LOGINผ่านไปสิบวัน
อาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้ว
หลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่าง
บอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำ
ทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเอง
หลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะนี้
“ร่างกายของคุณชายหายเป็นปกติแล้ว เพียงแต่พละกำลังภายในยังอ่อนแออยู่มาก ต้องเสริมสร้างอยู่เป็นประจำ หาไม่แล้วจะส่งผลต่อการเลื่อนขั้นพลังยุทธ์ของท่านในอนาคตได้” หูซานตรวจอาการของหลี่เฟยหยางอย่างเช่นทุกวัน ใบหน้าเป็นมิตรคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ มือผ่ายผอมจดเทียบยาส่งให้หวังซีจัดการต่อ
“ระหว่างนี้ข้าจะจัดให้ท่านดื่มวันละเทียบควบคู่กับการฝึกฝนซ่อมแซมร่างกายให้กลับคืนดังเดิม” หลี่เฟยหยางพยักหน้ารับรู้ ดื่มโอสถที่หวังซียื่นมาให้เงียบๆ แม้เขาจะไม่ค่อยพอใจที่คนอื่นมายุ่มย่ามใกล้ตัว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง ด้วยรู้จุดประสงค์ของหูซานเป็นอย่างดี
หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองคนในห้องด้วยความเบื่อหน่าย นางคร้านจะเอ่ยปากไล่ ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าหูชายชราหน้าทนผู้นี้หรอก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ มีนางอยู่ทั้งคน ไม่ถึงกับต้องให้คนพวกนี้มาทำแทนก็ได้
“นอกจากอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ท่านยังตรวจพบอะไรอีกหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งเลือกถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่หลายวันออกไปแทน นางจำเหตุการณ์วันนั้นถนัดชัดเจน ความเย็นของร่างกายที่ลดต่ำอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งเกาะขึ้นตามกาย ความเจ็บปวดทรมานสุดขีดที่แสดงออกมา รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเลือดของนางนั่นอีก ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นปัญหา
หลี่หลิงเฟิ่งรอคอยมาหลายวัน วาดหวังให้หูซานตรวจพบอาการแปลกประหลาดเหล่านั้น ผ่านมาหลายวัน การเฝ้าสังเกตของนางกลับว่างเปล่า นางกระวนกระวายใจ หลับไม่สนิททุกวันคืน แม้แต่คัมภีร์โอสถสวรรค์ที่รวบรวมโรคพิสดารต่างๆ บนโลกใบนี้ยังไม่สามารถไขความกระจ่างแจ้งแก่นางได้ หญิงสาวพลันรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที
“ร่างกายของพี่ชายเจ้าถือว่าแข็งแรงกว่าคนอื่นมากนัก ขอแค่บำรุงให้ดี หลีกเลี่ยงการใช้พลังยุทธ์ในช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว” คำตอบของหูซานไม่เหนือความคาดหมายของนางมากนัก หลี่หลิงเฟิ่งผงกศีรษะรับรู้อย่างขอไปที
“หรือเจ้าเจอความผิดปกติอะไรเข้า” หูซานตาเป็นประกาย ที่เขาคิดเช่นนี้ได้ เหตุเพราะอยู่กับนางมาหลายวัน สาวน้อยนางนี้มักทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เขาให้นางศึกษาวินิจฉัยโรคให้คนป่วยร่วมกัน หลายโรคที่รักษานานกว่าจะหาย นางมักเสนอวิธีรักษาหรือการปรุงโอสถที่แปลกใหม่ให้กับเขา เขาไม่คุ้นเคยตำรับยาและวิธีรักษาของนาง แต่ไม่อาจโต้เถียงถึงผลลัพธ์ที่ดีกว่าสูตรเดิมที่เขามี
หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เฟยหยางแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ไม่มี ข้าแค่ถามเพื่อความมั่นใจ” ขนาดระดับขั้นปฐมาจารย์ยังไม่รู้ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร
“จริงสิ เกือบลืมไป กำไลเงินที่ท่านใส่อยู่มันเก็บของได้หรือ วันนั้นข้าเห็นท่านหยิบพวกเตาหลอม สมุนไพรต่างๆ ออกมา” หญิงสาวโพล่งออกไปอย่างใคร่รู้ นางลืมไปได้อย่างไร นี่ถือเป็นศาสตราวุธที่ช่วยซ่อนเร้นมิติมายาของนางได้เชียวนะ ของดีแบบนี้ ทำไมสมองนางถึงลืมเลือนไปได้
“สายตาแหลมคมจริงๆ” หูซานหัวเราะร่า “นี่เป็นกำไลสำริดติดตัวข้าตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนักแพทย์โอสถ มีเพียงผู้ที่เป็นศิษย์สายตรงของผู้ก่อตั้งสำนักเท่านั้นถึงจะครอบครองมันได้”
สายตาเอ็นดูจ้องมองศิษย์น้องที่นานๆ จะแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ ใจของเขาพองโตอย่างมีความสุข นั่นเท่ากับว่าหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มยอมรับเขาเป็นศิษย์พี่บ้างแล้ว ให้เอาวัตถุหรือความลับของสำนักมาขาย เขาก็ไม่ใส่ใจสักนิด
“ศิษย์น้อง ไม่เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ผู้มีอำนาจในสำนักแพทย์โอสถ กำไลวงนี้ยังสามารถเก็บสิ่งของได้อีกด้วย ยามใดที่เจ้าเดินทางไม่จำเป็นต้องแบกสิ่งของให้เหนื่อย จับพวกกมันโยนเข้าไปในกำไลสำริดเป็นอันสิ้นเรื่อง” ใจหลี่หลิงเฟิ่งฟูฟ่อง นางเดาไม่ผิดจริงๆ อนาคตภายภาคหน้าก็ไม่ต้องกังลเรื่องพลังธาตุมิติมายาของนางจะถูกพบเห็นได้ง่ายๆ อีกต่อไป
นอกจากหลี่เฟยหยางและผู้ติดตามทั้งสามของพวกนางแล้ว คนอื่นๆ ที่รู้เรื่องนี้ล้วนตายตกหมดสิ้น ความกังวลในตลอดหลายเดือนได้รับการปลดปล่อยเสียที แววตาที่มองหูซานดูสบายตาขึ้นไปอีกขึ้น
“นอกจากข้าแล้วยังมีศิษย์พี่ของเจ้าอีกสองคนที่ยึดครองไว้ หากเจ้าต้องการ เช่นนั้นก็เดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถ ข้าได้แจ้งข่าวให้ศิษย์พี่ทั้งสองรับรู้ก่อนแล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสในสำนักแพทย์โอสถจะได้รับ เจ้าย่อมมีครบไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่เพียงนิด” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุก นางรู้แค่ว่าอาจารย์ของหูซานลาโลกไปนานแล้ว นางถึงทำใจยอมรับข้อเสนอนี้ได้ แต่ศิษย์พี่อีกสองคนโผล่มาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าตำแหน่งหูซานในสำนักแพทย์โอสถจะไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิด เป็นไปได้มากว่า...
“ท่านจะบอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของอดีตเจ้าสำนักหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งถามออกไปอย่างระแวดระวัง ใจนางเริ่มกระตุกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หวังซีที่ยืนหลบอยู่ปลายเตียงมองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับมองตัวประหลาด
‘นี่นางไม่รู้แม้กระทั่งประวัติของอาจารย์หูเลยงั้นรึ มิน่าล่ะ ตอนแรกนางถึงได้ปฏิเสธไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์’ สายตาที่มักจะเก็บรายละเอียดรอบด้าน ถูกแบ่งความสนใจไปมองหูซานอย่างสงสาร
หูซานไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดรอบตัว หัวเราะเสียงดังลั่นห้อง “ฮ่าๆ เสี่ยวยาโถว ถ้าข้าไม่ใช่ ในแผ่นดินนี้จะมีใครใช่อีกเล่า ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนั้นก็มีเพียงหูซานคนนี้ เจ้าสำนักจะอดใจไม่รั้งตัวข้าไว้เป็นศิษย์ได้รึ เหล่าผู้อาวุโสสมัยนั้นไม่อยู่ในสายตาของข้าเลยสักนิด ฟังอย่างนี้แล้ว เจ้ารู้สึกถึงความร้ายกาจของข้าบ้างรึยัง รู้สึกว่าศิษย์พี่ของเจ้าดียิ่งใช่หรือไม่”
หวังซีนึกอยากให้หลี่หลิงเฟิ่งเป็นอาจารย์อาของเขาขึ้นมาจริงๆ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาที่เป็นศิษย์ของหูซานคงอับอายจนไม่มีหน้าเหลือไปพบผู้ใดได้อีกต่อไปแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย หัวเราะเหอะๆ ในลำคอ “หากพูดกันตามจริง ท่านอาศัยอะไรรับข้าเป็นศิษย์แทนอดีตเจ้าสำนัก” อีกอย่าง ต่อให้หูซานยอมรับนาง ใช่ว่าอีกสองท่านนั้นจะเห็นด้วยไปกับเขา
“เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านอาจารย์ชอบคนมีพรสวรรค์ ถ้าได้เจอเจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งตัวไว้เป็นแน่” นิ่งไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกระตือรือร้นดังขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว พวกข้าฝันมาเสมอว่าอยากได้ศิษย์น้องหญิงสักคนหนึ่ง แต่เมื่อหมดจากรุ่นของข้าก็ไม่มีศิษย์ใหม่คนไหนมีความสามารถโดดเด่นอีกเลย ข้าจึงเป็นศิษย์คนสุดท้าย”
“นี่นับเป็นเหตุผลหรือ” ออกจะไร้สาระเกินไปหน่อยกระมัง หรือนักหลอมโอสถฝีมือดีทุกคนสมองมักจะไม่ปกติ เมื่อพบหญิงสาวตีสีหน้าพิลึกพิลั่น แววตาเย็นชาของหลี่เฟยหยางพลันปรากฏรอยยิ้ม
หูซานถลึงตา ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “แน่น่ะสิ ผ่านการรับรองจากข้าแล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์น้องเต็มตัว สบายใจได้ ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อสายตาข้าผู้นี้หรอก”
หลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้กลัวผู้คนไม่ยอมรับ ไม่ได้สนใจสักนิด นางแค่ไม่อยากมีศิษย์พี่ที่อายุรุ่นราวคราวปู่ หลี่เฟยหยางเคยเล่ารายละเอียดสำนักแพทย์โอสถให้นางฟังคร่าวๆ มาบ้าง เจ้าสำนักคนปัจจุบันอายุน่าจะไม่น้อยแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งเวทนาตนเองอยู่ในใจ ก่นด่าความใจอ่อนในตอนนั้นของตนเองเป็นพันครั้ง
“คุณหนูเจ้าขา นายท่านสามกับคนของฮูหยินใหญ่มาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบคุณชายใหญ่และคุณหนูเจ้าค่ะ” ขณะที่ภายในห้องนอนของหลี่เฟยหยางเต็มไปด้วยเสียงของหูซานนั้น เสี่ยวเซียง สาวใช้ตัวน้อยของหลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทางทำความเคารพที่ต้องปฏิบัติลืมไปจนหมด พูดรัวเร็วระคนตกใจ
“พวกเขามาทำอะไร”
“คงมาเร่งให้เจ้ารีบกลับจวนกระมัง” หลี่เฟยหยางพูดออกมาอย่างเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบ
“ดูท่าเจ้าเมืองตระกูลหลี่ใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง” หูซานได้ฟังอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ ข่าวสารเรื่องการหมั้นหมายของนังหนูนี่เขาได้ยินมาบ้างเหมือนกัน มีเวลาอีกร่วมเดือนกว่าจะถึงวันส่งตัวเข้าวัง เหตุใดจึงเร่งรัดอยากให้ศิษย์น้องกลับไปนัก เมื่อก่อนไม่เห็นมาดูดำดูดีพวกนาง ตอนนี้กลับกระตือรือร้นมารับคน
หากว่าไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งยกยิ้ม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน* หญิงสาวหมุนกายออกไปตามหลังเสี่ยวเซียง มือจับบานประตูค้างไว้ เหมือนคิดอะไรได้ หันหน้ากลับมาพูดกับคนในห้อง “พี่ใหญ่ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าออกไปต้อนรับคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนพวกท่าน เชิญตามอัธยาศัย ขอตัวก่อน”
ชายหนุ่มเผยสีหน้ายุ่งยากใจ มองเงาหลังหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความเป็นห่วง ขยับตัวเตรียมจะลงจากเตียง แต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ ถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงดังเดิม
คาดไม่ถึงเมื่อหลี่เฟยหยางสงบใจลงได้ กลายเป็นหูซานที่เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาแทน
หากเป็นเมื่อก่อนหูซานไม่อาจช่วยเหลือหลี่หลิงเฟิ่งได้มากนัก เขาไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของครอบครัวคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ชอบเอาตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน นางเป็นศิษย์น้องของเขา แล้วเขาเป็นใคร ผู้อาวุโสสำนักแพทย์โอสถของดินแดนแห่งนี้ แค่จวนเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยสักนิด!
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเจ้ารอข้าก่อน” ใบหน้าเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยความสนุกสนานฉาบขึ้นมา กวักมือเรียกหวังซีพร้อมกับผงกหัวอำลาหลี่เฟยหยาง “หวังซี อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ลุงของเจ้ารู้ด้วยเล่า อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คำพูดเดียว”
“ขอรับ” หวังซีขานตอบเสียงเบา ฟังดูอ่อนอกอ่อนใจ เดินตามหลังหูซานออกไปเงียบๆ
เมื่อเหลือเพียงหลี่เฟยหยางทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ สายตาของบุรุษเย็นชาราวน้ำแข็ง น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น “อู๋เหยียน ไปสืบมา”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงต้นไม้ข้างห้องนอนสั่นไหวครั้งหนึ่งก่อนรอบบริเวณจะตกสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
*ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน หมายถึง เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องของคนอื่น ในขณะที่เจ้าตัวไม่สนใจเลยสักนิด
สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม
หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้







