Share

บทที่ 6

ยามฟ้าสางรุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองเริ่มจับขอบฟ้า หมู่สกุณาเริงร่าร้องขับขาน เยว่อวิ๋นถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงพูดคุยเล็กๆ

“ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว” เสียงที่พอฟังออกว่าเป็นเด็กหญิงดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงตอบกลับจากเด็กชาย “ชู่ เบาๆ นางตื่นแล้ว”

เยว่อวิ๋นลืมตาเหม่อมองหลังคาอยู่พักหนึ่ง นางนอนฟังเจ้าของเสียงคุยกัน ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นขึ้นนั่งช้าๆ

ดวงตากลมหรี่มองไปทางที่มาของเสียง เห็นเพียงบานประตูที่ถูกแง้มเปิดไว้เท่านั้น หญิงสาวพลันเลิกคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่เอ่ยวาจา

เห็นว่าเจ้าของเสียงไม่กล้าปรากฏกาย เยว่อวิ๋นจึงรั้งสายตากลับมายังร่างบุรุษข้างกายพลางย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นเนื้อเน่าที่ลอยปะปนมากับกลิ่นอับชื้น บอกให้รู้ว่าสภาพบาดแผลของคนผู้นี้ย่ำแย่มากแค่ไหน

ฉับพลันเสียงโครกครากก็ดังจากส่วนกลางลำตัว เยว่อวิ๋นละความสนใจจากสามีหมาดๆ ของตน นางข่มอาการวิงเวียนที่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเพราะแผลที่ศีรษะหรือความหิวลงท้อง พลางลุกก้าวเดินออกจากห้อง

อย่างไรเสียก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน หาอะไรกินลงท้องก่อน แล้วค่อยมาดูหน้าสามีที่เพิ่งแต่งกันก็ยังไม่สาย ที่สำคัญนางต้องการดูท่าทีของอีกฝ่ายด้วย

อนาคตนางจะช่วยเหลือคนผู้นี้หรือไม่ยังต้องไตร่ตรองดูให้ละเอียดสักหน่อย

เยว่อวิ๋นเดินสำรวจตัวบ้านมาจนถึงห้องครัวด้านหลัง หญิงสาวมองข้าวของที่วางกองไว้อย่างไร้ระเบียบด้วยใบหน้าว่างเปล่า ข้าวสาร ไข่ และผักตากแห้งพวกนี้คงเป็นสิ่งที่แม่สามีของนางทิ้งเอาไว้ให้ แม้มีไม่มากมายนักทว่าก็ยังพอให้ประทังชีวิตไปได้สักสองสามวัน

เพียงแต่ว่าเมื่อยามสายตามองเห็นสิ่งเหล่านี้ เยว่อวิ๋นก็พลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้

อืม…ดูเหมือนว่านางจะทำอาหารไม่เป็นสินะ…

มุมปากแห้งกร้านบิดเบี้ยวเล็กน้อย เยว่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง อดยกมือขึ้นกุมขมับไม่ได้ นางที่อดีตเคยถูกยกย่องว่าเป็นแม่ทัพผู้เชี่ยวชาญการรบเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ มายามนี้กลับต้องสิ้นท่าอยู่หน้าข้าวสารเสียนี่

ต่อให้ไม่เคยกินหมูแต่ก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่งมาบ้าง [1] ถึงนางจะไม่เคยทำอาหาร แต่ตอนมีชีวิตอยู่ชาติก่อนก็ยังเคยเห็นพ่อครัวในกองทัพต้มข้าวเลี้ยงทหารยามไปตั้งค่ายออกรบมาก่อน ดูแล้วก็น่าจะไม่ยากจนเกินทำ

ขนาดยาลูกกลอนนางยังปรุงออกมาได้เลย นับประสาอะไรกับอีแค่การต้มข้าวกัน เรื่องแค่นี้นับว่าเล็กน้อยมาก

คิดจบ กำลังใจก็เพิ่มพูน หญิงสาวมองหาหม้อจนเจอในที่สุด นางเทข้าวสารลงไปเกือบครึ่งที่มี ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเศษผงและดินที่ผสมปนเปอยู่ในนั้น

เอาเถอะ ถึงอย่างไรมีกินก็ยังดีกว่าไม่มี แม้ข้าวสารจะเก่าและสกปรกไปสักหน่อย แต่ก็ช่วยให้อิ่มท้องได้เหมือนกัน อีกทั้งในบ้านยังมีคนป่วยกับเด็กรอกินอาหารอยู่ด้วย

โชคดีที่ตอนเดินทัพนางเคยก่อกองไฟ ทำให้ไม่นานไฟในเตาก็เริ่มปะทุ เยว่อวิ๋นเป่าลมด้วยความโล่งอก นางมองเงาร่างเล็กๆ สองเงาที่แอบอยู่นอกประตูพลางยกหม้อขึ้นตั้งไฟ

“ท่านพี่ นางกำลังทำอาหารใช่หรือไม่ นางจะแบ่งให้พวกเรากินด้วยไหม” เด็กหญิงถามพี่ชายเสียงเบา ในแววตามีความคาดหวังฉายอยู่เจือจาง

รู้ว่าน้องสาวถามเพราะความหิว ต้าเป่าไม่อยากทำลายความหวัง ทว่าในใจเด็กชายกลับรู้ดีว่าเป็นไปได้ยากนัก ใบหน้าเล็กๆ ที่ซูบเหลืองจึงเผยให้เห็นความอึดอัดคับข้องใจที่เด็กวัยนี้ไม่ควรมี

นับตั้งแต่ท่านพ่อของเขาป่วย คนในครอบครัวที่เคยทำดีด้วยก็เปลี่ยนไป พวกเขาสองพี่น้องถูกใช้ให้ทำงานทุกอย่างที่ทำได้ ทว่าท้องกลับไม่เคยได้สัมผัสความอิ่มหนำเลยสักครั้ง

ต้าเป่าเป็นเด็กฉลาด คำพูดกับการกระทำของญาติๆ เหล่านั้น ทำให้เขารู้ว่าพวกตนกับบิดาถูกมองว่าเป็นภาระที่แม้แต่ย่าของตัวเองก็ยังไม่ต้องการ

ทว่าถึงรู้แล้วอย่างไร เขากับน้องสาวเพิ่งจะอายุห้าขวบ บิดาก็ป่วยหนักไม่อาจดูแลตัวเอง หากถูกไล่ออกจากบ้านสกุลเซี่ยไป ไม่ต้องรอให้ถึงฤดูหนาวมาเยือน ก็คงได้อดตายกันหมดเป็นแน่

เพราะรู้ซึ้งถึงข้อนี้ เด็กชายจึงพยายามอดทนต่อความยากลำบาก ยอมทำงานที่ได้รับมอบหมายในทุกวันอย่างสุดชีวิต หวังเพียงให้บิดากับน้องสาวยังได้มีที่พึ่งพิง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดไร้เดียงสาของเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

เห็นผู้เป็นย่ารีบร้อนแต่งภรรยาใหม่ให้บิดา แม้ในใจลึกๆ ต้าเป่าจะรู้สึกอึดอัด ทว่าก็ยังมีความยินดีปรีดาท่วมท้น เพราะเด็กน้อยเชื่อว่าการที่ท่านย่าตนทำเช่นนี้เพราะเอาใจใส่ท่านพ่อของเขานั่นเอง หารู้ไม่ว่า…

“พี่เองก็ไม่รู้” ขนาดคนที่เป็นญาติแท้ๆ ยังไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับพวกเขาพี่น้อง แล้วคนอื่นอย่างผู้หญิงคนนั้นจะยินยอมหรือ “น้องสาว เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดีนะ นางเป็นคนนอก พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่”

ต้าเป่าจำได้ว่าในหมู่บ้านเคยมีครอบครัวหนึ่ง บิดาเป็นพ่อม่ายลูกติดได้แต่งภรรยาใหม่ สตรีผู้นั้นไม่เพียงใช้งานลูกติดสามีอย่างหนัก ทั้งยังทารุณทุบตี ซ้ำพอหลังจากตั้งท้องอีกฝ่ายก็กล่อมให้เขาขายลูกภรรยาเก่าไปอีกด้วย

เมื่อมีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยงไปด้วย สองสามวันมานี้เด็กชายได้ยินประโยคนี้จากปากของหลายคน แน่นอนว่าจุดประสงค์ของคนพวกนั้นไม่ได้ดีแน่ ต้าเป่าที่ระยะหลังมักได้เผชิญกับคลื่นลมภายในใจคนก็พอมองออกอยู่บ้าง

สองพี่น้องพูดคุยโต้ตอบกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พวกเขาคิดว่าตัวเองแอบซ่อนดีแล้ว ทว่าไม่รู้เลยว่าทุกถ้อยคำถูกคนที่ตนกล่าวถึงได้ยินเสียแล้ว

เยว่อวิ๋นไม่กังขาในคำพูดโตเกินวัยของเด็กชายเลยสักนิด นางเกิดและเติบโตมาในราชวงศ์ที่ไม่มีผู้ใสซื่อไร้เดียงสา ญาติๆ ของนาง อายุสามขวบก็รู้จักการวางอุบายใส่ผู้อื่นแล้ว

อีกอย่างเด็กนั่นก็แค่เตือนน้องสาวให้ระวังตัวจากนางเท่านั้น ดั่งคำที่กล่าวเอาไว้ แม้ไม่มีจิตที่คิดร้ายทว่าใจป้องกันนั้นยังต้องมีอยู่ [2] มองจากจุดนี้ในใจเยว่อวิ๋นก็นึกชมชอบเจ้าซาลาเปาน้อยนี่ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

เพียงแต่ต้าเป่าไม่ล่วงรู้ความคิดของเยว่อวิ๋นเลยสักนิด เพราะตอนนี้ความสนใจของเด็กชายถูกการกระทำของนางดึงไปหมดสิ้น จนถึงกับต้องขยี้ตาซ้ำๆ

เขาเห็นนางจุดไฟ นำหม้อออกมาวาง แล้วจัดการเทข้าวสารในถุงลงไปเกินครึ่ง จากนั้นก็ตักน้ำใส่ ก่อนจะยกขึ้นตั้งบนเตาไฟโดยไม่มีการล้างใดๆ

คิดถึงสภาพข้าวผสมเศษดินเศษกรวดที่เห็นยามแอบเปิดดูเมื่อวาน ต้าเป่าพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย การกินดินโดยตรงทำให้ปวดท้องทรมานแทบตาย เขาที่มีประสบการณ์นั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร แต่เหตุใดสตรีตรงหน้าถึงต้มข้าวโดยไม่ล้างดินออกก่อนกัน

หรือว่าดินกับกรวดพอมาต้มผสมข้าวแล้วจะทำให้คนกินไม่ปวดท้องกัน

เยว่อวิ๋นจะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนต้มต้องซาวน้ำล้างข้าว ชีวิตในชาติก่อนของนางล้วนห่างไกลจากห้องครัว

ตอนเด็กไม่มีเหตุผลให้ท่านหญิงน้อยของวังอ๋องไปยุ่งเกี่ยวกับการทำอาหาร ตอนโตยิ่งไม่มีความจำเป็นให้แม่ทัพผู้บัญชาการรบไปทำเรื่องพวกนี้

วัยเด็กนางขอเพียงขยับมือกับปากเสื้อผ้าอาหารก็เตรียมพร้อมรอไว้แล้ว ตอนโตมาแม้แต่ในยามเดินทัพก็มีคนสนิทคอยดูแลการกินอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภายหลังจากได้พบกับเซี่ยฉงอวิ๋น นางแทบจะถูกคนผู้นั้นขุนเลี้ยงดูเสียจนอ้วนพี

เยว่อวิ๋นอาศัยความทรงจำที่เคยเห็นทหารในกองทัพต้มโจ๊กมาก่อนลงมือทำ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง พอเห็นสีของน้ำข้าวเริ่มดูไม่ต่างจากน้ำโคลน นางก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

“ปกติข้าวต้มควรเป็นสีขาวมิใช่หรือ สีน้ำแบบนี้พอข้าวสุกจะขาวได้อย่างไร”

เสียงบ่นงึมงำของสตรีในห้องครัวดังขึ้น ต้าเป่าฟังแล้วครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ

นี่คงมิใช่ว่า มารดาคนใหม่ของเขา ทำอาหารไม่เป็นใช่หรือไม่!

เด็กชายคิดแล้วก็ส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ขนาดน้องสาวเขาอายุแค่นี้ ยังต้องช่วยทำงานในครัวเลย แล้วอีกฝ่ายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหรือจะทำไม่เป็นกระทั่งการต้มข้าวต้มง่ายๆ

คำพูดต่อมาของคนในครัวทำให้ต้าเป่าต้องยอมรับความจริง ว่าคนตรงหน้าพวกเขาไม่รู้กระทั่งวิธีต้มข้าวด้วยซ้ำ

“สุกหรือยังนะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นลอยๆ มือเล็กหยิบเอากระบวยมาตักข้าวสารขึ้นดู ก่อนจะฉวยหยิบเอาเมล็ดสีกระดำกระด่างใส่ปากชิม “ยังแข็งกรุบอยู่เลยนี่นา แล้วมันต้องต้มนานแค่ไหนกัน”

เห็นท่าทางของเยว่อวิ๋น หน้าผากเด็กชายเกิดรอยย่นสามเส้นขึ้นมาทันที

เพิ่งยกหม้อตั้งไฟยังไม่ทันเดือดดีก็ถามแบบนี้แล้ว คนทำอาหารเป็นที่ไหนเขาทำกัน!

[1] เป็นสำนวน หมายถึง เราอาจจะไม่เคยประสบสิ่งนั้นมาด้วยตนเอง แต่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน อย่างไรก็ต้องรู้มาบ้าง

[2] หมายถึง แม้ไม่มีใจคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่ก็ต้องมีความคิดปกป้องตัวเอง
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 315

    ทว่าองค์หญิงเจียงหนิงที่เดินเข้ามากลับยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่รู้สึกรู้สา ทั้งยังถามน้ำเสียงไร้เดียงสาต่อ “ข้าถามท่านทำไมไม่ตอบเล่า หรือว่าท่านมีเรื่องอะไรปิดบังข้ากัน” พูดจบก็แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวไม่พอใจทันทีเยว่หลินมองอย่างชินชา คนในราชวงศ์พวกนี้เปลี่ยนสีหน้าไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เขาชินเสียแ

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 314

    ช่างนิสัยแย่เสียจริงนางไม่ใช่คนไร้เดียงสา ย่อมไม่คิดแน่นอนว่าการทำดีด้วยจะโน้มน้าวใจหลิวซื่อไว้ได้ แต่ที่เซี่ยฉงอวิ๋นกล่าวก็ถือได้ว่าถูกต้องอยู่ครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือนางมีความคิดอยากรั้งตัวคนจริงๆไม่จำเป็นต้องมาอยู่ด้วยกันก็ได้ นางแค่ต้องการให้อีกฝ่ายออกจากหลุมลึกของสกุลเยว่ สามารถใช้ชีวิตที่ดีมั่นค

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 313

    แม่เฒ่าเยว่อายุไม่น้อยแล้วเรี่ยวแรงย่อมไม่อาจสู้จางซื่อ นางผงะหงายหลังลงไปนอนเอ้งเม้งบนพื้น โดยมีฝ่ายหลังล้มตามลงไปติดๆแม่เฒ่าเยว่ถูกทับด้วยร่างอวบอ้วนของลูกสะใภ้ ความเจ็บแปลบจากกระดูกสันหลังที่ถูกกระแทกทำให้นางไรเรี่ยวแรงจะผลักคนออก ได้แต่นอนร้องโอดโอยน้ำเสียงแหบแหลม“ท่านแม่!”เยว่ฉินกับเยว่เจินเ

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 312

    “นั่นก็จริง” แม่เฒ่าเยว่พยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มของมารดาผู้รักและเมตตาบุตรจึงค่อยๆ คืนกลับมาอีกครั้ง “เจ้าเองก็เหนื่อยมาเยอะแล้ว กินอะไรแล้วก็ไปนอนพักเถอะ”บอกบุตรชายเสร็จนางก็หันไปตะโกนสั่งให้สะใภ้คนโตตั้งโต๊ะอาหาร ก่อนจะมีสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้งเมื่อจางซื่อตอบกลับมาว่าอาหารยังทำไม่เสร็จ“เจ้าจะใช้เว

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 311

    เจ้านายของนางอารมณ์รุนแรงเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ นางเป็นคนสนิทที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจ้านายมาเนิ่นนาน มีครั้งไหนบ้างที่อีกฝ่ายบันดาลโทสะแล้วไม่ถูกลูกหลง“ธุระสำคัญอะไรกันนักหนา เมื่อวานข้ารอจนดึกดื่นเขาก็ยังไม่กลับ วันนี้พอข้าตื่นมาเขาก็ออกไปแต่เช้า ข้าว่าเขาจงใจจะหลบเลี่ยงข้าเสียมากกว่า” เสียงแหลม

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 310

    แม้จะรู้ว่าความคิดของตนเองนั้นไม่ถูกต้อง ทว่าเมื่อเผชิญกับความกดดันที่ได้รับ การกระทำของนางก็คล้ายกับสายน้ำที่ได้รับการระบายนางเปลี่ยนความเสียใจความรู้สึกแย่ๆ ของตนมาเป็นความเกลียดชัง หลอกตัวเองโทษว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของบุตรสาว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง นางที่ทำเรื่องชั่วร้ายเหล่าน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status