือบมองอู๋เหยียนด้วยซ้ำ นางกัดริมฝีปากล่างของตนเอง ระงับความเจ็บปวด นางใช้พลังยุทธ์เยียวยาเกินขีดจำกัด กระนั้นก็ไม่สามารถยับยั้งอุณหภูมิในร่างกายที่เย็นลงเรื่อยๆ ของหลี่เฟยหยางไม่ได้ ร่างในอ้อมกอดค่อยๆ แข็งทื่อ นางแทบสัมผัสลมหายใจของเขาไม่ได้แล้ว
‘เจ็บ’ ราวกับกระดูกของนางถูกบดละเอียด หลี่หลิงเฟิ่งได้แต่บอกตัวเองในใจ ‘ต้องทน ท่านจะตายไม่ได้’
นางก้มลงมองใบหน้าขาวซีดราวกระดาษที่บัดนี้มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ทั่วใบหน้า หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น นางขยับริมฝีปากพึมพำเบาๆ เลือดหยดหนึ่งจากปากแผลบนริมฝีปากหยดลงกระทบมุมปากหลี่เฟยหยาง ค่อยๆแซกซึมเข้าไป
ทันใดนั้นหน้าอกส่วนลึกของนางพลันกระตุกอย่างแรง จนต้องยกมือขึ้นกุมเอาไว้
ความรู้สึกหนักหน่วงเพียงนี้ หลี่หลิงเฟิ่งเจ็บหน้าอกจนชา หญิงสาวไม่เข้าใจ หรือนี่จะเป็นความรู้สึกก่อนพลังยุทธ์จะแตกซ่าน
“ไม่ได้การ นายท่านแย่แล้ว” อู๋เหยียนหน้าซีดทั้งเจ็บใจทั้งจนใจ ทำอะไรไม่ถูกครู่ใหญ่ ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ
ยังมีอะไรแย่กว่านี้อีกหรือ
“อ๊ะ” ขณะที่นางจะเอ่ยปากถามอู๋เหยียนอยู่นั้นก็รู้สึกร่างบนตักแข็งเกร็งขึ้น คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าหล่อเหลาละลายกลายเป็นน้ำ เปียกชื้นเลอะทั่วหน้า ซึมเข้าไรผมจนหมด
ความเจ็บปวดบนหน้าอกของหลี่หลิงเฟิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวถูกมือนับหมื่นบีบไว้แน่น ฝืนทนความเจ็บปวดเปล่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก “เกิดอะไรขึ้น”
“ท่านไหวหรือไม่” อู๋เหยียนได้สติ มองทั้งสองอย่างสับสน เรื่องมันชักจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ดูเหมือนอาการของนายท่านจะกลับมาเป็นปกติ แต่เหตุใดคุณหนูห้าถึงทำหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานปานนั้น
สักพักใหญ่อาการเจ็บหน้าอกของนางเริ่มดีขึ้น พร้อมกับหลี่เฟยหยางที่นอนหายใจรวยรินดังเดิม อุณหภูมิในร่างกายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งถอนใจโล่งอก
ใบหน้างามหันไปหาอู๋เหยียน “นายของเจ้าถูกพิษหรือ”
“เอ่อ...” อู๋เหยียนอึกอัก มองหลี่เฟยหยางที่นอนสงบนิ่งบนตักนาง
“เขาหลับอยู่ เจ้าจะมองทำไม” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ว่าอย่างไร ใช่หรือไม่ใช่”
อู๋เหยียนอยากจะร้องไห้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน เขาจะพูดอะไรออกไปได้ แต่เมื่อเจอสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากหลี่หลิงเฟิ่ง ขนทั้งตัวตั้งชันขึ้นมาทันที
อู๋เหยียนลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้...” ชำเลืองมองหลี่เฟยหยางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนตัดสินใจเอ่ย “นายท่านเคยถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเมื่อครั้งยังเยาว์ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงบรรลุขั้นพลังยุทธ์ อาการเช่นเมื่อครู่ก็จะกำเริบขึ้นมา” นายท่าน ข้าขอโทษ ตัวข้านี้ยังอยากอยู่อย่างสบาย ขนาดท่านยังต้องเอาอกเอาใจนางทุกอย่างเลย
“หมายความว่าเจ้าไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ต้องพิษหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งจับชีพจรบนข้อมือหลี่เฟยหยาง หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น ชีพจรเต้นแปลกประหลาดสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เป็นครั้งแรกที่นางไม่อาจระบุได้เลย แต่ชายผู้นี้ถูกพิษไม่ผิดแน่ เมื่อได้รับเลือดของนาง อาการเหล่านั้นจึงทุเลาลง เลือดนางเป็นพิษก็จริง แต่พิษบางชนิดสามารถรักษาโดยการใช้พิษต้านพิษได้
“ขอรับ” อู๋เหยียนตรึกตรองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “อันที่จริง ทุกครั้งที่อาการกำเริบนายจะต้องกินลูกกลอนกลืนวิญญาณระงับความเจ็บปวด จากนั้นเก็บตัวจนกว่าจะเลื่อนขั้นสำเร็จจึงจะหาย ส่วนเรื่องถูกวางยาพิษ นายท่านไม่เคยพูดถึงมาก่อน”
แปลก
“แล้วเหตุใดจึงมากำเริบเอาตอนนี้” หรือพลังยุทธ์ของเขากำลังจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ใกล้ตายขนาดนี้ จะเอาแรงที่ไหนมาเลื่อนขั้น เป็นไปไม่ได้!
“เรื่องนี้...เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นขอรับ” ไม่เพียงแค่กำเริบเท่านั้น ยังหมายถึงหายเองได้อีกด้วย
“ลูกกลอนกลืนวิญญาณที่เจ้าว่ามานั้นอยู่ที่ไหน ยังไม่รีบเอาออกมาอีก จะรอเขากำเริบอีกรอบหรือไง” หลี่หลิงเฟิ่งนวดคิ้ว นางเหนื่อยล้าเต็มที
“ลูกกลอนกลืนวิญญาณหายสาบสูญไปนานแล้วขอรับ นายท่านมีติดตัวเพียงแค่สามเม็ดที่ได้มาจากฮูหยินสามเท่านั้น เม็ดสุดท้าย นายท่านใช้มันเมื่อสามปีที่แล้วหลังจากคุณหนูออกจากจวนไป” หญิงสาวทำหน้างุนงง ได้มาจากท่านแม่รึ แต่พื้นเพของท่านแม่มาจากหอคณิกา น่าแปลกที่นางมียาล้ำค่าเช่นนั้นอยู่ในมือ สงสัยยังมีอีกหลายเรื่องที่นางยังไม่รู้
“ท่านแม่ของข้าก็เป็นนักหลอมโอสถอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าแอบได้ยินมาว่าที่ฮูหยินสามแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองได้ เพราะมีลูกกลอนกลืนวิญญาณเป็นการแลกเปลี่ยน” จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ความแปลกใจฉายชัดในสายตานาง หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ เรื่องนี้คงต้องรอเพียงคำอธิบายจากบุรุษที่นอนสลบไสลเสียแล้ว “นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว ยังมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่”
อู๋เหยียนนิ่งอึ้ง สีหน้าลำบากใจ “พลังยุทธ์ของนายท่านจะหายไปขอรับ...แล้ว...” ปากองครักษ์หนุ่มขยับขึ้นลงหลายครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วเชิงถาม “ไม่มีแล้วขอรับ” กล่าวจบ สีหน้าแปลกพิลึกเบนออกด้านข้างทันที
“อ้อ” หญิงสาวยักไหล่ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “พี่ใหญ่กลายเป็นคนไร้ความสามารถนี่เอง” มุมปากอู๋เหยียนกระตุก สตรีนางนี้ปากคอเราะรายยิ่งนัก
หลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินอู๋เหยียนทั่วร่าง ชะงักงันครู่หนึ่ง “ยาลูกกลอนสะกดสำนึกที่กินเข้าไปเป็นของปลอมรึเปล่า เหตุใดบาดแผลภายนอกของเจ้าถึงยังไม่สมานสักที” สิ้นเสียงของนาง อีกฝ่ายหันขวับกลับมาตีสีหน้าบึงตึงใส่ทันที
เหมือนหลี่หลิงเฟิ่งจะคิดอะไรออก “จริงสิ” หญิงสาวหยิบขวดแก้วสองใบออกมาจากมิติส่งให้อู๋เหยียน “เจ้าลองดื่มดู ผลลัพธ์น่าจะดีกว่าลูกกลอนของเจ้าหน่อยนึง”
อู๋เหยียนกลั้นหายใจ มืออันสั่นเทาค่อยๆ เปิดจุกออก กลิ่นหอมบริสุทธิ์กำจายไปทั่วห้อง
กลิ่นนี้มัน...
อีกฝ่ายมองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังยิ้มให้เขา มือถือขวดแก้วนิ่งค้าง ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสกลิ่นของน้ำแร่พิสุทธิ์ที่สุด ไม่สิ...
“นี่...น้ำทิพย์! คุณหนู นี่...” ริมฝีปากสั่นระริก น้ำเสียงตื่นเต้นตะกุกตะกัก
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้ายืนยันคำตอบให้แก่อู๋เหยียนอีกแรง
“รีบดื่มสิ” หลี่หลิงเฟิ่งเร่งเร้าอู๋เหยียน นางกังวลว่าถ้าเอาออกมาจากมิติแล้วเปิดทิ้งไว้นานๆ คุณภาพที่ได้อาจลดลง
“คุณหนู ของล้ำค่าเช่นนี้ ไหนเลยสถานะอันต่ำต้อยอย่างข้าจะคู่ควร” แววตาตื้นตันปริ่มจะร้องจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งเนิ่นนาน
หญิงสาวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เหอะๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้ายังมีอีกเยอะ” ขืนอู๋เหยียนรู้ว่านางดื่มมันต่างน้ำ คงได้กระอักเลือดตายก่อนเป็นแน่
ใบหน้าอู๋เหยียนเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้นและตื้นตัน ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆ กระดกรวดเดียวโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นจิตใจสั่นไหวพลันสงบนิ่ง ร่างกายทุกสัดส่วนรู้สึกผ่อนคลาย บาดแผลที่ยังเจ็บปวดทุเลาลงไปมาก สภาพร่างกายดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อย แววตาที่มองหลี่หลิงเฟิ่งเผยความเทิดทูนอยู่สองส่วน
คุณสมบัตินิดหน่อยอันใดกัน ลูกกลอนสะกดสำนึกของเขากลายเป็นขยะเลยด้วยซ้ำ! ของล้ำค่าขนาดนี้ นางกลับหยิบยื่นให้เขาอย่างใจกว้าง
“ท่านรู้หรือไม่ ท่านครอบครองสมบัติอันล้ำค่าที่ผู้คนทั่วหล้าต้องการอย่างยิ่ง อาณาจักรของเราอย่างมากก็แค่มีน้ำแร่เท่านั้น ไม่เคยปรากฏร่องรอยของน้ำทิพย์มาก่อน น้ำไม่กี่หยดในขวดนี้อย่างต่ำก็เท่ากับราคาห้าล้านตำลึงเงินแล้ว”
ห้าล้านตำลึงเงิน
หลี่หลิงเฟิ่งตะลึงงัน
อู๋เหยียนยังคงพูดต่ออย่างตื่นเต้น “ถ้าหากเอาไปแช่กับหินแร่ คุณภาพจะยิ่งเพิ่มทวีคูณ โอกาสเลื่อนพลังยุทธ์นับว่ามีสูงกว่าทุกคน ไม่เพียงเท่านี้หากตกผลึกเป็นไขแร่แล้ว พลังสะสมจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น”
โอ้! น้ำทิพย์ยังมีสรรพคุณเช่นนี้ด้วยหรือ เข้าทางนางเลยน่ะสิ ไม่คาดคิดว่าแอ่งน้ำในมิติที่นางได้มาฟรีจะมีมูลค่าขนาดนี้ หากรู้แต่แรกนางคงเอาออกไปขายนานแล้ว ไม่มัวเสี่ยงไปเก็บสมุนไพรพวกนั้นให้เสียเวลาหรอก
หลี่หลิงเฟิ่งคืนสติ วักน้ำออกมาจากมิติให้หลี่เฟยหยางดื่มบ้าง ทว่า ก็ไม่เกิดผลใดๆ หญิงสาวกลอกตาอย่างจนปัญญา หันมาพยักพเยิดน้ำทิพย์อีกขวดบนมืออู๋เหยียนแทน “เอาไปให้เสี่ยวเฉินดื่มด้วย”
หญิงสาวหลับตาลง คงประวิงเวลาได้อีกสักระยะหนึ่ง เสี่ยวเซียง เจ้าไปตายที่ไหนกันถึงไม่มาสักที
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าเร่งรีบหลายคู่ดังมาจากด้านนอกประตู หลี่หลิงเฟิ่งประคองหลี่เฟยหยางนอนลงอย่างเบามือก่อนจะเดินไปผลักประตูออกอย่างรวดเร็ว
ผู้มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสาวใช้ของนาง ท่านหมอหูและศิษย์อีกสองคน สาวเท้ารีบร้อนมาหานาง เมื่อเห็นดังนั้นสีหน้าหลี่หลิงเฟิ่งดีขึ้นเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มอิดโรยไปให้ “ท่านหมอหู”
“เสี่ยวยาโถว* ขออภัยที่ตาเฒ่าผู้นี้มาช้า ข้าเพิ่งทราบข่าวเมื่อเช้า ไม่รู้ป่านนี้ผู้ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง” หูซานผู้นี้เป็นแพทย์ประจำโรงหมอที่นางขายสมุนไพรให้ มีสองคนคือพี่น้องตระกูลหวัง หวังซีและหวังข่ายที่ติดตามมาด้วย วิชาการแพทย์หูซานนับว่าไม่เลว อายุราวๆ สี่สิบ รูปร่างผอมซูบ มือถือล่วมยายืนหอบหายใจ
“รบกวนพวกท่านแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งขยับกายหลีกทางให้หูซานเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นหันมาพูดกับสองพี่น้องแซ่หวัง “ท่านทั้งสอง ช่วยไปดูอาการเสี่ยวเฉินที่ห้องปีกข้างได้หรือไม่เจ้าคะ” เท้าสองคู่ชะงักลงเมื่อหลี่หลิงเฟิ่งกล่าวจบ
“อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก ข้าเกรงว่าหากไม่รีบรักษาอาจไม่พ้นเงื้อมมือมัจจุราชเป็นแน่” ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง หวังซีจึงเปล่งเสียงออกมาในที่สุด “ได้โปรดนำทาง”
หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้าให้อู๋เหยียน “ท่านทั้งสอง เชิญ” เมื่อทั้งสามเดินลับตาไป เสี่ยวเซียงยืนนิ่งหันซ้ายแลขวา ลังเลอยู่นานก็ยังก้าวไม่ออก
“เจ้าก็ตามคนพวกนั้นไปด้วยกันเถิด ที่นี่มีแค่ข้าก็พอ” กล่าวจบหญิงสาวก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ จับสังเกตสีหน้าหูซาน
หูซานจับชีพจรหลี่เฟยหยางอย่างละเอียด ครู่ใหญ่จึงถอนมือกลับ ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หลี่หลิงเฟิ่งใจคอไม่ดี ขยับเข้าไปใกล้ มือเรียวปัดปอยผมบนใบหน้าคมคายออกอย่างเบามือ พลางเอ่ยถาม “ท่านหมอหู พี่ใหญ่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถ้าไม่รีบรักษา เกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้แล้ว” หูซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่ง “อวัยวะภายในบอบช้ำหนัก เลือดคลั่งไม่ไหลเวียน แต่นั่นยังไม่รุนแรงเท่าลมปราณแปรปรวณไปทั่วร่าง พลังยุทธ์ถูกสกัดกั้นไม่ให้ใช้ออกมา” หูซานส่ายหัวเวทนา ชายหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หาตัวจับยากผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตก่อนวัยอันควร
“รักษาเช่นไร” สีหน้าหลี่หลิงเฟิ่งยังคงราบเรียบ ทว่ามือทั้งสองข้างเปียกชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ “ขอแค่หายเป็นปกติก็พอ จะแลกด้วยอะไร ข้าก็ยอม”
น้ำเสียงแน่วแน่ของนางปลุกสัญชาตญาณความเป็นแพทย์ของหูซานขึ้นมา มองหญิงสาวข้างตัวที่บัดนี้ทำอะไรไม่ถูก ต่างจากความสุขุมนุ่มลึกทุกครั้งที่เจอกัน เขานึกสงสารสตรีผู้นี้จับใจ หากนางเสียพี่ชายไป ชีวิตคงไม่มีใครปกป้องนางอีกแล้ว
“จะประสานลมปราณ ปลดปล่อยพลังยุทธ์น่ะไม่ยากหรอก” หูซานลูบคางครุ่นคิด “พี่ชายของเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนิลกาญจณ์ จำเป็นต้องใช้หินแร่สีเขียวสิบก้อน หรือหินแร่ขั้นสูงกว่าก็ยิ่งดี เจ้าต้องหามาให้เร็วที่สุด ร่างกายของเขาไม่อาจรอได้อีกต่อไปแล้ว”
ตอนตรวจชีพจร หูซานอดทึ่งไม่ได้ อายุน้อยแค่นี้แต่มีพลังขั้นนิลกาญจณ์ระดับกลาง นับเป็นอัจริยะท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน ตัวเขาเองอายุขึ้นเลขสี่แล้วยังอยู่แค่ระดับหลวมรวมอยู่เลย เขายังไม่อยากให้เยาวชนรุ่นหลังตายตกเช่นนี้ หากแต่ก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้ว หินแร่ ไข่แร่นางรู้สรรพคุณ รู้วิธีใช้ แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร นางไม่เคยเห็นมาก่อน “หินแร่หน้าตาเป็นอย่างไร”
หูซานหน้าตางุนงง ยังมีคนไม่รู้จักหินแร่อยู่ด้วยหรือ พอทบทวนสักพักจึงเข้าใจ กระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนหยิบหินสีเทาหม่นสี่ห้าก้อนมาวางลงบนเตียง “นี่คือหินที่ข้ามีอยู่ แต่ใช้กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นนิลกาญจณ์ไม่ได้”
“หินพวกนี้...หินแร่?” เหมือนนางจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ ยิ่งนางจ้องยิ่งดูคุ้นตา
“ใช่ สาวน้อยเมืองทุรกันดารแห่งนี้เจ้าจะไปหามันมาจากที่ไหน หินแร่สีเขียวไม่นับว่าหายากก็จริง ส่วนใหญ่ชาวบ้านแถบนี้ทำไร่ ทำสวน แต่ไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์” สายตาชายชราหม่นหมอง “ต่อให้เจ้าใช้เงินกว้านซื้อมาทั้งเมือง อย่างมากก็หาได้แค่หินขั้นต่ำสุดเพียงสองสามก้อนเท่านั้น”
“ช้าก่อน ขอข้าคิดก่อน” ก้อนหินพวกนี้นางเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว หลี่หลิงเฟิ่งเดินออกจากห้อง ยืนพิงประตู มองเหล่าก้อนหินในมิติที่นางมองเป็นอัญมณีละลานตาในแอ่งน้ำ ก่อนจะเลือกหยิบก้อนที่เปล่งประกายแวววาวสีเขียวออกมาราวๆ สิบห้าก้อนใส่ไว้ในถุงผ้า
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง ยื่นถุงผ้าไปตรงหน้าหูซานที่นั่งปลงตกอยู่ในขณะนี้ “ท่านดูหน่อยเถิด หินพวกนี้ใช้ได้หรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งลังเล เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบาราวกับยุงบินผ่าน “หน้าตาพวกมันไม่ค่อยเหมือนที่ท่านให้ข้าดูสักเท่าไหร่ ใช่หินแร่ที่ท่านตามหาหรือไม่”
เมื่อชายชราเปิดปากถุง ถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ท่าทีไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้า ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป แทนที่ด้วยความตะลึงงัน เงยหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างพิลึกพิลั่น
หลี่หลิงเฟิ่งที่ไม่เข้าใจอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปกะทันหันของท่านหมอหู สีหน้างุนงงปนวิตกกังวล เอ่ยออกมาอย่างผิดหวัง
“ไม่ได้หรือ”
*เสี่ยวยาโถว = เด็กน้อย, สาวน้อย
หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต
เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น
เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต
รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า
อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส







