ผ่านไปสิบวัน
อาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้ว
หลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่าง
บอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำ
ทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเอง
หลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะนี้
“ร่างกายของคุณชายหายเป็นปกติแล้ว เพียงแต่พละกำลังภายในยังอ่อนแออยู่มาก ต้องเสริมสร้างอยู่เป็นประจำ หาไม่แล้วจะส่งผลต่อการเลื่อนขั้นพลังยุทธ์ของท่านในอนาคตได้” หูซานตรวจอาการของหลี่เฟยหยางอย่างเช่นทุกวัน ใบหน้าเป็นมิตรคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ มือผ่ายผอมจดเทียบยาส่งให้หวังซีจัดการต่อ
“ระหว่างนี้ข้าจะจัดให้ท่านดื่มวันละเทียบควบคู่กับการฝึกฝนซ่อมแซมร่างกายให้กลับคืนดังเดิม” หลี่เฟยหยางพยักหน้ารับรู้ ดื่มโอสถที่หวังซียื่นมาให้เงียบๆ แม้เขาจะไม่ค่อยพอใจที่คนอื่นมายุ่มย่ามใกล้ตัว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง ด้วยรู้จุดประสงค์ของหูซานเป็นอย่างดี
หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองคนในห้องด้วยความเบื่อหน่าย นางคร้านจะเอ่ยปากไล่ ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าหูชายชราหน้าทนผู้นี้หรอก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ มีนางอยู่ทั้งคน ไม่ถึงกับต้องให้คนพวกนี้มาทำแทนก็ได้
“นอกจากอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ท่านยังตรวจพบอะไรอีกหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งเลือกถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่หลายวันออกไปแทน นางจำเหตุการณ์วันนั้นถนัดชัดเจน ความเย็นของร่างกายที่ลดต่ำอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งเกาะขึ้นตามกาย ความเจ็บปวดทรมานสุดขีดที่แสดงออกมา รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเลือดของนางนั่นอีก ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นปัญหา
หลี่หลิงเฟิ่งรอคอยมาหลายวัน วาดหวังให้หูซานตรวจพบอาการแปลกประหลาดเหล่านั้น ผ่านมาหลายวัน การเฝ้าสังเกตของนางกลับว่างเปล่า นางกระวนกระวายใจ หลับไม่สนิททุกวันคืน แม้แต่คัมภีร์โอสถสวรรค์ที่รวบรวมโรคพิสดารต่างๆ บนโลกใบนี้ยังไม่สามารถไขความกระจ่างแจ้งแก่นางได้ หญิงสาวพลันรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที
“ร่างกายของพี่ชายเจ้าถือว่าแข็งแรงกว่าคนอื่นมากนัก ขอแค่บำรุงให้ดี หลีกเลี่ยงการใช้พลังยุทธ์ในช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว” คำตอบของหูซานไม่เหนือความคาดหมายของนางมากนัก หลี่หลิงเฟิ่งผงกศีรษะรับรู้อย่างขอไปที
“หรือเจ้าเจอความผิดปกติอะไรเข้า” หูซานตาเป็นประกาย ที่เขาคิดเช่นนี้ได้ เหตุเพราะอยู่กับนางมาหลายวัน สาวน้อยนางนี้มักทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เขาให้นางศึกษาวินิจฉัยโรคให้คนป่วยร่วมกัน หลายโรคที่รักษานานกว่าจะหาย นางมักเสนอวิธีรักษาหรือการปรุงโอสถที่แปลกใหม่ให้กับเขา เขาไม่คุ้นเคยตำรับยาและวิธีรักษาของนาง แต่ไม่อาจโต้เถียงถึงผลลัพธ์ที่ดีกว่าสูตรเดิมที่เขามี
หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เฟยหยางแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ไม่มี ข้าแค่ถามเพื่อความมั่นใจ” ขนาดระดับขั้นปฐมาจารย์ยังไม่รู้ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร
“จริงสิ เกือบลืมไป กำไลเงินที่ท่านใส่อยู่มันเก็บของได้หรือ วันนั้นข้าเห็นท่านหยิบพวกเตาหลอม สมุนไพรต่างๆ ออกมา” หญิงสาวโพล่งออกไปอย่างใคร่รู้ นางลืมไปได้อย่างไร นี่ถือเป็นศาสตราวุธที่ช่วยซ่อนเร้นมิติมายาของนางได้เชียวนะ ของดีแบบนี้ ทำไมสมองนางถึงลืมเลือนไปได้
“สายตาแหลมคมจริงๆ” หูซานหัวเราะร่า “นี่เป็นกำไลสำริดติดตัวข้าตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนักแพทย์โอสถ มีเพียงผู้ที่เป็นศิษย์สายตรงของผู้ก่อตั้งสำนักเท่านั้นถึงจะครอบครองมันได้”
สายตาเอ็นดูจ้องมองศิษย์น้องที่นานๆ จะแสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ ใจของเขาพองโตอย่างมีความสุข นั่นเท่ากับว่าหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มยอมรับเขาเป็นศิษย์พี่บ้างแล้ว ให้เอาวัตถุหรือความลับของสำนักมาขาย เขาก็ไม่ใส่ใจสักนิด
“ศิษย์น้อง ไม่เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ผู้มีอำนาจในสำนักแพทย์โอสถ กำไลวงนี้ยังสามารถเก็บสิ่งของได้อีกด้วย ยามใดที่เจ้าเดินทางไม่จำเป็นต้องแบกสิ่งของให้เหนื่อย จับพวกกมันโยนเข้าไปในกำไลสำริดเป็นอันสิ้นเรื่อง” ใจหลี่หลิงเฟิ่งฟูฟ่อง นางเดาไม่ผิดจริงๆ อนาคตภายภาคหน้าก็ไม่ต้องกังลเรื่องพลังธาตุมิติมายาของนางจะถูกพบเห็นได้ง่ายๆ อีกต่อไป
นอกจากหลี่เฟยหยางและผู้ติดตามทั้งสามของพวกนางแล้ว คนอื่นๆ ที่รู้เรื่องนี้ล้วนตายตกหมดสิ้น ความกังวลในตลอดหลายเดือนได้รับการปลดปล่อยเสียที แววตาที่มองหูซานดูสบายตาขึ้นไปอีกขึ้น
“นอกจากข้าแล้วยังมีศิษย์พี่ของเจ้าอีกสองคนที่ยึดครองไว้ หากเจ้าต้องการ เช่นนั้นก็เดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถ ข้าได้แจ้งข่าวให้ศิษย์พี่ทั้งสองรับรู้ก่อนแล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสในสำนักแพทย์โอสถจะได้รับ เจ้าย่อมมีครบไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่เพียงนิด” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุก นางรู้แค่ว่าอาจารย์ของหูซานลาโลกไปนานแล้ว นางถึงทำใจยอมรับข้อเสนอนี้ได้ แต่ศิษย์พี่อีกสองคนโผล่มาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าตำแหน่งหูซานในสำนักแพทย์โอสถจะไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิด เป็นไปได้มากว่า...
“ท่านจะบอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของอดีตเจ้าสำนักหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งถามออกไปอย่างระแวดระวัง ใจนางเริ่มกระตุกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หวังซีที่ยืนหลบอยู่ปลายเตียงมองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับมองตัวประหลาด
‘นี่นางไม่รู้แม้กระทั่งประวัติของอาจารย์หูเลยงั้นรึ มิน่าล่ะ ตอนแรกนางถึงได้ปฏิเสธไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์’ สายตาที่มักจะเก็บรายละเอียดรอบด้าน ถูกแบ่งความสนใจไปมองหูซานอย่างสงสาร
หูซานไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดรอบตัว หัวเราะเสียงดังลั่นห้อง “ฮ่าๆ เสี่ยวยาโถว ถ้าข้าไม่ใช่ ในแผ่นดินนี้จะมีใครใช่อีกเล่า ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนั้นก็มีเพียงหูซานคนนี้ เจ้าสำนักจะอดใจไม่รั้งตัวข้าไว้เป็นศิษย์ได้รึ เหล่าผู้อาวุโสสมัยนั้นไม่อยู่ในสายตาของข้าเลยสักนิด ฟังอย่างนี้แล้ว เจ้ารู้สึกถึงความร้ายกาจของข้าบ้างรึยัง รู้สึกว่าศิษย์พี่ของเจ้าดียิ่งใช่หรือไม่”
หวังซีนึกอยากให้หลี่หลิงเฟิ่งเป็นอาจารย์อาของเขาขึ้นมาจริงๆ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาที่เป็นศิษย์ของหูซานคงอับอายจนไม่มีหน้าเหลือไปพบผู้ใดได้อีกต่อไปแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย หัวเราะเหอะๆ ในลำคอ “หากพูดกันตามจริง ท่านอาศัยอะไรรับข้าเป็นศิษย์แทนอดีตเจ้าสำนัก” อีกอย่าง ต่อให้หูซานยอมรับนาง ใช่ว่าอีกสองท่านนั้นจะเห็นด้วยไปกับเขา
“เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านอาจารย์ชอบคนมีพรสวรรค์ ถ้าได้เจอเจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งตัวไว้เป็นแน่” นิ่งไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกระตือรือร้นดังขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว พวกข้าฝันมาเสมอว่าอยากได้ศิษย์น้องหญิงสักคนหนึ่ง แต่เมื่อหมดจากรุ่นของข้าก็ไม่มีศิษย์ใหม่คนไหนมีความสามารถโดดเด่นอีกเลย ข้าจึงเป็นศิษย์คนสุดท้าย”
“นี่นับเป็นเหตุผลหรือ” ออกจะไร้สาระเกินไปหน่อยกระมัง หรือนักหลอมโอสถฝีมือดีทุกคนสมองมักจะไม่ปกติ เมื่อพบหญิงสาวตีสีหน้าพิลึกพิลั่น แววตาเย็นชาของหลี่เฟยหยางพลันปรากฏรอยยิ้ม
หูซานถลึงตา ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “แน่น่ะสิ ผ่านการรับรองจากข้าแล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์น้องเต็มตัว สบายใจได้ ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อสายตาข้าผู้นี้หรอก”
หลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้กลัวผู้คนไม่ยอมรับ ไม่ได้สนใจสักนิด นางแค่ไม่อยากมีศิษย์พี่ที่อายุรุ่นราวคราวปู่ หลี่เฟยหยางเคยเล่ารายละเอียดสำนักแพทย์โอสถให้นางฟังคร่าวๆ มาบ้าง เจ้าสำนักคนปัจจุบันอายุน่าจะไม่น้อยแล้ว
หลี่หลิงเฟิ่งเวทนาตนเองอยู่ในใจ ก่นด่าความใจอ่อนในตอนนั้นของตนเองเป็นพันครั้ง
“คุณหนูเจ้าขา นายท่านสามกับคนของฮูหยินใหญ่มาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบคุณชายใหญ่และคุณหนูเจ้าค่ะ” ขณะที่ภายในห้องนอนของหลี่เฟยหยางเต็มไปด้วยเสียงของหูซานนั้น เสี่ยวเซียง สาวใช้ตัวน้อยของหลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทางทำความเคารพที่ต้องปฏิบัติลืมไปจนหมด พูดรัวเร็วระคนตกใจ
“พวกเขามาทำอะไร”
“คงมาเร่งให้เจ้ารีบกลับจวนกระมัง” หลี่เฟยหยางพูดออกมาอย่างเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบ
“ดูท่าเจ้าเมืองตระกูลหลี่ใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง” หูซานได้ฟังอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ ข่าวสารเรื่องการหมั้นหมายของนังหนูนี่เขาได้ยินมาบ้างเหมือนกัน มีเวลาอีกร่วมเดือนกว่าจะถึงวันส่งตัวเข้าวัง เหตุใดจึงเร่งรัดอยากให้ศิษย์น้องกลับไปนัก เมื่อก่อนไม่เห็นมาดูดำดูดีพวกนาง ตอนนี้กลับกระตือรือร้นมารับคน
หากว่าไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งยกยิ้ม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน* หญิงสาวหมุนกายออกไปตามหลังเสี่ยวเซียง มือจับบานประตูค้างไว้ เหมือนคิดอะไรได้ หันหน้ากลับมาพูดกับคนในห้อง “พี่ใหญ่ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าออกไปต้อนรับคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนพวกท่าน เชิญตามอัธยาศัย ขอตัวก่อน”
ชายหนุ่มเผยสีหน้ายุ่งยากใจ มองเงาหลังหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความเป็นห่วง ขยับตัวเตรียมจะลงจากเตียง แต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ ถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงดังเดิม
คาดไม่ถึงเมื่อหลี่เฟยหยางสงบใจลงได้ กลายเป็นหูซานที่เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาแทน
หากเป็นเมื่อก่อนหูซานไม่อาจช่วยเหลือหลี่หลิงเฟิ่งได้มากนัก เขาไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของครอบครัวคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ชอบเอาตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน นางเป็นศิษย์น้องของเขา แล้วเขาเป็นใคร ผู้อาวุโสสำนักแพทย์โอสถของดินแดนแห่งนี้ แค่จวนเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยสักนิด!
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเจ้ารอข้าก่อน” ใบหน้าเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยความสนุกสนานฉาบขึ้นมา กวักมือเรียกหวังซีพร้อมกับผงกหัวอำลาหลี่เฟยหยาง “หวังซี อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ลุงของเจ้ารู้ด้วยเล่า อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คำพูดเดียว”
“ขอรับ” หวังซีขานตอบเสียงเบา ฟังดูอ่อนอกอ่อนใจ เดินตามหลังหูซานออกไปเงียบๆ
เมื่อเหลือเพียงหลี่เฟยหยางทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ สายตาของบุรุษเย็นชาราวน้ำแข็ง น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น “อู๋เหยียน ไปสืบมา”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงต้นไม้ข้างห้องนอนสั่นไหวครั้งหนึ่งก่อนรอบบริเวณจะตกสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
*ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจไปก่อน หมายถึง เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องของคนอื่น ในขณะที่เจ้าตัวไม่สนใจเลยสักนิด
หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่
ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ
ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน
สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้