บัดนี้'เสี่ยวเยา'กลับกลายเป็น'ยู่หลง'ทหารชั้นผู้น้อย ที่ต้องไปรายงานตัวกับท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย แม้ชุดทหารนั้นหนาแน่นเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดเรือนร่างซูบผอมของนางไว้ได้ ดวงตาทุกคู่ของสหายร่วมทัพต่างเพ่งมองมายังร่างของนางด้วยความใคร่รู้ บ้างก็ยังซุบซิบนินทา หัวเราะเยาะเย้ยว่านางนั้น ผอมแห้งแรงน้อย จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาต่อกรผู้อื่นได้ ไม่แม้แต่จะผ่านด่านคัดเลือกเป็นทหารไปได้แน่นอน แต่ทว่ายังดีที่โชคชะตายังเข้าข้างนาง ไม่มีผู้ใดครางแครงใจในตัวตนที่แท้จริงของตนก็เพียงพอแล้ว ไม่รีรอต่างมุ่งหน้าไปยังจวนท่านแม่ทัพ ดวงตาสวยยังคงสอดส่องเหล่าทหารหน้าใหม่ ต่างยืนอย่างสง่าผ่าเผย แววตามุ่งมั่น ตั้งใจ ไร้ความกลัวแต่อย่างใด ช่างน่าประทับใจเสียจริง ยกเว้นแต่นาง ที่ยังคงครางแครงใจว่า เหตุใดถึงทะลุมิติมาที่แห่งนี้ได้ "ข้า เฟ่ยหลง คาราวะท่านแม่ทัพ"น้ำเสียงเข้มขึมเรียกสตินางคืนกลับมา แท้จริงนี้คือนามของทหารผู้น้อยท่านนี้ ท่าทางเคร่งขรึมช่างแตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ทหารทุกคนต่างแสดงความเคารพอีก ทั้งยังรายงายชื่อของตนเอง ต่อท่านแม่ทัพผู้นี้จนกระทั้งถึงทีของเสี่ยวเยาแล้ว "อะ แฮ้ม!ข้ายู่หลง คาราวะท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย" ยังดีที่เธอเรียนรู้สำนวน และมารยาทมาบ้างจึงทำให้พูด และปฏิบัติตนตามพวกเขาได้ เสี่ยวเยาอมยิ้มเล็กน้อย อย่างภาคภูมิใจในความสามารถของตน โดยนางไม่ทันระวังตัวว่า รอยยิ้มนั้นได้ไปสะกิดต่อมความสงสัยของท่านแม่ทัพผู้นี้ที่ไม่เคยเมตตา อ่อนข้อให้กับผู้ใด "ยู่หลงเหรอ!" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นก่อนจะลุกขึ้นมุ่งตรงมายังนาง หากจำไม่ผิดเขาเคยได้ยินว่าเหมยหลินมีน้องชาย ชื่อ ยู่หลง จะใช่คนเดียวกันที่ยืนตรงหน้าตนตอนนี้หรือไม่! แววตาที่เย็นคู่นั้น เพ่งมองเสี่ยวเยาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเผยยิ้มตรงมุมปากอย่างมีเลคนัย "เยี่ยงนั้น ทหารอ่อนแอ่นผู้นี้ ก็คือ บุตรชายตระกูลยู่สินะ! หึหึ"เสียงหัวเราะในลำคอ ทำให้เสี่ยวเยาขนลุกซู่ อย่างแปลกประหลาดอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว 'คงไม่เกิดเรื่องไม่ดีกับเราหรอกนะ!ทำไงดี? หากตอบว่าใช่ จะเกิดอะไรขึ้นกับเราไหม? คิดซิเสี่ยวเยา จะหลีกเลี่ยงก็คงเป็นไปไม่ได้ มีอย่างเดียวต้องเผชิญหน้ากันให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่ฉันคนนี้ไม่ยอมตายในที่แห่งนี้แน่นอน' "ขอรับท่านแม่ทัพ ข้ายู่หลง บุตรชายคนรองของตระกูลยู่ " "เจ้ามาได้ตรงเวลาเสียจริง! ในเมื่อพี่สาวของเจ้า ด่วนตายไปเสียก่อนที่ข้าจะลงโทษ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว...หึหึ"เจิ้งเจี๋ยโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อกระซิบใกล้ใบหูนาง ด้วยแววตาขุ่นเคือง "เจ้าจงรับเคราะห์แทนนางเสียเถอะ หึหึ" ยิ้มบางๆของแม่ทัพผู้นี้ ทำให้นางกลืนน้ำลายตรงคอด้วยความหวาดหวั่น "มะ... มะ... ไม่ได้หรอกท่านแม่ทัพ?"แม้น้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ยังคงเผยยิ้มกว้างถึงตา ทำใจดีสู้เสื้อไว้ก่อน แล้วค่อยหาวิธีเอาตัวรอดทีหลัง "เพราะเหตุใด ถึงไม่ได้ ฮึ!" เจิ้งเจี๋ยขมวดคิ้วสูง เพราะไม่เคยมีใครกล้าต่อขัดใจตนมาก่อน แม้แต่จะยิ้มได้ในที่หมายจะเอาชีวิต คงมีแต่คนไร้สติเท่านั้น "ความผิดของท่านพี่มิใช่ความผิดของข้า ทำไมข้าจะต้องมารับเคราะห์แทนนางด้วย เรื่องจริงหรือไม่ท่านมั่นใจได้อย่างไร? ข้าเชื่อว่าท่านพี่ปรากฏตัวในสักวันหนึ่ง เมื่อนั้นท่านต้องสืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริงเสียก่อน เป็นถึงท่านแม่ทัพก็ต้องมีความยุติธรรม ไม่ใช่อยุติธรรม หากเป็นเช่นดั่งที่ว่าไว้ ข้าน้อยยินดีรับผิดแทนท่านพี่แต่โดยดี" อะไรทำให้ฉันพูดอย่างนี้ออกไปนะ เสี่ยวเยา รนหาที่ตายแท้ๆ "ได้! ในเมื่อเจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้า..." นิ้วชี้ที่เรียวยาวของท่านแม่ทัพจับลำคอขาวนวลของนาง ไว้ แม้จะไม่ออกแรงใดๆ แต่เหมือนจะบอกเป็นในว่า 'หัวเจ้าจะหลุดออกจากบ่าแน่นอน' ท่านแม่ทัพผู้นี้เปลือกนอกงดงามดั่งกว่าบุรุษทั้งหมดในใต้หล้า น่าเสียดายที่ถูกจารึกไว้ซึ่ความโหดเหี้ยมของเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ "เอ๊ะ!!" "...." เสี่ยวเยาเงยหน้ามองท่านแม่ทัพอย่างลืมตัวเหมือนโดนมนต์สะกด นัยย์ตาสีม่วงเบ่งประกายบวกกับใบหน้าเรียว เส้นผมดำยาวสลวย แถมผิวขาวเผือก เสมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย ดั่งที่ประวัติศาสตร์ระบุไว้ หากเธอวาดภาพท่านแม่ทัพ ในยุคปัจจุบันก็คงมีแต่ผู้คนคลั่งไคล้ จนลืมความเหี้ยมโหดที่ถูกกล่าวขานไว้เป็นแน่ "องค์รักษนำทหารผู้นี้ไปโบยห้าสิบครั้ง!" "อะไรกัน? ข้าทำอะไรผิด? ท่านไม่คิดว่าโหดเหี้ยมเกินไปเหรอ? ข้าร่างบางขนาดนี้! แถมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า..." "หยุดพล่ามได้แล้ว ชีวิตของเจ้า เหตุใดข้าต้องสนใจด้วย!!" " ชิ! ขอปาด้วยร้องเท้าสักครั้งเถอะ!เจ้าหมาป่าน่ารังเกียจ!!! "เสี่ยวเยาฉุดคิดได้ว่าฉายานี้เป็นความลับมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ "เจ้า!!" พลึบ! ด้วยแรงทั้งหมดที่นางมีบวกกลับไฟร้อนที่ประทุขึ้นตรงกลางใจ ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพผู้นี้จะสั่งโบยตนทันที อย่างไร้ความเมตตา ตนเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น มีหรือที่ยอมอยู่เฉยๆแบบนี้ รองเท้าลอยสลิ่วไปตามแรงเหวี่ยงสุดกำลัง พรุ่งตรงไปยังท่านแม่ทัพโดนใบหน้าที่แสนเย็นชานั้นอย่างแม่นยำ "เยส! ต้องให้ได้อย่างนั้นซิ!" "เจ้า!!" เจิ้งเจี๋ยเดินดรุ่ยๆมุงตรงมายังเสี่ยวเยา ด้วยอารมณ์ขุนเคืองใจ พร้อมดึงกระบี่คู่กายออกจากฝักอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอจี้ตรงคอขาวนวลของนางอย่างไม่ลังเล น้ำใสสีแดงขุ่นไหลออกมาเล็กน้อย เพื่อย้ำเตือนนางว่าอย่าบังอาจหยาบคายกับเขาเช่นนี้อีก แววตาที่เเข็งกระด้างด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อมองใบหน้าเสี่ยวเยา ผู้เป็นน้องชายของนางกำนัลทรยศ ทำให้หวนนึกถึงวันวานที่ตนหลงรักนางจนหมดหัวใจ "เหตุใดเจ้าถึงล่วงรู้ฉายาของข้า?" ท่านแม่ทัพกระซิบข้างหูที่สั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว หัวใจเสี่ยวเยาแทบหลุดออกมา ย้อนนึกถึงวันที่นางเปิดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ในยุคนี้ ได้ระบุฉายาฉายาลับของเขา ที่องค์จักรพรรคไทจู่เป็นผู้ประทานให้ และเบื้องหลังที่ราชสำนักได้ปกปิดไว้มากมาย เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง 'ฉายาหมาป่าจอมทมิฬผู้โหดเหี้ยม' เสี่ยวเยารู้สึกแน่นหน้าอก หายใจเริ่มติดขัด ทุกอย่างรอบๆตัวนางกำลังหมุนติ้ว 'เกิดขึ้นอีกแล้วเนี่ย' นางทำได้เพียงแค่คิดในใจ นั้นคงเป็นเพราะความเหนื่อยล้า หรือความหิวกันแน่ สายตาเริ่มพร่ามัวเหมือนทุกอย่างค่อยๆดับวูบลงไป นางผู้ซึ่งหมดสติโดยไม่ทันรู้เลยว่า ร่างบางของตนกำลังอยู่ในอ้อมแขนของเจิ้งเจี๋ยเสียแล้ว
"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา" น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นในห้วงความมืดมิดที่รายล้อมร่างบางระหงไว้"ไปกับข้าเถอะ! ถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้" เป็นเสียงสตรีที่เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก"พี่เหมยหลิน ท่านใช่ไหม? ท่านอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวให้ข้าเจอสักครั้ง? " คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป "ความตายของเจ้าเท่านั้น! ที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมไปชั่วชีวา ฮ่าฮ่า""อึก!!!" ใจดวงนี้ไขว้เขว และหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อพบว่าร่างกายของตนเปล่งประกายเจิดจ้า แต่ทว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานไปทั้งตัว ราวกับจะแตกสลายไปเสียให้ได้ แผนการของเหมยหลินมีมากเกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก สุดท้ายแล้วนางก็หนีไม่พ้นความตาย แม้จะพยายามเอารอดสักเพียงใด ก็เหมือนยิ่งใกล้ความตายเท่านั้น สุดท้ายต้องมาตาย ณ ที่แห่งนี้จริงๆ เหรอ"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา " เสียงนุ่มนวลของบุรุษดังขึ้น "ใครนะ! เรียกข้าเหรอ?" ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง ทว่ากลับไร้แม้เงา กลับกันพบบุรุษร่างสูงยืนพินหลังให้ตน รางบางไม่รีรอเร่งฝีเท้าหมายจะเห็นหน้าตาคนนี้ผู้นี้ให้จงได้ แต่ทว่าดวงตาสีนิลเบิกโต เมื่อพบว่า ไม่ใช่ใครอื่น
ร่างสง่างามเดินย่างกายย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่สลัว มีเพียงคบเพลิงคอยให้ความสว่าง ทางคดเคี้ยวลึกเข้าไปยาวนานกว่าที่นางคิดไว้ ดวงตาสวยเหลือบมองไปรอบตัว อย่างหวาดหวั่น ภายในใจนั้นครุ่นคิดว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงใจกล้าเพียงนี้ สองมือกำกระบี่แนบแผ่นอกไว้แน่น "หันหลังกลับไปยังทันไหมนะ!" นางพึมพำกับตนเองเพื่อข่มความกลัวเอาไว้ ดวงตาสะดุดเขากับโขดหินที่มีสัญญาลักษณ์สีแดงตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้านาง"ยังด้านในอีก ไร้ซึ่งกำแพงป้องกัน สามารถเดินเข้าไปได้...หากผู้นั้นต้องการเป็นอาหารมัน" น้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อพบว่าด้านในเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ว่า ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน แสงสว่างด้านในไม่ใช่เสียงจากคบเพลิง แต่เป็นแสงจากจันทราที่สาดส่องมาจากช่องทางหนึ่งซึ่งไม่อาจรู้ได้เลย หากไม่ย่างกายเข้าไป ความกลัวหรือจะสู้ความใคร่รู้ของนางได้ ร่างบางระหงมุ่งตรงไปอย่างข่มความกลัวไว้ภายในใจ"เอ๊ะ!" ดวงตาสวยเบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าด้านในมันช่างกว้างขวาง ด้านบนถูกดัดแปลงเป็นกระจกใส มองเห็นจันทรากลมโตตั้งสง่ากลางนภาลัย กำแพงถ้ำปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มประดับประดาด้
ฉายา หมาป่าจอมทมิฬ ได้มาเมื่อครั้นท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยทำศึกสงครามกับสามแคว้น เขาใช้ไหวพริบควบคู่กับทักษะร่ายรำกระบี่คู่กายเผชิญหน้าเหล่าศัตรูนับร้อยดั่งเช่นหมาป่าทมิฬว่องไว และรวดเร็ว อีกทั้งดวงตาคมกริบเพ่งมองคนเบื้องหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว แม้จะได้รับบาดเจ็บเพียงไม่น้อย ทว่าความมุ่งมั่น ความอดทน และยึดมั่นในหลักการของท่านแม่ทัพอันแน่วแน่ของเขา ช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังให้เหล่าทหารจนชนะสงครามทุกครั้งไป แม้สงครามระหว่างแคว้นสงบลง ถึงกระนั้นขึ้นชื่อว่าท่านแม่ทัพผู้ซึ่งได้รับราชโองการจากองค์จักรพรรดิไม่อาจนิ่งดูดายต่อแคว้นของตนได้ การคัดเลือกทหารชั้นผู้น้อยจึงเริ่มขึ้น เพื่อเตรียมกำลังพล และความพร้อมเมื่อครั้นสงครามได้มาเยือน ทหารจึงต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อเพิ่มทักษะการต่อสู้ให้แข็งแกร่งมากพอ ที่จะร่วมสงครามได้ แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ใจไม่สู้ก็ย่อมสูญเปล่า เหล่าทหารขององค์จักรพรรดิย่อมต้องรู้ดีว่า เพลิงแห่งศึกยังมิอาจ มอดดับ คมศาสตร์ในมือหนักอึ้ง ดุจภาระที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงหนึ่งแว่วดังก้องในจิตใจ ต้องลงเล่นหมากรุกในกระดานจนกว่ากลิ่นธุลี และโลหิตเจือปนอยู่ในอากาศ "ท่านแม่ทัพช่างสำราญใจเหลื
ทางด้านหลานจินที่แอบสะกดรอยตามลี่หวัง และสี่ซาน เพียงหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวของยู่หลงบ้าง ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ เขายิ่งเป็นกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่ซ้อมประลองกระบี่ในครานั้น ก็ไม่พบเจอนางอีกเลย ไม่มีแม้แต่จะรับรู้ข่าวคราวของนาง จนเกิดความร้อนรนบ่นความห่วงใยขึ้น ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ทุกวันร่ำเรียนกระบี่ดังเช่นหุ่นเชิด มีชีวิตแต่ไร้ซึ่งลมหายใจ การกระทำเช่นนี้สร้างคำหงุดหงิดให้ใครผู้หนึ่งเป็นอย่างยิ่งตรึง!! ร่างสูงโปร่งกระเด็นไปไกลนอนคุดคู้ มือนั้นกุมท้องน้อยอย่างเจ็บปวด เพราะเท้าแข็งแกร่งของใครผู้หนึ่ง ที่ไม่อาจทนมองความอ่อนแอของบุรุษผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารขององค์จักรพรรดิได้ โดยเฉพาะทหารผู้นี้"ทำเยี่ยงนี้กับข้าได้อย่างไรกัน? " เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ รวบรวมกำลังพยุงร่างตนเองขึ้นมา มือสะบัดไปทั่วชุดทหารที่เปื้อนดิน ไม่แม้แต่จะแหงนหน้ามองคนผู้นั้น "ท่านแม่ทัพไม่ต้องการทหารอ่อนแอ ไม่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้า " ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้านิ่ง "ข้าแค่....โอ๊ะ! ท่านลี่หวัง!" ดวงตาเย็นชาของเขาประสานเข้ากับดวงตาคมกริบของเขานิ่งนาน "หลายวันมานี้ ข
กาลเวลาผ่านไป หลายวันแล้วที่เสี่ยวเยาไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแม่ทัพเพื่อปรนนิบัติตามที่เคยเป็น ในแต่ละวันนางเอาแต่ยุ่งอยู่กับการประลองกระบี่ ท่องตำรายุทธการต่อสู้ ร่วมกับเหลาจิน และสหายร่วมสนามรบในค่ายทหาร"ยู่หลง เต้าต้องมองกระบวนท่าการใช้กระบี่ของศัตรูให้มั่นเสมือนดวงตาอินทรีย์" ดวงตาเข้มละมุนดูแพรวพราวเมื่อมองคนเบื้องหน้า"ได้!" น้ำเสียงใสดูมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความประทับใจให้หลานจิน แม้จะรู้ว่าตนแปลกประหลาดที่ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาของดวงใจได้ การประลองกระบี่ด้วยความคล่องแคล่ว อย่างองอาจ และสง่า สร้างความประทับใจให้เหล่าสหายนับร้อย หนึ่งในนี้ยังมี ดวงตานุ่มลึกเพ่งมองสตรีแสดงกระบวนท่าตั้งรับกระบี่ฝั่งตรงข้ามได้กล้าหาญไม่แพ้บุรุษ"เอ๊ะ!" ฉับพลันดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหลานจิน กลับกลายเป็นใบหน้าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผู้ซึ่งทำให้หลายวันมานี้ นางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพิ่งรู้ใจตนเองว่าชื่นชอบท่านแม่ทัพเข้าให้แล้ว ยิ่งคิดยิ่งวิตกกังวล ในฐานะของนางตอนนี้ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่แสดงความรู้สึกได้ สู้หลบหนีในห่างเขา ไม่ใกล้กัน ย่อมไม่หวั่นไหวไปมากกว่าเดิ
แสงสีทองลับขอบฟ้า วิหคน้อยฝูงใหญ่บินล่องลอยกลางเวหามุ่งสู่รัง ทางด้านเสี่ยวเยาแปรสภาพเป็น ยู่หลงเช่นเดิม อย่างไรก็ตามนางไม่วายคลางแคลงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะพบเจอแต่เรื่องประหลาดมากมาย จนนางอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงง่ายดายเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า "ทุกสิ่งในวันนี้ช่างพอเหมาะ ได้ทั้งปิ่นปักผมที่ชอบ และเสื้อผ้าสวยๆ มาฟรี หรือเราคิดมากไปเองนะ!" นางซ่อนทุกอย่างไว้ในห้องเป็นอย่างดี อย่างไรเสีย คือมันของล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง ณ เวลาอยู่ที่แห่งนี้ ร่างบางย่างก้าวไปยังที่พักของท่านแม่ทัพ เพื่อรายงานตัว แววตาใสจ้องมองบุรุษผู้มุ่งมั่นอยู่กับการอ่านตำรายุทธศาสตร์ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน จนนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเผลอตัว "เก่งไปทุกด้านเสียจริงๆ" เจิ้งเจี๋ยปิดตำราก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย สายตาคมคลายหล่อเหลาจับจ้องมองที่นาง "วันนี้ดูเจ้าสุขอุรา ใบหน้าอิ่มเอมเหลือเกิน" ดวงตาดอกท้อช้อนสายตาขึ้นมองอย่างไม่คิดจะหลบตา "คงเพราะความเมตตาของท่านแม่ทัพ ข้าเลยเที่ยวเพลินเลย เอ๊ะ! ลี่ซาน ลี่หวัง! " นางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหยุดยิ้มลง ดวงตาสีนิลจ้องเขม็งอย่าง