LOGINผ่านไปสิบวัน
อาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้ว
หลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่าง
บอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำ
ทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเอง
หลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะนี้
“ร่างกายของคุณชายหายเป็นปกติแล้ว เพียงแต่พละกำลังภายในยังอ่อนแออยู่มาก ต้องเสริมสร้างอยู่เป็นประจำ หาไม่แล้วจะส่งผลต่อการเลื่อนขั้นพลังยุทธ์ของท่านในอนาคตได้” หูซานตรวจอาการของหลี่เฟยหยางอย่างเช่นทุกวัน ใบหน้าเป็นมิตรคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ มือผ่ายผอมจดเทียบยาส่งให้หวังซีจัดการต่อ
“ระหว่างนี้ข้าจะจัดให้ท่านดื่มวันละเทียบควบคู่กับการฝึกฝนซ่อมแซมร่างกายให้กลับคืนดังเดิม” หลี่เฟยหยางพยักหน้ารับรู้ ดื่มโอสถที่หวังซียื่นมาให้เงียบๆ แม้เขาจะไม่ค่อยพอใจที่คนอื่นมายุ่มย่ามใกล้ตัว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง ด้วยรู้จุดประสงค์ของหูซานเป็นอย่างดี
หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองคนในห้องด้วยความเบื่อหน่าย นางคร้านจะเอ่ยปากไล่ ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าหูชายชราหน้าทนผู้นี้หรอก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ มีนางอยู่ทั้งคน ไม่ถึงกับต้องให้คนพวกนี้มาทำแทนก็ได้
“นอกจากอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ท่านยังตรวจพบอะไรอีกหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งเลือกถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่หลายวันออกไปแทน นางจำเหตุการณ์วันนั้นถนัดชัดเจน ความเย็นของร่างกายที่ลดต่ำอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งเกาะขึ้นตามกาย ความเจ็บปวดทรมานสุดขีดที่แสดงออกมา รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเลือดของนางนั่นอีก ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นปัญหา
หลี่หลิงเฟิ่งรอคอยมาหลายวัน วาดหวังให้หูซานตรวจพบอาการแปลกประหลาดเหล่านั้น ผ่านมาหลายวัน การเฝ้าสังเกตของนางกลับว่างเปล่า นางกระวนกระวายใจ หลับไม่สนิททุกวันคืน แม้แต่คัมภีร์โอสถสวรรค์ที่รวบรวมโรคพิสดารต่างๆ บนโลกใบนี้ยังไม่สามารถไขความกระจ่างแจ้งแก่นางได้ หญิงสาวพลันรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที
“ร่างกายของพี่ชายเจ้าถือว่าแข็งแรงกว่าคนอื่นมากนัก ขอแค่บำรุงให้ดี หลีกเลี่ยงการใช้พลังยุทธ์ในช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว” คำตอบของหูซานไม่เหนือความคาดหมายของนางมากนัก หลี่หลิงเฟิ่งผงกศีรษะรับรู้อย่างขอไปที
“หรือเจ้าเจอความผิดปกติอะไรเข้า” หูซานตาเป็นประกาย ที่เขาคิดเช่นนี้ได้ เหตุเพราะอยู่กับนางมาหลายวัน สาวน้อยนางนี้มักทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เขาให้นางศึกษาวินิจฉัยโรคให้คนป่วยร่วมกัน หลายโรคที่รักษานานกว่าจะหาย นางมักเสนอวิธีรักษาหรือการปรุงโอสถที่แปลกใหม่ให้กับเขา เขาไม่คุ้นเคยตำรับยาและวิธีรักษาของนาง แต่ไม่อาจโต้เถียงถึงผลลัพธ์ที่ดีกว่าสูตรเดิมที่เขามี
หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เฟยหยางแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ไม่มี ข้าแค่ถามเพื่อความมั่นใจ” ขนาดระดับขั้นปฐมาจารย์ยังไม่รู้ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร
“จริงสิ เกือบลืมไป กำไลเงินที่ท่านใส่อยู่มันเก็บของได้หรือ วันนั้นข้าเห็นท่านหยิบพวกเตาหลอม สมุนไพรต่างๆ ออกมา” หญิงสาวโพล่งออกไปอย่างใคร่รู้ นางลืมไปได้อย่างไร นี่ถือเป็นศาสตราวุธที่ช่วยซ่อนเร้นมิติมายาของนางได้เชียวนะ ของดีแบบนี้ ทำไมสมองนางถึงลืมเลือนไปได้
“สายตาแหลมคมจริงๆ” หูซานหัวเราะร่า “นี่เป็นกำไลสำริดติดตัวข้าตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนักแพทย์โอสถ มีเพียงผู้ที่เป็นศิษย์สายตรงของผู้ก่อตั้งสำนักเท่านั้นถึงจะครอบครองมันได้”
สายตาเอ็นดูจ้องมองศิษย์น้องที่นานๆ จะแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ ใจของเขาพองโตอย่างมีความสุข นั่นเท่ากับว่าหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มยอมรับเขาเป็นศิษย์พี่บ้างแล้ว ให้เอาวัตถุหรือความลับของสำนักมาขาย เขาก็ไม่ใส่ใจสักนิด
“ศิษย์น้อง ไม่เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ผู้มีอำนาจในสำนักแพทย์โอสถ กำไลวงนี้ยังสามารถเก็บสิ่งของได้อีกด้วย ยามใดที่เจ้าเดินทางไม่จำเป็นต้องแบกสิ่งของให้เหนื่อย จับพวกกมันโยนเข้าไปในกำไลสำริดเป็นอันสิ้นเรื่อง” ใจหลี่หลิงเฟิ่งฟูฟ่อง นางเดาไม่ผิดจริงๆ อนาคตภายภาคหน้าก็ไม่ต้องกังลเรื่องพลังธาตุมิติมายาของนางจะถูกพบเห็นได้ง่ายๆ อีกต่อไป
นอกจากหลี่เฟยหยางและผู้ติดตามทั้งสามของพวกนางแล้ว คนอื่นๆ ที่รู้เรื่องนี้ล้วนตายตกหมดสิ้น ความกังวลในตลอดหลายเดือนได้รับการปลดปล่อยเสียที แววตาที่มองหูซานดูสบายตาขึ้นไปอีกขึ้น
“นอกจากข้าแล้วยังมีศิษย์พี่ของเจ้าอีกสองคนที่ยึดครองไว้ หากเจ้าต้องการ เช่นนั้นก็เดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถ ข้าได้แจ้งข่าวให้ศิษย์พี่ทั้งสองรับรู้ก่อนแล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสในสำนักแพทย์โอสถจะได้รับ เจ้าย่อมมีครบไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่เพียงนิด” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุก นางรู้แค่ว่าอาจารย์ของหูซานลาโลกไปนานแล้ว นางถึงทำใจยอมรับข้อเสนอนี้ได้ แต่ศิษย์พี่อีกสองคนโผล่มาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าตำแหน่งหูซานในสำนักแพทย์โอสถจะไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิด เป็นไปได้มากว่า...
“ท่านจะบอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของอดีตเจ้าสำนักหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งถามออกไปอย่างระแวดระวัง ใจนางเริ่มกระตุกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หวังซีที่ยืนหลบอยู่ปลายเตียงมองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับมองตัวประหลาด
‘นี่นางไม่รู้แม้กระทั่งประวัติของอาจารย์หูเลยงั้นรึ มิน่าล่ะ ตอนแรกนางถึงได้ปฏิเสธไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์’ สายตาที่มักจะเก็บรายละเอียดรอบด้าน ถูกแบ่งความสนใจไปมองหูซานอย่างสงสาร
หูซานไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดรอบตัว หัวเราะเสียงดังลั่นห้อง “ฮ่าๆ เสี่ยวยาโถว ถ้าข้าไม่ใช่ ในแผ่นดินนี้จะมีใครใช่อีกเล่า ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนั้นก็มีเพียงหูซานคนนี้ เจ้าสำนักจะอดใจไม่รั้งตัวข้าไว้เป็นศิษย์ได้รึ เหล่าผู้อาวุโสสมัยนั้นไม่อยู่ในสายตาของข้าเลยสักนิด ฟังอย่างนี้แล้ว เจ้ารู้สึกถึงความร้ายกาจของข้าบ้างรึยัง รู้สึกว่าศิษย์พี่ของเจ้าดียิ่งใช่หรือไม่”
หวังซีนึกอยากให้หลี่หลิงเฟิ่งเป็นอาจารย์อาของเขาขึ้นมาจริงๆ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาที่เป็นศิษย์ของหูซานคงอับอายจนไม่มีหน้าเหลือไปพบผู้ใดได้อีกต่อไปแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย หัวเราะเหอะๆ ในลำคอ “หากพูดกันตามจริง ท่านอาศัยอะไรรับข้าเป็นศิษย์แทนอดีตเจ้าสำนัก” อีกอย่าง ต่อให้หูซานยอมรับนาง ใช่ว่าอีกสองท่านนั้นจะเห็นด้วยไปกับเขา
“เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านอาจารย์ชอบคนมีพรสวรรค์ ถ้าได้เจอเจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งตัวไว้เป็นแน่” นิ่งไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกระตือรือร้นดังขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว พวกข้าฝันมาเสมอว่าอยากได้ศิษย์น้องหญิงสักคนหนึ่ง แต่เมื่อหมดจากรุ่นของข้าก็ไม่มีศิษย์ใหม่คนไหนมีความสามารถโดดเด่นอีกเลย ข้าจึงเป็นศิษย์คนสุดท้าย”
“นี่นับเป็นเหตุผลหรือ” ออกจะไร้สาระเกินไปหน่อยกระมัง หรือนักหลอมโอสถฝีมือดีทุกคนสมองมักจะไม่ปกติ เมื่อพบหญิงสาวตีสีหน้าพิลึกพิลั่น แววตาเย็นชาของหลี่เฟยหยางพลันปรากฏรอยยิ้ม
หูซานถลึงตา ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “แน่น่ะสิ ผ่านการรับรองจากข้าแล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์น้องเต็มตัว สบายใจได้ ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อสายตาข้าผู้นี้หรอก”
หลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้กลัวผู้คนไม่ยอมรับ ไม่ได้สนใจสักนิด นางแค่ไม่อยากมีศิษย์พี่ที่อายุรุ่นราวคราวปู่ หลี่เฟยหยางเคยเล่ารายละเอียดสำนักแพทย์โอสถให้นางฟังคร่าวๆ มาบ้าง เจ้าสำนักคนปัจจุบันอายุน่าจะไม่น้อยแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งเวทนาตนเองอยู่ในใจ ก่นด่าความใจอ่อนในตอนนั้นของตนเองเป็นพันครั้ง
“คุณหนูเจ้าขา นายท่านสามกับคนของฮูหยินใหญ่มาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบคุณชายใหญ่และคุณหนูเจ้าค่ะ” ขณะที่ภายในห้องนอนของหลี่เฟยหยางเต็มไปด้วยเสียงของหูซานนั้น เสี่ยวเซียง สาวใช้ตัวน้อยของหลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทางทำความเคารพที่ต้องปฏิบัติลืมไปจนหมด พูดรัวเร็วระคนตกใจ
“พวกเขามาทำอะไร”
“คงมาเร่งให้เจ้ารีบกลับจวนกระมัง” หลี่เฟยหยางพูดออกมาอย่างเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบ
“ดูท่าเจ้าเมืองตระกูลหลี่ใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง” หูซานได้ฟังอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ ข่าวสารเรื่องการหมั้นหมายของนังหนูนี่เขาได้ยินมาบ้างเหมือนกัน มีเวลาอีกร่วมเดือนกว่าจะถึงวันส่งตัวเข้าวัง เหตุใดจึงเร่งรัดอยากให้ศิษย์น้องกลับไปนัก เมื่อก่อนไม่เห็นมาดูดำดูดีพวกนาง ตอนนี้กลับกระตือรือร้นมารับคน
หากว่าไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งยกยิ้ม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน* หญิงสาวหมุนกายออกไปตามหลังเสี่ยวเซียง มือจับบานประตูค้างไว้ เหมือนคิดอะไรได้ หันหน้ากลับมาพูดกับคนในห้อง “พี่ใหญ่ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าออกไปต้อนรับคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนพวกท่าน เชิญตามอัธยาศัย ขอตัวก่อน”
ชายหนุ่มเผยสีหน้ายุ่งยากใจ มองเงาหลังหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความเป็นห่วง ขยับตัวเตรียมจะลงจากเตียง แต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ ถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงดังเดิม
คาดไม่ถึงเมื่อหลี่เฟยหยางสงบใจลงได้ กลายเป็นหูซานที่เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาแทน
หากเป็นเมื่อก่อนหูซานไม่อาจช่วยเหลือหลี่หลิงเฟิ่งได้มากนัก เขาไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของครอบครัวคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ชอบเอาตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน นางเป็นศิษย์น้องของเขา แล้วเขาเป็นใคร ผู้อาวุโสสำนักแพทย์โอสถของดินแดนแห่งนี้ แค่จวนเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยสักนิด!
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเจ้ารอข้าก่อน” ใบหน้าเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยความสนุกสนานฉาบขึ้นมา กวักมือเรียกหวังซีพร้อมกับผงกหัวอำลาหลี่เฟยหยาง “หวังซี อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ลุงของเจ้ารู้ด้วยเล่า อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คำพูดเดียว”
“ขอรับ” หวังซีขานตอบเสียงเบา ฟังดูอ่อนอกอ่อนใจ เดินตามหลังหูซานออกไปเงียบๆ
เมื่อเหลือเพียงหลี่เฟยหยางทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ สายตาของบุรุษเย็นชาราวน้ำแข็ง น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น “อู๋เหยียน ไปสืบมา”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงต้นไม้ข้างห้องนอนสั่นไหวครั้งหนึ่งก่อนรอบบริเวณจะตกสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
*ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน หมายถึง เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องของคนอื่น ในขณะที่เจ้าตัวไม่สนใจเลยสักนิด
หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต
เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น
เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต
รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า
อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส







