วันเวลาผันผ่านมาเกือบสัปดาห์ ใต้เท้าเมิ่งและหลิวซือเหว่ยก็ยังไม่พบตัวคุณหนูรอง กระทั่งหลิวซือเหว่ยเกิดแคลงใจว่าภาพเสมือนใบนี้ใช่นางจริงหรือไม่ ไยให้ลูกน้องเที่ยวเสาะหาสอบถามจนทั่วแคว้นก็ยังไม่พบ นางคงมิได้กลายเป็นปุ๋ยอยู่กับรากต้นไม้เข้าแล้วกระมัง
เพราะเขารับปากใต้เท้าเมิ่งเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะช่วยตามหาคุณหนูรองเมิ่งให้พบ แต่ก็ไร้ร่องรอยหญิงเสียสติที่ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่เกิดผลดีแน่แท้ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวเขาก็ไร้สามารถจนหาไม่พบเชียวหรือ
"นายท่าน ที่วัดเจาเจินไม่พบตัวคุณหนูรองเลยขอรับ"
คิ้วเข้มขมวดแน่นแทบเกิดเป็นปม คนทั้งคนจะหายไปเช่นนี้ได้อย่างไร
"เจ้าแน่ใจหรือ ยามปกติคุณหนูรองเมิ่งมักไปหาแม่ชีนางหนึ่งไม่ใช่หรือไร ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วหรือไม่"
"จริง ๆ ก็มีสตรีอีกนางมาอาศัยอยู่ด้วยขอรับ เพียงแต่นางมิใช่หญิงเสียสติ อีกอย่างหน้าตาของนางไม่คล้ายภาพที่เราได้มาเลย"
หลิวซือเหว่ยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะพลางขบคิด นัยน์ตาคมกริบกวาดมองภาพวาดเบื้องหน้า ยามปกติเขาก็มิได้สุงสิงกับคุณหนูรองเมิ่งเสียด้วย อีกอย่างนางร่างกายอ่อนแอขี้โรค จึงไม่เคยโผล่ออกจากจวนเฉกเช่นสตรีคนอื่น
หรือภาพวาดจะมีปัญหากันเล่า...
"ไปเตรียมม้า ข้าจะไปจวนสกุลเมิ่ง"
"ขอรับ"
เสียงกีบเท้าม้าห้อทะยานเร่งร้อนมาหยุดที่หน้าจวนสกุลเมิ่ง เจ้าของร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้า ผู้เฝ้าประตูจวนก็เร่งร้อนเข้ามาคำนับเขาพลางช่วยจับจูงอาชาศึกตัวใหญ่ถอยห่างออกไปยังที่พักม้า ส่วนบ่าวรับใช้อีกนายก็ทำหน้าที่เปิดประตูให้ผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม
"ท่านกั๋วกง เชิญด้านในขอรับ"
เพียงเห็นท่าทีองอาจสีหน้าเคร่งขรึม รวมถึงเครื่องแต่งกายและหยกแขวนของเขา บรรดาบ่าวไพร่ของจวนสกุลเมิ่งก็ทราบทันทีว่าบุรุษตรงหน้าเป็นใคร ขาสูงเยื้องย่างเข้ามาด้านในพร้อมกวาดสายตาคมกริบทอดมองการตกแต่งของจวนสกุลเมิ่งโดยรอบ
เมิ่งเว่ยมีตำแหน่งเป็นถึงหู่ปู้ [1] เขาทำหน้าที่จัดเก็บภาษี ดูแลการเบิกจ่ายรายได้ของแผ่นดิน ไม่แปลกใจที่จวนสกุลเมิ่งนั้นจะดูใหญ่โตโอ่โถงไม่น้อยไปกว่าจวนกั๋วกงเช่นเขา แม้ว่าเมิ่งเว่ยทำงานอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ กระทั่งได้รับการปูนบำเหน็จจากฝ่าบาทมาหลายหน ทว่าหลิวซือเหว่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น เขามองว่าสกุลเมิ่งเป็นพวกหน้าเงิน ลอบฉ้อราษฎร์บังหลวงมาไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตน จึงได้ร่ำรวยล้นฟ้า ช่างหน้าหนาเสียจริง
ยิ่งเขาเกลียดชังตระกูลเมิ่งมากเท่าใด กลับยิ่งต้องได้ข้องเกี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ไฉนบิดาของเขาจำต้องมีพันธะกับสหายจอมละโมบเช่นนี้กัน ยามนี้หลิวซือเหว่ยปักใจชมชอบแต่เพียงคุณหนูลี่หลินเท่านั้น ไหนเลยกั๋วกงผู้รักเดียวเช่นเขาจะเหลือบแลหญิงอื่นได้
"กั๋วกง" เมิ่งเว่ยประหลาดใจ เดิมทีหลิวซือเหว่ยแทบไม่เหยียบเข้ามาที่จวนของเขาแม้เพียงครึ่งก้าว
ทุกคนในเรือนจึงรวมตัวกันอยู่ที่โถงรับรอง ยามนี้ฮูหยินใหญ่ และเมิ่งลี่น่าก็อยู่ที่นี่ ครั้นเมิ่งลี่น่าเห็นกั๋วกงหนุ่มมาเยือนก็แสดงอาการกระมิดกระเมี้ยนอย่างอดไม่อยู่ ร่างระหงยอบกายอ่อนหวานเพื่อต้อนรับเขา
"ท่านกั๋วกง"
หลิวซือเหว่ยปรายตามอง เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบอย่างขอไปที ฮูหยินใหญ่เหริ่นอี้หรานเห็นบุตรีของตนถูกหมางเมินก็รู้สึกหน้าชา
"เอ่อ ท่านกั๋วกง เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ" ริมฝีปากซึ่งแต้มแต่งไปด้วยชาดสีสดเผยยิ้มฝืดฝืน
"ไม่เป็นไร ข้ามาครู่เดียวเท่านั้น" หลิวซือเหว่ยพยักหน้าไปเบื้องหลัง องครักษ์ของเขาก็รุดเข้ามา จากนั้นคลี่ม้วนภาพเสมือนของคุณหนูรองให้เมิ่งเว่ยได้ตรวจสอบ
"ใต้เท้าเมิ่ง ไม่ทราบว่า... ภาพวาดใบนี้ ใช่ภาพคุณหนูรองจริงหรือไม่"
เมิ่งเว่ยเห็นภาพในมืออีกฝ่ายก็แทบล้มหงายท้องตึง "...ก็นับว่าใช่ขอรับ แต่ภาพนี่มัน...ข้าไม่ได้ให้ภาพนี้ไปมิใช่หรือ"
เหริ่นอี้หรานเหลือบมองสำทับ จากนั้นยกมือขึ้นทาบอก "ตายจริง ก็นั่นมันภาพของซินเอ๋อร์มิใช่หรือเจ้าคะท่านพี่ แต่เหตุใดจึงต้องเป็นภาพนี้เล่า"
"ภาพก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือเจ้าคะท่านแม่ ในเมื่อนางเป็นบ้าซ้ำยังขี้ริ้วขี้เหร่" เมิ่งลี่น่าโพล่ง
เมิ่งเว่ยตวัดตามองค้อนลูกสาวคนโต เพราะภาพที่อยู่ในมือขององครักษ์กั๋วกง หาใช่ภาพที่ถูกต้อง นั่นเป็นเพียงภาพวาดล้อเลียนในยามที่เมิ่งเหยียนซินเกิดเสียสติแล้ว ซึ่งเมิ่งลี่น่าเป็นคนวาดขึ้นมาเองกับมือ
"กั๋วกง นี่ต้องเกิดเรื่องเข้าใจผิดแน่ อภัยข้าด้วย ดูเหมือนคนของข้าคงทำงานไม่รอบคอบ"
เมิ่งเว่ยได้เตรียมภาพเสมือนของเมิ่งเหยียนซินไปให้เขาจริง ดูจากท่าทางของเมิ่งลี่น่าแล้วคงเป็นฝีมือนางไม่ผิดแน่ ผู้เป็นบิดาก็ทำได้เพียงทอดถอนใจในความหัวรั้นของบุตรสาวคนโต
"ใต้เท้าเมิ่ง ท่านจะบอกว่าเกิดความผิดพลาดงั้นหรือ ข้าต้องเสียเวลาตั้งเท่าใดในการตามหาบุตรสาวของท่าน!"
เพราะเมิ่งลี่น่าลอบสับเปลี่ยนภาพเสมือนก่อนที่เมิ่งเว่ยจะออกจากจวนเพื่อไปพบหลิวซือเหว่ย หากเมิ่งเหยียนซินยังบ้าใบ้และมีสภาพเช่นนี้อยู่เขาต้องหานางพบเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าล่วงเลยจนเกือบสัปดาห์ เหตุใดจึงยังไม่พบตัวเมิ่งเหยียนซิน
เมิ่งลี่น่าแอบประหวั่นต่อท่าทีเดือดดาลของหลิวซือเหว่ย นางเหลือบมองผู้เป็นมารดา ทั้งสองประสานสายตาก็ราวกับรู้ใจ ส่วนเมิ่งเว่ยเริ่มหวาดเกรงว่าที่ลูกเขยของตนเข้าหน่อยแล้ว ฉายามัจจุราชหน้าหยกคงไม่ได้มาเล่น ๆ จริงแท้
"เอ่อ...กั๋วกง ท่านใจเย็นก่อน ข้าจะให้คนไปนำภาพที่ถูกต้องมาอีกครั้ง ส่วนเรื่องภาพวาดนี่ เดี๋ยวข้าจะทำการตรวจสอบเพื่อลงโทษคนผิด ข้อหากระทำการไม่รอบคอบจนทำให้ท่านกั๋วกงต้องเสียเวลา"
เมิ่งเว่ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เนื่องจากเป็นฝีมือลูกสาวตัวดีเสียเอง
กั๋วกงหนุ่มถอยห่างออกไป เสียงทุ้มเปล่งวาจาเย็นเยียบ "แน่นอนว่าต้องลงโทษ"
เมิ่งลี่น่าสะดุ้งเฮือก ริมฝีปากขบเม้มจนเกิดเป็นเส้นตรง นางพยายามก้มหน้าเพื่อเก็บพิรุธ มือทั้งสองประสานกันแน่นจนเกิดความชื้นจากเหงื่อ ใบหน้าของกั๋วกงหล่อเหลาก็จริง แต่น่าเกรงขามมากกว่าเสียอีก
ในเมื่อยังต้องรออีกพักหนึ่ง หลิวซือเหว่ยจึงตัดสินใจหย่อนกายนั่งลงบริเวณเก้าอี้รับรอง ครั้นเมิ่งเว่ยเห็นหลิวซือเหว่ยใจเย็นลงแล้วเขาเองก็เบาใจ จากนั้นเหลียวมองเมิ่งลี่น่าหวังให้นางเข้าไปปรนนิบัติรินน้ำชา และนี่นับเป็นสิ่งที่เมิ่งลี่น่าประสงค์อยากใกล้ชิดหลิวซือเหว่ยอยู่ทีเดียว
ทว่าอีกฝ่ายกลับดับฝันนางเสียก่อน ทั้งที่ยังไม่ทันได้หยิบป้านชาขึ้นมาด้วยซ้ำ
"ไม่ต้อง ข้าไม่ชอบชาแห้ง"
เพียงหลิวซือเหว่ยได้กลิ่นที่โชยออกมาก็ทราบทันทีว่านี่ไม่ใช่ชาสดที่ตนชื่นชอบ ยิ่งเป็นของจากสกุลเมิ่ง เขายิ่งไม่อยากแตะต้องเข้าไปใหญ่ เมิ่งลี่น่าหน้าเจื่อน ต่อให้หลิวซือเหว่ยรังเกียจนาง แต่เขาก็ยังต้องแต่งงานกับนางมิใช่หรือ คิดได้เช่นนั้นนางจึงเลือกไม่ยืนรบเร้ากั๋วกงหนุ่มต่อ
ไม่นานภาพเสมือนใบใหม่ก็ถูกนำมาให้เขา คราวนี้หลิวซือเหว่ยไม่ได้นำกลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีก องครักษ์เข้ารับภาพในมือเมิ่งเว่ย จากนั้นคลายปมเชือกที่ผูกไว้หละหลวม แล้วจึงคลี่ม้วนภาพออกแช่มช้าภาพใบหน้าของดรุณีแรกแย้มฉายชัดกระจะตา
เขาไม่คิดว่าใบหน้าคุณหนูรองเมิ่งจะจิ้มลิ้มชวนมองเพียงนี้ ต่างจากภาพก่อนลิบลับ คิ้วดุจกระบี่เคลื่อนเข้าหากันราวขบคิดบางสิ่ง
ไยนางจึงดูคุ้นตายิ่งนัก
โจวฉีค้อมกายลง กระซิบเสียงแผ่ว "นายท่าน นี่ไม่ใช่แม่นางที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษงั้นหรือ"
หลิวซือเหว่ยใจเต้นครึกโครม ว่าแล้วเชียวเหตุใดนางจึงมีใบหน้าคล้ายคนที่เขาเคยพบมาก่อน
เป็นนางเองงั้นหรือ
ยังไม่ทันไขข้อข้องใจ ผู้ติดตามอีกคนก็สาวเท้าเข้ามายืนขนาบด้านซ้ายของหลิวซือเหว่ย จากนั้นค้อมศีรษะกระซิบเสียงเบา "นายท่าน ภาพวาดนี่คล้ายสตรีที่ข้าน้อยพบที่วัดเจาเจินเลยขอรับ"
เมิ่งเว่ยเห็นท่าทีพลิกกลับของหลิวซือเหว่ยก็บังเกิดความงุนงง "กั๋วกง มิทราบว่าภาพวาดซินเอ๋อร์มีปัญหาที่ตรงใดอีกหรือขอรับ"
นัยน์ตาคมปลาบช้อนขึ้นแช่มช้า ริมฝีปากได้รูปขยับยกเสียงดุดัน "ใต้เท้าเมิ่ง ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับข้าเล่า"
^เสนาบดีกรมพระคลัง หรือหู่ปู้ (户部; 戶部) ทำหน้าที่เป็นกระทรวงการคลัง ดูแลการจัดเก็บภาษี รายได้แผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณไปยังสำนัก กรม กอง ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่คล้ายกรมทะเบียนราษฎร์ด้วย
บรรดาคนไร้บ้านรวมถึงผู้ยากไร้ต่างเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ยามนี้เมิ่งเว่ยและเมิ่งเหยียนซินพาลูกน้อง บ่าวไพร่ มาช่วยกันทำโรงทานตามที่ตั้งใจส่วนเมิ่งลี่น่าก็เอาแต่โวยวายร้องไห้ดั่งเสียสติ เริ่นอี้หร่านจึงอยู่ดูแลจิตใจอันบอบช้ำของบุตรีที่เรือน"ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู ท่านช่างน้ำใจงามยิ่งนักขอให้สกุลเมิ่งเจริญรุ่งเรือง มั่งมีเงินทองยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะเจ้าคะ"ใบหน้าคุณหนูรองเมิ่งประดับไปด้วยรอยยิ้มละไม แม้จะเหมื่อยขบจนแทบสิ้นแรง ทว่าคำอวยพรของเหล่าชาวบ้านกลับเป็นแรงผลักดันให้เมิ่งเหยียนซินคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดีเพราะโลกอีกด้านเมิ่งเหยียนซินเอาแต่นั่งจ้องจอแทบไม่ออกไปเจอโลกภายนอก ไม่ได้พบปะหรือช่วยเหลือผู้ใด กระทั่งทำบุญก็ยังโอนเงินออนไลน์"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย หากไม่อิ่มก็มาเติมได้นะเจ้าคะ ยังมีอีกเยอะเลย""เจ้าค่ะคุณหนู"สตรีวัยชราหลังโก่งค่อมค่อย ๆ หมุนกายออกไป เมิ่งเหยียนซินจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง "อ้อ...ท่านยายเจ้าคะ อย่าลืมไปรับเสื้อกันหนาวทางด้านโน้นนะเจ้าคะ"หญิงชราช้อนสายตาขึ้นจากนั้
"กั๋วกง ท่านว่านี่มันประหลาดเกินไปหรือไม่"หลิวซือเหว่ยเหลียวมองอดีตศัตรูหัวใจ แต่ยามนี้เขารู้สึกว่าตนได้ปล่อยวางเรื่องของคุณหนูลี่อย่างสนิทใจไปโดยไม่ทันรู้ตัว "แปลกมาก หลังเลิกประชุม เราคงต้องตรวจสอบบัญชีสกุลเมิ่งอีกครั้ง ส่วนของสกุลมู่ และสกุลลี่ ข้าเห็นยังมีจุดบกพร่องเล็กน้อย"องค์ชายสี่พยักหน้า "อ้อ...เมื่อครู่ใต้เท้าเมิ่งบอกว่าบุตรีของเขาช่วยดูแลบัญชีอีกแรง นี่พวกนางก็มีพรสวรรค์เฉกเช่นลี่เอ๋อร์หรอกหรือ เท่าที่ข้าเคยทราบคุณหนูใหญ่เมิ่งนางชมชอบบุปผาความงาม ส่วนคุณหนูรองเมิ่งเกิดป่วยจนพูดไม่ได้""องค์ชาย ท่านล้าหลังไปหน่อยกระมัง ยามนี้คุณหนูรองเมิ่ง นางอาการดีขึ้นแล้ว งานเลี้ยงน้ำชาท่านเอาแต่ใส่ใจลี่เอ๋อร์เสียจนมิสนหน้าไหนเลยสินะ"องค์ชายสี่กระแอมแก้เก้อ เขาเอาแต่สนใจคุณหนูลี่เพียงผู้เดียวจริงดังกั๋วกงว่า "หือ..."เสียงทุ้มที่กระซิบกระซาบสงบลงแล้วเมิ่งเว่ยเอ่ยต่อ "ทูลฝ่าบาทเป็นบุตรสาวคนรองของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นผู้ช่วยตรวจสอบบัญชีทั้งหมด""หืม...ประเสริฐ ประเสริฐจริงแท้ ใต้เท้าเมิ่ง เมื่อก่อนข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวคนรองของท่านป่
"ฮื่อ...ท่านพ่อ นี่ท่านทำอะไรเจ้าคะ เหตุใดต้องเอาของเหล่านี้ไปบริจาคจนแทบหมดจวน" เมิ่งลี่น่ามองตามหีบสมบัติตาละห้อยอยู่ ๆ บิดาของนางก็รื้อเอาทรัพย์สินในคลังออกไปเกินกว่าครึ่ง "น่าเอ๋อร์ ร้องไห้เป็นเด็ก พ่อบริจาคไปครึ่งเดียว ใช่ว่าทั้งหมดเสียหน่อย เราก็ยังมีกินมีใช้ไม่ใช่หรือ"คำว่ามีกินมีใช้ของเมิ่งเว่ยทำให้เมิ่งลี่น่ายิ่งแผดเสียงร้อง เริ่นอี้หร่านเห็นเช่นนั้นก็เข้ามาปลอบใจบุตรสาว "น่าเอ๋อร์ใจเย็น ๆ""ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ ไข่มุกราตรีนั่น ล้ำค่าเพียงใด ท่านพ่อก็ยังจะ ฮึก ยังจะบริจาค"เริ่นอี้หร่านก็จนใจ ถึงนางจะเป็นบุตรีขุนนางสกุลใหญ่ ครั้นออกเรือนแล้วก็นับเป็นคนนอก สามีตัดสินใจหรือคิดอ่านเช่นใดนางก็คร้านจะปราม ใช่ว่านางไม่เสียดายสมบัติเหล่านั้น กว่าจะมั่งมีได้ถึงทุกวันนี้มิใช่จากน้ำพักน้ำแรงของเมิ่งเว่ยหรอกหรือ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจขัดแย้งยามที่เขาตัดสินใจจะนำทรัพย์สินไปบริจาคเมิ่งเหยียนซินยืนมองลี่น่าการละครอยู่นานก็รู้สึกเอือมระอา ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง "นี่... พี่สาว ทรัพย์สมบัติของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ แต่ถ้าต
ณ จวนกั๋วกงหลังเกิดเรื่องในคืนนั้นหลิวซือเหว่ยไม่อาจสงบใจได้เลย คุณหนูรองเมิ่งนางช่วยคลายกำหนัดให้เขาจริง ทว่านางใช้วิธีการดูดเลียประหนึ่งกำลังทานของหวานแสนอร่อย ยิ่งหวนนึกถึงก็ยิ่งใจเต้นระส่ำ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำดั่งป่วยไข้"นายท่าน""...""นายท่านขอรับ""...""ท่านกั๋วกง"หลิวซือเหว่ยหลุดจากภวัง เขากระแอมเล็กน้อยเพื่อคลายความเก้อกระดาก"มีอะไร""เอ่อ...นายท่านยังรู้สึกไม่สบายตัวหรือขอรับ" โจวฉีเองก็ประดักประเดิดไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้นบาง ต่อให้คุณหนูรองบอกว่านางไม่คิดว่าเสื่อมเสียใด และยังไม่ได้มอบความบริสุทธิ์ให้กั๋วกง โจวฉีกลับไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวหนำซ้ำตั้งแต่นายของเขาหายจากอาการคลุ้มคลั่งใคร่อยากจนขาดสติก็ทำตัวประหลาดไปราวกับคนละคน"ข้าหายดีแล้ว""...นี่เป็นหยกของท่านขอรับ" โจวฉียื่นหยกลายวิจิตรไปเบื้องหน้า"อืม" หลิวซือเหว่ยรับอย่างขอไปที เขาหย่อนมันลงลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานโจวฉีงุนงง เดิมทีนายของเ
"ท่านพ่อหากท่านไม่เชื่อท่านก็มาดูให้เห็นกับตาเลยเจ้าค่ะ"เมิ่งลี่น่าพาบรรดาบ่าวไพร่ พร้อมบิดาและมารดาของตนแห่แหนมายังเรือนเล็ก เลี่ยงหรงเห็นเมิ่งเว่ยก็เบิกตาโต"เอ่อ นายท่าน คุณหนูยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ""หึ ก็แหงล่ะ นังเด็กบ้านั่นกำลังจะทำตระกูลเมิ่งเสื่อมเสีย" เมิ่งลี่น่ายังไม่หยุดปากตั้งแต่ขามาเลี่ยงหรงนิ่วหน้า "คุณหนูใหญ่หมายความว่าอย่างไรเจ้า""เจ้าก็อย่ามาทำเป็นไขสือ คุณหนูของเจ้ากำลังกกอยู่กับพวกนายโลมโคมเขียว เจ้าเองก็รู้เห็นไม่ใช่หรือไง""ไม่จริงนะเจ้าคะ""เอาล่ะน่าเอ๋อร์ เจ้าก็พอได้แล้ว น้องทำหรือไม่เดี๋ยวก็รู้เอง" เมิ่งเว่ยเหลียวมองเบื้องหลัง เอ่ยต่อด้วยความละเหี่ยใจ "แล้วนั่น ไยต้องให้บ่าวไพร่ยกโขยงกันมาด้วยเล่า""ทุกคนจะได้เห็นกระจะตาไงเจ้าคะ ว่าคุณหนูรองทำงามหน้าเพียงใด บุตรสาวไม่ทำตัวให้อยู่ในกรอบ ท่านพ่อว่าควรลงโทษหรือไม่ หรือว่าท่านก็จะลำเอียงอีก"เหตุการณ์ครั้งนี้หาใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนนางลอบเห็นเมิ่งเว่ยตั้งหน้าตั้งตาทำน้ำแกงรากบัวด้วยสีหน้าแช่มชื่น กระทั่งสอบถามบ
"ไม่ต้องร่ำไรแล้ว เอาเขานอนลง" เมิ่งเหยียนซินตะเบ็งเสียงโจวฉีพยักหน้า เลี่ยงหรงมาช่วยยื้อยุดร่างกำยำอีกแรง แขนล่ำสันถูกกางออกทั้งสองฝั่ง โจวฉีกดแขนนายของตนติดเสาหัวเตียงด้านขวา ส่วนเลี่ยงหรงพยายามจับไว้ทางด้านซ้าย ใบหน้าของนางแดงก่ำน้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อ"ฮื่อ...คุณหนู ข้าจะไม่ไหวแล้ว"เมิ่งเหยียนซินคลี่เชือกที่พันกันเสร็จก็เร่งเข้ามัดแขนของหลิวซือเหว่ยทางด้านซ้ายก่อน จากนั้นเร่งย้ายไปทางด้านขวา หลิวซือเหว่ยดิ้นรนขลุกขลัก กายของเขาราวถูกเพลิงโลกันตร์แผดเผาก็ไม่ปาน"ปล่อยข้า โจวฉี นี่เจ้าก็กล้าทำกับข้าอย่างนี้รึ""นายท่าน อภัยข้าน้อยด้วย หากท่านหายแล้วจะลงทัณฑ์ข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงท่านปลอดภัยเป็นพอ"เมิ่งเหยียนซินจิ๊ปาก คนที่ไม่ปลอดภัยคือนางต่างหาก นางเกือบถูกหลิวซือเหว่ยปู้ยี่ปู้ยำแล้วไม่เห็นหรืออย่างไร"กั๋วกง ท่านไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า"หลิวซือเหว่ยขบฟันแน่นเสียจนสันกรามนูนเด่น เขาพยายามควบคุมสติ ลมหายใจของเขาหอบถี่ดังฟึดฟัด "ข้าต้องตายแน่แท้ นี่เป็นแผนการของเจ้าใช่หรือไม่""เอ๊ะ ท่านนี่อย่างไร ยังจะกล่