โจวหรงเฉิงมาหาลู่จื้ออีกครั้งในวันต่อมา แต่เมื่อเข้ามาในห้องของนางก็ไม่พบว่ามีผู้ใดอยู่“เจ้าแอบหนีเข้าไปก่อนข้ามาถึงรึ” เขานั่งลงที่เตียงของนางอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ทั้งที่บอกกล่าวไว้แล้วว่าจะมาพบในวันนี้ แต่นางกลับไปรอเขา จนถึงเกือบฟ้าจะสว่างลู่จื้อนางก็ยังไม่ออกมา โจวหรงเฉิงจำต้องกลับไปที่จวนของเขาเพื่อเตรียมตัวไปทำงานตลอดทั้งวันอารมณ์ของโจวหรงเฉิงไม่คงที่นัก หากลูกน้องทำงานไม่ได้ตั้งใจ เขาจะโมโหมากกว่าปกติขึ้นอีกสองส่วน“รองผู้ตรวจการไปกินรังผึ้งที่ใดมาถึงได้ฉุนเฉียวเพียงนี้” เจ้าหน้าที่นครหลวงนินทาผู้เป็นนายลับหลังแม้แต่ตอนที่เขาไปพบเซียวซีซวนและหลินตงหยางในตอนเย็น คิ้วของเขาก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา“เป็นอันใด เจองานยุ่งยากเช่นนั้นรึ” หลินตงหยางเอ่ยถามสหาย ถึงแม้ว่าคิ้วของเขาจะขมวดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะมากกว่าเดิม“ไม่มีอันใด” เขาจะบอกสหายได้อย่างไรว่าเขาไปพบลู่จื้อที่เรือนตอนกลางคืนมิใช่เพียงโจวหรงเฉิงที่มีเรื่องให้คิด แม้แต่เซียวซีซวนเองก็เป็น ประเดี๋ยวเขาก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็ทำท่ากังวล“เจ้าอีกคน วันนี้เป็นอันใดกันไปหมด” หลินตงหยางเอ่ยออกมา เมื่อหันไปเห็นใบหน้าของ
ลู่จือที่เห็นเขาจ้องมองใบหน้าของนางอย่างตกตะลึง ก็เอ่ยปากไล่ให้เขาไปนั่งเดินลมปราณที่ด้านนอก“...” หากอาจารย์ของเขาได้รู้ว่านางใช้เวลาฝึกเพียงปีเดียวก็อยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้วคงได้กระอักเลือดออกมา“ท่านไปนั่งเดินลมปราณเถิด อ้อ...เกือบลืมไป หากท่านไปแช่น้ำในสระดอกบัวข้างศาลา จะช่วยให้ท่านเดินลมปราณได้เร็วขึ้น”“อืม...เข้าใจแล้ว” โจวหรงเฉิงหยิบตำราการฝึกหายใจติดมือมาด้วยก่อนจะอุ้มเสี่ยวเฮยไปที่สระดอกบัวแต่สิ่งที่ลู่จื้อไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องเดินลมปราณ หากนั่งสมาธิเดินลมปราณในสระดอกบัวจะยิ่งช่วยขยายเส้นลมปราณให้ใหญ่มากกว่าเดิม การเดินลมปราณเพื่อเลื่อนขั้นจึงเร็วขึ้นเรื่องนี้เสี่ยวเฮยตัวดีแอบบอกโจวหรงเฉิง หากลู่จื้อนางรู้ มันได้ถูกนางตีแน่ โทษฐานที่เลือกบอกโจวหรงเฉิงแต่ไม่ยอมบอกนางโจวหรงเฉิงที่กำหนดลมหายใจตามคำบอกของเสี่ยวเฮย เขารับรู้ได้ถึงลมปราณที่วิ่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ยิ่งได้อยู่ในน้ำจิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าพลังฟ้าดินภายในมิติจิต กำลังไหลเข้าสู้ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว“เกิดอันใดขึ้น” ลู่จื้อที่เป็นเจ้าของมิติจิต รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนางลุกออกจากห้องปรุงยาไปที่สร
ลู่จื้อส่งฟางซินให้สาวใช้ดูแลเสร็จนางก็เข้าห้องทันที จูบแรกของนางไม่ว่าจะภพที่แล้วหรือในภพนี้ คนที่ได้ไปคือโจวหรงเฉิง ความสับสนในใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“บ้าจริง” นางสบถออกมาอย่างหัวเสียลู่จื้อไม่ได้รู้เลยว่าตอนที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น โจวหรงเฉิงที่คิดว่ากลับจวนของเขาไปแล้ว จะย้อนกลับมาที่เรือนของนาง แล้วเข้ามาทางหน้าต่างพอนางจะหายตัวเขาไปในมิติ ฝ่ามือหนาของเขาก็จับเข้าที่ตัวของนางทันที“ท่าน!!!” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่กำลังประหลาดใจของโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ มิติของนางอยู่“นะ นี่ เป็นไปได้อย่างไร” ตอนนี้โจวหรงเฉิงมิได้สนใจว่าลู่จื้อนางจะมีโทสะเรื่องที่เขาเข้ามาได้อย่างไร เขากำลังสถานที่แปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความสนใจ“ข้าจะออกไปส่งท่าน” ลู่จื้อเอื้อมมือจะไปจับมือของโจวหรงเฉิง แต่เขายกหนีเสียก่อน ด้วยรู้ว่าสาเหตุที่เข้ามาได้ก็เพราะเขาสัมผัสที่ตัวนาง“ประเดี๋ยว ให้ข้าอยู่ต่อก่อน จื้อเออร์ที่นี่คือที่ใดกัน” เขามองมาที่นางอย่างไม่เข้าใจลู่จื้อถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก คนเราเมื่อถึงคราวซวยก็ช่างซวยเสียตลอดทั้งวัน“มิติจิตของข้า รู้แล้วจะออกไปได้หรือยัง”“ยัง เ
หลินตงหยางไล่ให้คณิกาทั้งห้องออกไปเสียก่อน ก่อนที่สหายทั้งสองจะระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่มีบุรุษคนใดที่เห็นสตรีที่ตนหมั้นหมายแล้วมาในสถานที่เช่นนี้แล้วจะพึงพอใจ"พวกเจ้าเล่นสนุกกันเกินไปแล้ว" เซียวซีซวนที่เห็นฟางซินก้มหน้าไม่รู้ว่านางอับอายหรือเสียใจที่พบตน แต่เขาก็ทำใจตำหนินางไม่ลง ได้แต่ถอนหายใจ"หรือคุณชายเซียวคิดว่าพวกท่านมาได้ แต่สตรีเช่นข้าทั้งสองมาไม่ได้" ลู่จื้อมองค้อนบุรุษทั้งสามที่แสดงท่าทีใจแคบ"กลับประเดี๋ยวนี้!!! ข้าจะไปส่ง" โจวหรงเฉิงที่กดข่มอารมณ์ได้แล้วก็เอ่ยปากขึ้น"ไม่รบกวนใต้เท้าโจวเจ้าค่ะ พวกข้าเพิ่งจะมาถึง เชิญพวกท่านหาความสำราญตามสบายเจ้าค่ะ" ลู่จื้อยังไม่อยากจะกลับ หญิงคณิกาพวกนั้นทำให้ชีวิตในเมืองหลวงที่น่าเบื่อหน่ายหลายวันมานี้มีสีสันมากขึ้น"จื้อ เออร์ อย่าให้ข้าหมดความอดทน" ลู่จื้อ มองโจวหรงเฉิงที่เหมือนมองคนโง่ จะมาหมดความอดทนอะไรกัน นางยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลย"ซินซิน ข้าจะไปส่งเจ้ากลับจวน" ฟางซินรีบลุกขึ้นเดินก้มหน้ากลับไปพร้อมเซียวซีซวนทันที จนนางลืมลู่จื้อไปเลย“อ้าว...พี่หญิงจะทิ้งข้ารึ รอข้าด้วย" ลู่จื้อที่ได้สติก็รีบตามฟางซินไป"มากับข้า" โจวหรงเฉิงดึงมือของ
และวันที่นัดก็มาถึง ลู่จื้อพาฟางซินไปที่เรือนของนางเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ทั้งคู่ใส่ชุดบุรุษ สาวใช้ข้างกายที่พามาด้วยเป็นคนสนิทย่อมไม่พูดเรื่องนี้ออกไป เมื่อจับทั้งคู่แต่งตัว ก็กลายเป็นคุณชายรูปงามหากสาวใดได้สบตาคงลืมมิหลง ยิ่งลู่จื้อทำเป็นชายตามองสาวใช้ของฟางซินยังต้องเอามือทาบหน้าอก"คุณหนูจางอย่าไปมองสตรีที่ใดเช่นนี้นะเจ้าคะ" นางก้มหน้าลง"เพราะเหตุใด" ลู่จื้อถามขึ้นด้วยความสงสัย"เพราะบ่าวยังตกหลุมรักท่านเลยเจ้าค่ะ" สาวใช้ของฟางซินกับเสี่ยวถิงหัวเราะกันเสียงดังไปจนถึงเรือนของลู่เพ่ยกับหวังเหอรุ่ยบุรุษในบ้านเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเซียวซีซวนมาก็ไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านนอกเรือนของตนเลย จึงไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งสองวางแผนไปที่ใดกันคืนนี้ฟางซินจะค้างที่เรือนของลู่จื้อ เซียวซีซวนรับรองให้นางแล้ว ทางตระกูลเว่ยจึงไม่ได้ว่าอันใด และรู้ว่าบุตรีของตนเป็นเช่นไรจึงได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งสองสาวในชุดบุรุษยืนอยู่หน้าหอเลี่ยงซู หอคณิกาชื่อดังในเมืองหลวง ใครจะคิดว่าทั้งคู่จะนึกสนุกมาเที่ยวเล่นในสถานที่เช่นนี้ลู่จื้อ หยิบยกพกของโจวหรงเฉิงมาห้อยที่ข้างเอวของนางด้วย เพราะมันเข้ากับชุดบุรุษที่นางสวมใส
การเดินทางครั้งนี้ยังคงมีเสี่ยวถิงติดตามไปด้วย ห้องพักบนเรือถูกจองไว้ทั้งหมดสามห้อง ห้องกว้างขวางสมกับราคาที่เสียไปยิ่งนัก แม้จินเจาจะนอนกับเด็กทั้งสองของตระกูลอู๋ก็ไม่อึดอัดแต่อย่างใดการบริการที่จัดไว้ก็นับว่าใช้ได้ หากไม่อยากไปกินอาหารที่ห้องอาหารก็จะมีเสี่ยวเอ้อยกขึ้นมาส่งด้านบน ชั้นที่พวกลู่จื้ออยู่นั้นเป็นชั้นสาม มีทางบันไดขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าให้ด้วย มีห้องอาหารอยู่ในชั้นสามไม่ต้องลงไปด้านล่างของเรือแต่หากเป็นชั้นสองจะมีเพียงระเบียงด้านหน้าห้องพักเท่านั้นให้นั่งชมวิว ชั้นหนึ่งนอกจากจะเป็นห้องอาหารสำหรับคนที่เข้าพักชั้นสองกับชั้นหนึ่งแล้วก็เป็นห้องรวมสำหรับคนที่มีงบน้อยใช้ในการเดินทางการเดินทางโดยเรือก็ไม่ได้แย่อย่างที่ลู่จื้อนึกไว้ นางไม่ได้มีอาการเมาเรืออย่างที่คิด (มันจะมีได้ไง เจ้าเป็นผู้ฝึกตน) ที่เลือกเดินทางทางเรือ พวกบัณฑิตทั้งหมดจะต้องรีบไปรายงานตัวกับสำนักศึกษา หากรู้ตัวกันเร็วกว่านี้คงเดินทางด้วยรถม้าเช่นที่ผ่านมานับว่าการเดินทางด้วยเรือเร็วไม่น้อย เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเซียวซีซวนให้คนมารอรับที่ท่าเรือเพื่อนำทางไปส่งท