เมิ่งเจียวซินนั่งทำใจสักพัก ก่อนจะเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบเรือน พอเห็นบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17:00 – 18:59 น.)
หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงสิ่งที่คุณยายใบบัวเคยสอนเธอเอาไว้ว่า ‘ให้หาข้อดีในเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุด’ ก่อนที่เธอจะหลับตาของตัวเองลง แล้วคิดในใจว่า...
‘ดี! ที่นิยายเรื่องนี้ของอาหวงเป็นแนวจีนโบราณ’
‘ดี! ที่เราชอบอ่านนิยายแนวนี้อยู่แล้ว’
‘และโชคดี! ที่ชีวิตในโลกใบเดิมของเรามักจะได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหน่วยแพทย์อาสาอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันได้ช่วยฝึกให้เราต้องคอยตั้งรับ ปรับตัว และยังต้องคอยเตรียมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเวลานี้ เราก็แค่ต้องคอยรับมือ เตรียมทำทุกอย่าง และหาวิธีก้าวผ่านมันไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของโลกใบนี้ รวมไปถึงข้อมูลเบื้องต้นของพระเอกที่อาหวงได้บรรยายเอาไว้ในช่วงแรกของนิยาย...
โลกใบนี้ได้ถูกแบ่งเขตแดนและเขตการปกครองออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกคือส่วนของพวกมารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร อีกส่วนคือส่วนของพวกมนุษย์ ซึ่งถูกปกครองโดยเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เป็นมนุษย์
หลี่อวิ้นกุย พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นคนเผ่ามารที่มีเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง เนื่องจากในอดีตหลี่อวิ้นเซียนราชาปีศาจคนปัจจุบันเคยหนีมาใช้ชีวิตในฝั่งของพวกมนุษย์อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งในช่วงนั้นหลี่อวิ้นเซียนได้ลักลอบเข้าไปมีความสัมพันธ์กับเซียวชิงฮวาดรุณีน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามที่สุดในหมู่บ้าน โดยในช่วงเวลานั้นหลี่อวิ้นเซียนก็หาได้มีความสัมพันธ์กับเซียวชิงฮวาเพียงนางเดียว
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงวันที่หลี่อวิ้นเซียนต้องเดินทางกลับไปรับตำแหน่งราชาปีศาจ หลังจากวันนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้กลับมายังฝั่งของมนุษย์อีกเลย จึงไม่รู้ว่าในยามนั้นเซียวชิงฮวาได้เริ่มตั้งครรภ์บุตรของตัวเองขึ้นมาแล้ว
หลี่อวิ้นเซียนที่รับรู้มาตลอดว่า การตั้งครรภ์และการให้กำเนิดทารกเผ่ามารในแต่ละครั้งมีความเสี่ยงถึงชีวิตแล้วหาใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับสตรี โดยเฉพาะสตรีที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นทุกครั้งหลังจากเสร็จกิจเขาจึงมักจะบอกกับสตรีที่ตนเองไปมีความสัมพันธ์ด้วยเสมอว่า ให้รีบดื่มยาห้ามครรภ์ แต่ก็มักจะมีสตรีบางคนที่ดื้อรั้น และต้องการจะสานสัมพันธ์กับเขาต่อ จึงตั้งใจละเลยในสิ่งที่เขาบอก ซึ่งตัวหลี่อวิ้นเซียนเองก็หาได้สนใจไม่
เนื่องจากสตรีที่ตั้งครรภ์บุตรของคนเผ่ามารจะต้องสูญเสียพลังชีวิตเพื่อหล่อเลี้ยงบุตรในครรภ์จนกว่าจะถึงวันที่ให้กำเนิด แล้วยิ่งหากสตรีนางใดตั้งครรภ์บุตรของมารผู้สืบสายเลือดมารเข้มข้นแบบเขา หรือหากบุตรในครรภ์ของสตรีนางนั้นเป็นบุรุษ พลังชีวิตที่สตรีนางนั้นจะต้องใช้ในการหล่อเลี้ยงบุตรในครรภ์ก็จะยิ่งต้องใช้มากกว่าบุตรที่เป็นสตรี หรือบุตรที่เกิดจากสามีที่เป็นมารสายเลือดอื่นเป็นเท่าตัว แม้แต่กับสตรีเผ่ามารหรือสตรีเผ่าปีศาจเองก็ยังยากที่จะประคองครรภ์ไปจนถึงขั้นให้กำเนิดทารกออกมาได้
ดังนั้นการที่จะมีสตรีมนุษย์ตั้งครรภ์บุตรของเขาจนสามารถให้กำเนิดทารกออกมาได้นั้น ในความคิดของหลี่อวิ้นเซียนมันจึงถือเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เซียวชิงฮวาที่ตกอยู่ในห้วงของความรักจึงคิดไปเองว่า ที่ผ่านมาหลี่อวิ้นเซียนรักนางด้วยความจริงใจ นางเลยคิดจะสร้างครอบครัวกับอีกฝ่าย จึงตั้งใจไม่กินยาห้ามครรภ์ ซึ่งตัวหลี่อวิ้นเซียนเองแม้จะบอกเรื่องที่เจ้าตัวเป็นคนเผ่ามาร แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และการให้กำเนิดทารกเผ่ามารกับนาง ดังนั้นเมื่อเซียวชิงฮวารู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ นางจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็พยายามปกปิดแล้วเฝ้ารอการกลับมาของหลี่อวิ้นเซียน
จนเข้าสู่เดือนที่สามอาการแพ้ท้องรวมไปถึงสภาพร่างกายของเซียวชิงฮวาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง และแสดงออกมาให้คนในครอบครัวเห็น บิดามารดาของนางจึงทำการคาดคั้นเอาความจริงจากปากนาง จนนางต้องบอกเล่าเรื่องการตั้งครรภ์กับคนทั้งสอง แล้วถึงแม้ว่าผู้เป็นบิดามารดาจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำชิงสุกก่อนห่ามของนางมากแค่ไหน แต่ด้วยความที่เซียวชิงฮวาเป็นบุตรสาวคนโต และยังเป็นบุตรที่คนทั้งคู่ให้ความรักมากที่สุด บิดามารดาของนางจึงไม่อาจตัดใจขับไล่เซียวชิงฮวาออกจากตระกูล จึงทำได้เพียงส่งตัวนางแยกไปอยู่ที่เรือนพักหลังเก่าพร้อมกับมอบบ่าวรับใช้ให้ไปคอยดูแลนางเพียงแค่สามคน แล้วยังออกปากสั่งนางและบุตรที่กำลังจะถือกำเนิดห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนหลังนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เซียวชิงเถาน้องสาวของเซียวชิงฮวาด้วยความสงสารส่วนหนึ่ง แล้วด้วยเพราะนางเคยเห็นบุรุษที่มีความสัมพันธ์กับผู้เป็นพี่สาว นางเลยคิดจะหาประโยชน์จากความร่ำรวยของอีกฝ่าย นางจึงออกปากรับอาสาคอยส่งของกินของใช้ และจะคอยแวะเวียนเข้าไปดูแลเซียวชิงฮวาแทนผู้เป็นบิดามารดา เนื่องจากตระกูลเซียวมีอาชีพค้าขายผ้า บิดาของพวกนางจึงต้องออกเดินทางไปรับซื้อผ้าตามหัวเมืองต่าง ๆ กลับมาขายเลยไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่เรือนมากนัก ส่วนมารดาของพวกนางหลังจากส่งตัวเซียวชิงฮวาไปอยู่ที่เรือนหลังเก่า นางจึงต้องกลับเฝ้าดูแลหน้าร้านขายผ้าด้วยตัวเองอีกครั้ง นางจึงไม่มีเวลาเข้าไปดูแลบุตรสาวคนโตในช่วงเวลานั้น
เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่สี่เซียวชิงฮวาก็เริ่มมีอาการแพ้ท้องหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วที่สำคัญร่างกายของนางก็เริ่มทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ
ส่วนเซียวชิงเถาหลังจากคอยเฝ้าดูแลเซียวชิงฮวามาได้สักพัก จากความสงสารนางก็เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่าย คือ ตัวภาระของนาง ในยามนั้นนางคิดว่าตนเองคงจะหาประโยชน์จากผู้เป็นพี่สาวไม่ได้แล้วเป็นแน่ นางจึงเริ่มละเลยไม่เข้าไปดูแล แล้วยังให้บ่าวในเรือนหลักเป็นคนไปส่งของกินของใช้ให้กับผู้เป็นพี่สาวแทนนาง ซึ่งเซียวชิงเถาได้ทำเช่นนั้นไปจนถึงวันที่ครรภ์ของเซียวชิงฮวาเข้าสู่เดือนที่เจ็ด
หลังจากที่เซียวชิงเถาไม่ได้เข้าไปดูแลผู้เป็นพี่สาวมาเกือบสามเดือน นางจึงตั้งใจจะแวะเข้าไปดูแลอีกฝ่ายด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วเมื่อนางได้เข้าไปเห็นสภาพของเซียวชิงฮวาซึ่งไม่ต่างอะไรเลยกับคนที่ใกล้จะตาย นางจึงรีบกลับมาบอกผู้เป็นบิดามารดาของพวกนาง
บิดามารดาของเซียวชิงฮวาแม้จะโกรธเคืองที่เซียวชิงเถาละทิ้งพี่สาวของเจ้าตัวมากแค่ไหน แต่ก็ด้วยเพราะคนทั้งสองก็ละเลยบุตรสาวไม่ต่างไปจากนาง คนทั้งคู่จึงได้แต่ตามหมอให้เข้ามาช่วยยื้อชีวิตของเซียวชิงฮวาและบุตรในครรภ์ของนางเอาไว้ แต่ไม่ว่าคนทั้งคู่จะตามหมอท่านใดมารักษา หมอทุกท่านก็ได้แต่บอกกับคนทั้งคู่ว่าให้เตรียมทำใจ เพราะอาจจะยื้อได้เพียงแค่หนึ่งชีวิต หรือไม่ก็อาจจะต้องสูญเสียทั้งสองชีวิตไปพร้อมกัน
เซียวชิงฮวาเมื่อได้รับรู้ถึงสภาพร่างกายของตัวเอง และเรื่องที่นางกับบุตรในครรภ์กำลังเผชิญอยู่ นางจึงเอ่ยปากขอร้องกับท่านหมอคนสุดท้ายที่ผู้เป็นบิดามารดาพามาตรวจดูอาการของนาง โดยให้อีกฝ่ายเลือกช่วยเพียงชีวิตของบุตรในครรภ์เท่านั้นไม่ต้องสนใจสภาพร่างกายของนาง
ซึ่งเซียวชิงฮวาก็สามารถประคองลมหายใจสุดท้ายของตัวเองเพื่อให้กำเนิดบุตรในครรภ์ออกมาจนได้ โดยก่อนที่นางจะจากไป เซียวชิงฮวาก็ได้ตั้งนามบุตรชายของนางเอาไว้ว่า...หลี่อวิ้นกุย
“ซินซิน” “วันนี้ทำ...” เมิ่งเจียวซินที่กำลังเงยหน้าขึ้นไปกล่าวทักทายผู้เป็นสามีหยุดชะงัก ก่อนจะดึงสายตากลับมา แล้วก้มลงไปมองบุตรชายกับบุตรสาวที่วิ่งเข้ามากอดขาของเธอคนละข้าง “แม่...แม่ อุ้ม!” น้องน้ำเอ่ยร้องขอ พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนให้ผู้เป็นมารดา เมิ่งเจียวซินโน้มตัวลงไปอุ้มบุตรสาวขึ้นมา ส่วนบุตรชายยังคงยืนกอดขา หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก เพราะบุตรทั้งสองหวงมารดามาก น่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนเจ็ดเดือนได้กระมัง ที่แฝดชายหญิงติดหนึบ และเริ่มหวงมารดา หากตื่นมาแล้วไม่เห็นมารดาอยู่ในระยะสายตา หรือเห็นเขาอยู่ใกล้ชิดเมิ่งเจียวซินมากจนเกินไป ก็จะพากันร้องไห้ขึ้นมาทันที ในช่วงแรก ๆ เขาแทบจะรับมือไม่ได้ แต่ทว่าตอนนี้...หึ!
หลี่อวิ้นกุยมองเมิ่งเจียวซินที่นอนใบหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง เขาจับมือของเธอเอาไว้แน่น เขาจะไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน หากสตรีที่เขารักยังไม่รู้สึกตัว เวลานี้หลี่อวิ้นกุยยังรู้สึกสะเทือนใจ และยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้เห็นสตรีตรงหน้ารับมือกับการคลอดบุตร โดยที่เขาไม่อาจช่วยอะไรอีกฝ่ายได้เลย ซึ่งทั้ง ๆ ที่หลี่อวิ้นกุยล้มเลิกความคิดเรื่องอยากให้เมิ่งเจียวซินตั้งครรภ์แฝดไปแล้ว เขาอยากให้เธอตั้งครรภ์แบบเดี่ยวมากกว่า แต่ทว่าสุดท้ายภรรยาของเขากลับตั้งครรภ์แฝดเสียอย่างนั้น ถึงแม้ว่า...จะเป็นการตั้งครรภ์แฝดแบบธรรมชาติ แต่ในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินตั้งครรภ์ สตรีที่เขารักต้องเผชิญหน้ากับภาวะแท้งคุกคาม และภาวะครรภ์เสี่ยงอีกตั้งหลายอย่าง แล้วไหนจะความยากลำบากในการดำเนินชีวิตแต่ละวันของเธออีก หลี่อวิ้นกุยถึงจะช่วยรับหน้าที่แพ้ท้องแทนเมิ่งเจียวซิน แต่มันเที
เมิ่งเจียวซินชะงัก เนื่องจากเรื่องนี้เธอไม่ได้คิดถึงเลยด้วยซ้ำ แล้วการที่อยู่ ๆ คุณยายใบบัวถามเรื่องนี้ขึ้นมา คงเพราะอยากจะชวนพวกเธอเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นแน่! ซึ่งยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยแก้สถานการณ์ หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวขึ้นมาว่า... “ผมแล้วแต่ซินซินเลยครับ แต่บ้านหลังใหม่ผมได้ทำห้องเผื่อเอาไว้แล้วสามห้องครับ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาเมิ่งเจียวซินเผลอหันไปจ้องหน้าของบุรุษหนุ่มข้างกายอยู่ครู่หนึ่ง อาจเพราะผลพวงจากโลกนิยายเธอจึงคิดไปเองว่า หลี่อวิ้นกุยอาจจะไม่อยากมีบุตรก็ได้ เธอจึงไม่เคยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคิดอีกเลย แล้วในระหว่างนั้นคุณยายใบบัวก็เริ่มถามต่อว่า หลังแต่งงานจะมีเลยไหม? อยากให้บุตรคนแรกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? คุณใหญ่ชอบเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงมากกว่ากัน?&nb
วันนี้คือ วันแรกที่หลี่อวิ้นกุยได้กลับมาทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูร่างกาย หลังจากห่างหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้น... แล้วถึงแม้ว่า ช่วงที่ผ่านมาบุรุษหนุ่มข้างกายจะทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูร่างกายไม่ได้ แต่เมิ่งเจียวซินก็ช่วยบริหารร่างกาย และทำกายภาพบำบัดแบบเบา ๆ ให้หลี่อวิ้นกุยบนเตียงนอน แล้วยังปล่อยให้อีกฝ่ายดูแลช่วยเหลือตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การขยับขึ้นลงจากเตียง เพื่อไปเข้าห้องน้ำ เป็นต้น พอได้กลับมาทำตามโปรแกรมกายภาพบำบัดฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง จึงไม่เกิดการติดขัด หรือเจ็บกล้ามเนื้อส่วนสะโพก และช่วงขาตอนขยับมากนัก เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยกลับมามุ่งมั่นทำตามโปรแกรมที่วางไว้ในแต่ละวันอย่างตั้งใจ อีกฝ่ายไม่ได้หักโหมอย่างในช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว เธอก็รู้สึกดี และรู้สึกสบายใจมาก &n
ปัญหาที่สองคือ เรื่องอุบัติเหตุในคืนนั้น... หลังจากหลี่อวิ้นกุยฟื้นคืนสติในโลกใบนี้ได้สองวัน คุณปู่หลี่อวิ้นเจียงก็เล่าให้ฟังว่า ทางตำรวจได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนแล้วว่า แม่เลี้ยงของเขาเป็นคนอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุในคืนนั้น...สตรีวัยกลางคนผู้นั้นได้จ้างวานคนงานในคฤหาสน์ตัดสายเบรกรถยนต์ของเขา แล้วนอกจากเรื่องอุบัติเหตุ สตรีวัยกลางคนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมือปืนที่แฝงตัวเข้ามาเก็บหลี่อวิ้นกุยถึงในคฤหาสน์ตระกูลหลี่ด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบเจ็ดเดือนแล้ว ตำรวจยังตามจับตัวแม่เลี้ยงของเขาไม่ได้ ถ้าหากหลี่อวิ้นกุยยังอยู่ในโลกนิยาย...เขาคงส่งคนของตัวเองไปลงมือสังหารสตรีวัยกลางคนผู้นั้นทิ้งไปแล้ว! แต่เพราะในโลกใบนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาจึงได้แต่ต้องหาทางบีบอีกฝ่ายให้เผยตัวออกมาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากหลี่อวิ้นกุยอยากจบปัญหานี้ให้ได้ก่อนแต่งงาน เขาจึงพูดกับ
เมิ่งเจียวซินเฝ้ามองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังพยายามฝืนฝึกเดินบนราวด้วยความรู้สึกเป็นห่วง และปวดใจ เธอรู้ว่า บุรุษหนุ่มข้างกายอยากรีบกลับมาเดินให้ได้ แต่หากฝืนมากจนเกินไป มันจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี สามเดือนที่ผ่านมา...เมิ่งเจียวซินรับรู้ และเห็นมาโดยตลอดว่า หลี่อวิ้นกุยทั้งตั้งใจ อดทน และพยามยามทำทุกอย่างตามโปรแกรมกายภาพบำบัด และอดทนทำตามคำแนะนำของคุณหมอนพชัยทุกประการ แต่พอคุณยายใบบัวกับท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงนำฤกษ์แต่งงานของพวกเธอเข้ามาให้ดู อย่างเร็วสุดคือ กลางเดือนกันยายน หรือก็คือในอีกสามเดือนข้างหน้า แล้วถ้าหากจัดงานแต่งในฤกษ์นี้ไม่ทัน ก็คงต้องรอไปอีกสองปี ถึงจะมีฤกษ์ดีสำหรับพวกเธออีกครั้ง ซึ่งเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยเห็นตรงกันว่า จะจัดงานแต่งในปีนี้เลย คราแรกคุณยายใบบัวกับท่านเจ้าสัวมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่พอเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยช่วยกันพูดเกลี่ยกล่อม เ