เมิ่งเจียวซินรีบสลัดสิ่งที่คิดออกจากสมอง แล้วลองตอบกลับอีกฝ่ายทางจิต
‘ได้ค่ะ’
(เงื่อนไขอย่างแรก เป็นสิ่งที่โฮสต์จะต้องรับรู้ คือ เวลาในโลกใบนี้หากเทียบกับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์จะแตกต่างกันอยู่สามสิบวันค่ะ หมายถึง เวลาที่โฮสต์ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สามสิบวันจะเทียบเท่ากับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
เงื่อนไขอย่างที่สอง คือ เรื่องที่ทางเราเปิดระบบพิเศษให้กับโฮสต์ภายใต้ชื่อที่ว่า ‘รับรู้แล้วแก้ไขไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วยชีวิตจริง’ ความหมายก็ตรงตามนั้นเลยว่า ชีวิตในโลกใบนี้เปรียบประดุจดังชีวิตจริงของโฮสต์ เพราะในโลกใบนี้โฮสต์ทั้งบาดเจ็บได้ เจ็บป่วยได้ ตายจริง และมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ซึ่งถ้าหากโฮสต์เสียชีวิตลงในโลกใบนี้ ก่อนจะทำภารกิจที่ทางระบบมอบให้เสร็จ อีกร่างหนึ่งในโลกใบเดิมของโฮสต์ก็จะเสียชีวิตลงไปด้วยทันทีค่ะ ดังนั้นสองปีในโลกใบนี้โฮสต์จะต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี แต่ทางเราก็มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มให้กับโฮสต์ด้วยนะคะ
คือ...ตัวละครตัวนี้หากเป็นไปตามบทเดิมจะต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากในช่วงเวลานั้นโฮสต์ทำภารกิจสามในห้าสำเร็จ โฮสต์ก็จะสามารถเรียกหาระบบ เพื่อขอกลับไปยังโลกใบเดิมในช่วงเวลานั้นได้ค่ะ
เงื่อนไขอย่างที่สาม โฮสต์มีอิสระในการใช้ชีวิตเป็นตัวละครตัวนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องยึดนิสัยเดิม และไม่ต้องยึดเนื้อหาในนิยาย โฮสต์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจต้องการเลยค่ะ ขอเพียงแค่โฮสต์ทำภารกิจที่ทางเรามอบให้สำเร็จก็พอค่ะ
เงื่อนไขอย่างที่สี่ หากโฮสต์ทำภารกิจไม่สำเร็จตามระยะเวลาที่ได้รับมอบหมาย พอครบสองปีชีวิตของโฮสต์ก็จะจบลงทันที ทั้งชีวิตในโลกใบนี้และชีวิตในโลกใบเดิมของโฮสต์ด้วยค่ะ)
หลังจากฟังเงื่อนไขทั้งสี่ข้อจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกว่า เงื่อนไขที่ทางระบบให้มาก็ไม่ถึงกับแย่ ซึ่งในบางข้อดูเหมือนจะช่วยทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างสะดวกขึ้นเสียด้วยซ้ำ
(ต่อไปทางระบบขอแจ้งเรื่องภารกิจค่ะ
ภารกิจแรก โฮสต์จะต้องสอนให้พระเอกนิยายเรื่องนี้รู้จักกับคำว่า ‘รัก’ ไม่ว่าจะเป็นรักในรูปแบบไหนก็ตาม รวมไปถึงการรักชีวิตของตัวเองด้วยค่ะ
ภารกิจที่สอง โฮสต์จะต้องสอนให้พระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้จักกับคำว่า ‘ครอบครัว’ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘ครอบครัว’ ด้วยค่ะ
ภารกิจที่สาม โฮสต์จะต้องสอนให้พระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้จักความสัมพันธ์ทางกายในรูปแบบที่ถูกต้อง แล้วถ้าหากเป็นไปได้ โฮสต์ก็ช่วยสอนความต่างระหว่างความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นจากความรักกับความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นจากความต้องการทางธรรมชาติของบุรุษเพศด้วยก็จะดีนะคะ
ภารกิจที่สี่ โฮสต์จะต้องสอนให้พระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้จักกับคำว่า ‘ปล่อยวาง’ รวมไปถึงการละทิ้งซึ่งความแค้น การโทษตัวเอง และรู้จักกับการให้อภัยค่ะ
ภารกิจที่ห้า โฮสต์จะต้องคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นคนฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่? ออกมาให้ได้ค่ะ
ก่อนจะไปทางระบบขอเตือนว่า โฮสต์จะต้องทำสำเร็จสามในห้าภารกิจภายในระยะเวลาสองปีเท่านั้น จึงจะสามารถกลับไปยังโลกใบเดิมของโฮสต์ได้ จากนี้ทางระบบขอให้โฮสต์มีความสุขกับการใช้ชีวิตในโลกใบนี้นะคะ อย่างเร็วพวกเราก็อาจจะได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งในหนึ่งปีข้างหน้าค่ะ)
‘เดี๋ยวก่อนค่ะ ทางระบบจะไม่มอบของวิเศษหรือพลังวิเศษ ให้กับฉันบ้างเลยหรือคะ?’
(ไม่มีค่ะ โชคดีนะคะโฮสต์)
‘เดี๋ยว! ระบบ! อย่าเพิ่งไป...ระบบ ระบบ ทิ้งกันแบบนี้เลยหรือนี่!!’
หลังจากพยายามทั้งเรียกหาและคิดหาไปได้สักพัก ระบบก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับมา เวลานี้ในสมองของเมิ่งเจียวซินมีเพียงสามคำถามที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า...
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ?’
‘ทำไมถึงต้องเป็นเธอ?’
‘แล้วทำไมภารกิจที่เธอได้รับมาทั้งหมดถึงต้องมุ่งตรงไปที่ตัวพระเอกของนิยายเรื่องนี้ด้วย?’
ซึ่งระบบที่น่าจะพอตอบคำถามพวกนี้ได้ เวลานี้ก็ได้หนีหายไปเสียแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงได้แต่นั่งรวบรวมสติและพยายามเรียบเรียงทุกข้อมูล
โดยเท่าที่เมิ่งเจียวซินพอจะจับใจความได้ก็คือ ในโลกใบเดิมเธอมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ยี่สิบสี่วันเท่านั้น แต่พอเธอถูกดึงเข้ามาในโลกใบนี้ เวลาชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอจึงถูกทำให้ยาวนานขึ้นเป็นสองปี แล้วถ้าหากเธอสามารถทำภารกิจที่ทางระบบมอบหมายมาสำเร็จสามในห้าข้อ เธอก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตยังโลกใบเดิมแบบปกติสุขได้อีกนาน แต่คำว่า ‘อีกนาน’ ของระบบ นั่นคือนานได้แค่ไหนกันล่ะ แต่ก็คงจะนานกว่ายี่สิบสี่วันที่เธอมีอยู่ในตอนนี้สินะ!
‘นี่มันใช่เวลามานั่งประชดชีวิตอยู่หรือใบหม่อน ในเมื่อยังพอมีโอกาส...’ เมิ่งเจียวซินกำมือทั้งสองข้างจนแน่น
‘คุณยายบัวรอหม่อนก่อนนะคะ หม่อนจะรีบกลับไปหาค่ะ’ เมื่อคิดได้ดังนั้น เมิ่งเจียวซินจึงรีบยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เริ่มรินไหลออกมาอย่างลวก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปนั่งส่องกระจกทองเหลือง เพื่อทำความรู้จักกับร่างที่เธอต้องอาศัยอยู่หลังจากนี้
‘ใบหน้านี้มัน...’ เมิ่งเจียวซินจ้องมองเงาสะท้อนในกระจก ไม่ว่าจะหันมองมุมไหนมันก็ช่างคล้ายกับใบหน้าของตัวเธอตอนอายุสิบสี่สิบห้า
ซึ่งเมิ่งเจียวซินในโลกใบเดิมเวลานี้อายุของเธอก็ได้ย่างเข้าสู่ปีที่ยี่สิบห้าแล้ว พอได้มาเห็นใบหน้าของตัวละครและได้รับรู้ว่าร่างที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่น
เวลานี้เมิ่งเจียวซินจึงเชื่อแล้วว่า ตัวละครตัวนี้มีเธอเป็นต้นแบบอย่างแท้จริง แต่จะยกเว้นก็เพียงแค่นิสัยบางอย่างของตัวละครเท่านั้น ที่ไม่เหมือน...
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
เมิ่งเจียวซินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติเพ่งมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เธอเห็นหลี่อวิ้นกุยควบม้าตะบึงนำเหล่าองครักษ์ออกจากเขตวังราชาปีศาจ จากที่เธอสังเกตราวกับว่า...มีกล้องวีดีโอคอยตามถ่ายความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นกุย แล้วส่งเรื่องราวเหล่านั้นมาให้เธอดู เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยนำเหล่าองครักษ์เข้าต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำที่กำลังโจมตีขบวนรถม้า... หากวัดจากจำนวนคน...ฝ่ายของหลี่อวิ้นกุยน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเท่าตัว แต่ทว่าหากวัดจากฝีมือการต่อสู้ และพลังที่ปล่อยออกมา ฝ่ายของบุรุษที่เธอรักดูเหนือกว่ามาก ในขณะที่หลี่อวิ้นกุยต้องรับมือกับเหล่าศัตรูถึงห้าคนพร้อมกัน เจ้าตัวเกิดพลาดถูกดาบของหนึ่งในห้าฟันเข้าที่ต้นแขนข้างขวา แล้วแทนที่เลือดจะไหลซึมออกมาเป็นสีแดง แต่ทว่ามันกลับเป็นสีดำ!
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบปากกา เธอยื่นมันกลับไปให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ระหว่างนั้นคุณหมอนพชัยก็เชิญเธอลงมานั่งพูดคุยด้วย แต่ทว่า... “ผมเซ็นยินยอมเข้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ตอนนี้คุณหมอนพชัยควรเก็บเอกสารส่วนตัวของผมทั้งหมดกลับเข้าไปในแฟ้ม แล้วผมจำได้...เมื่อครู่คุณหมอนพชัยบอกว่า ช่วงสายมีเคสผ่าตัดไม่ใช่หรือครับ?” “ครับ...จริงด้วยครับ อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” เมิ่งเจียวซินขยับลงไปนั่งที่เก้าอี้ เธอจ้องมองบุรุษหนุ่มบนรถเข็น แม้แต่สีหน้า และท่าทีเวลาข่มขู่ผู้อื่น บุรุษหนุ่มก็ยังเหมือนกับคนในความทรงจำของเธอ เมื่อคุณหมอนพชัยเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเจียวซินก็เห็นคุณใหญ่หันกลับมา แล้วเตรียมอ้าปากเหมือนจะพูด เธอจึงชิงถามออกไปก่อนว่า
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติ ปรับลมหายใจ อาจเพราะเธอรู้ชื่อจริงของคุณใหญ่จึงได้รู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้ พอรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้ เมิ่งเจียวซินจึงรับรู้ว่า พ่อบ้านเจิ้งกำลังเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แล้วด้วยความที่ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่แรก เธอจึงหันไปทำทีพยักหน้า พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เริ่มฟังว่า บุรุษสูงวัยกำลังเล่าเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าก็คือ เรื่องเดียวกับที่คุณยายใบบัวเพิ่งจะเล่าให้เธอฟัง แล้วในขณะที่เมิ่งเจียวซินหันไปให้ความสนใจกับพ่อบ้านเจิ้ง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา แต่พอเธอหันไปทางนั้น...ผู้ที่แอบมองกลับรีบก้มหน้าหลบตา เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินจึงลอบสังเกตฝ่ายตรงข้าม คุณใหญ่หลี่อวิ้นกุยมีอายุน้อยกว่าเธอสองปี แล้วเกือบสามเดือนที่ผ่านมา...เจ้าตัวนอนหลับอยู่บ
ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข็นรถอาหารเข้ามาในห้องพัก จากนั้นพยาบาลคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาปรับเตียง พร้อมกับจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทานอาหารให้กับเมิ่งเจียวซินจนเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง เมิ่งเจียวซินยื่นมือออกไปเตรียมจะหยิบช้อน แต่ทว่าคุณยายใบบัวก็ชิงหยิบช้อนตัดหน้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ตักข้าวต้มกุ้ง แล้วยื่นมาชิดที่ริมฝีปากของเธอ “บาดแผลที่บ่าเพิ่งจะสมานกัน คุณหมอสั่งว่า ช่วงนี้ใบหม่อนควรเคลื่อนไหวแขนข้างขวาให้น้อยนะลูก” เมิ่งเจียวซินพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพราะรู้ดีว่า ช่วงที่เธอนอนไม่ได้สติเกือบเก้าวันคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงมาก เวลานี้คุณยายใบบัวอยากทำอะไร เธอก็จะยอมตามใจทุกอย่าง เธอส่งยิ้มปลอบโยนให้ผู้เป็นยาย ก่อนจะอ้าปาก แล้วในขณะนั้นภาพของใครอีกคนที่เมิ่งเจียวซินยอมให้ป้อนอาหารใส่ปากก็ทับซ้อนกับสตรีส
เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพดานห้องที่ดูเหมือนจะทั้งคุ้น และไม่คุ้นตา ยามนี้นางรู้สึกมึน และรู้สึกปวดศีรษะมาก นางจึงหลับตาลง แล้วลองลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ จากนั้นจึงก้มลงไปมองสำรวจร่างกายของตัวเอง... ‘ผ้าห่มโรงพยาบาล ผ้าก๊อซ สายน้ำกลือ?’ เมิ่งเจียวซินละสายตาจากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนมือข้างซ้าย จากนั้นก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง นางเห็นคุณยายใบบัวกำลังนั่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับหมอ และพยาบาลอยู่ที่โซฟา แล้วเมื่อคนทั้งสามหันมาสบตากับนาง “ใบหม่อน! หนูฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างลูก? เจ็บตรงไหนบ้าง?” เมิ่งเจียวซินมองคุณยายใบบัว หมอ และพยาบาลที่เดินเข้ามาสอบถาม แล้วไล่ตรวจดูร่างกายของนาง โดยในระหว่างนั้นเมิ่งเจียวซินสังเกตเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากผู้เป็นยาย รวมไปถึงน้ำตาที่ไ
หลังจากนั่งพูดคุยวางแผนทั้งตั้งรับ และสู้กลับเกือบสองชั่วยาม หลี่อวิ้นกุยก็รีบขอตัวกลับไปป้อนยาเมิ่งเจียวซินที่ตำหนัก ก่อนออกมาเขาได้ฝากจิ่นโซวกับโจวหลิวอิงดูแลความปลอดภัยของผู้เป็นบิดา เพราะถึงพวกเขาจะสั่งปิดเส้นทางลับใต้ดินไปแล้ว และยังส่งเหล่าทหารไปเฝ้าหน้าปากทางเข้าออก แต่ทว่าจะประมาทคนมากเล่ห์เจ้าแผนการอย่างหลี่อวิ้นหยางไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อกลับมาถึงตำหนัก หลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรายงานว่า ยามนี้ขบวนรถม้าของเมิ่งเจียวฉือเข้ามาในเขตของเผ่ามารแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้องครักษ์รีบไปดูที่ประตูพระราชวังทางทิศตะวันออก หากปลอดภัยก็ให้ผู้นำขบวนรถม้าพาเมิ่งเจียวฉือเข้ามาทางประตูนั้นได้เลย แต่ถ้าหากดูแล้วน่าจะไม่ปลอดภัย หรือน่าจะเกิดปัญหาในขณะเคลื่อนขบวนรถม้าเข้ามา ก็ให้รีบไปแจ้งผู้นำขบวนถอยขบวนรถม้าไปพักที่จวนตระกูลโจวก่อน เมื่อสั่งการเสร็จ หลี่อวิ้นกุยก็รีบปรับลมหายใจ รวบรวมสติ พอสงบใจลงได้ เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวซิน&n