ทุกอย่างมืดสนิทไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะปรากฎร่างกายของตน ยืนตัวตรงอย่างสงบเสงี่ยม อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตา เสี่ยวเยาขยี้ดวงตาเบาๆ แววตาใสเปล่งประกายพองโต เมื่อมองไปรอบๆตัว ที่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั้งชุดที่นางสวมใส พริ้วไหวงดงามราวกับเทพธิดา "เอ๊ะ!!" ทว่าไม่ได้มีเพียงนางเท่านั้น "..." ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังนาง ราวกับว่าเป็นตัวประหลาด เสี่ยวเยาสูบหายใจลึกเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะสงบนิ่งลงเพื่อไม่ให้ผู้ใดสงสัยในตัวนาง แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้นางควรตกใจแทบสลบเสียให้ได้ แต่ทว่านางมีสติมากพอที่ยับยั้งชั่งใจไว้มิให้เกิดภัยร้ายกับตนเอง เสี่ยวเยาชำเลืองมองผู้ที่เดินเคียงข้างนาง สังเกตการแต่งตัวที่เหมือนกัน รวมทั้งท่าทางการวางตัว ต้องเป็นเหล่านางกำนัลแน่นอน "เรากำลังไปไหนเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยถามนางกำนัลใกล้ตัว "เข้าเฝ้าฮ่องเต้" "ฮ่องเต้!!! คือใครกัน?" "บังอาจ! เจ้าคงเสียสติไปแล้วเหรอ เจ้าไม่รู้จักฮ่องเต้ไทจู่ได้อย่างไรกัน?" ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะเป็นนางกำนัลรับใช้ชั้นผู้มีอาวุโส "กูกู ข้าว่าอย่าเสียเวลากับนางเลย นางคงพักผ่อนน้อยเกินไป สติเลยเลอะเลือน"นางกำนัลผู้น้อยเอ่ยขึ้น 'ท่านผู้นี้คงเป็นนางกำนัลรับใช้ผู้มีอาวุโส หมายถึงอยู่ทำงานรับใช้ในวังนานจนใกล้เกษียณออกจากวังแล้วสินะ!!' เสี่ยวคิดภายในใจ "เช่นนั้นก่อนจะออกจากวังไป ข้าต้องอบรมฝึกฝนพวกเจ้าเสียก่อน แต่เจ้านะ!โชคดี เพราะความฉลาดของเจ้า จึงได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ เข้ารับใช้ในจวนท่านแม่ทัพ จึงไม่ต้องฝึกฝนเจ้ามากนัก โชคดีของเจ้าเสียจริง หึหึ" "เอ๊ะ!!" 'นางผู้นี้เผยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างมีเลคนัย แต่ช่างเถอะ! ไม่คิดจะอยู่ที่แห่งนี้นานนักหรอก เมื่อมีทางเข้าย่อมมีทางออก' 'จักรพรรคไทจู่ หรือจ้าวควงอิ้น เป็นบุญตาเราเสียจริง ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เจอตัวจริงเช่นนี้ หากอิงอิงรู้ว่าเข้าจะทำหน้าอย่างไรนะ อิอิ^^ ว่าแต่ฮ่องเต้ดูดีกว่าในภาพวาดนั่นตั้งเยอะ! หนอยไอเจ้าคนวาดมันอยู่ไหนกัน อยากจะเห็นหน้านักเชียว' นางได้แต่คิดในใจ "เจ้าชื่ออะไร?" กูกูถามขึ้นด้วยความไม่พอใจในท่าทางกิริยา และคำพูดของเธอที่เปลี่ยนแปลงไป "เสี่ยวเยาเจ้าค่ะ" นางรีบก้มหน้าลงต่ำ เพราะกูกูท่านนี้มียศที่สูงกว่านางนัก และอาจจะมีสิทธิในการลงโทษนางก็ได้ เหตุใดต้องมาเจ็บตัว ณ ที่สถานแห่งนี้ด้วย สงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้ยังเสียดีกว่า "ได้เวลาที่เจ้าจะต้องเดินทางไปจวนท่านแม่ทัพตามพระราชโองการของฮ่องเต้ ควรแสดงกิริยามารยาทของเจ้า ให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยดั่งใบหน้าที่งดงาม ยิ่งนางกำนัลผู้ใดในที่นี้ ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความเจ้า" "เอ๊ะ!! ตำนักท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย!!!.ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพผู้โหดเหี้ยม ไม่ได้! ข้าไม่ไป! ขอเปลี่ยนเป็นจวนท่านอ๋องเถอะท่านกูกู.." น้ำเสียงสิ้นหวังถูกเปล่งออกไปโดยไม่ไตร่ตรอง ท่านกูกูนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวเยาเอ๋ย...นี่คือโชคชะตาของเจ้า เจ้าไม่มีสามารถหลีกเลี่ยงลิขิตของสวรรค์ได้ พระบัญชาของฮ้องเต้ เมื่อตรัสออกมาแล้ว ก็ยากจะคืนคำได้ จงก้มหน้ายอมรับมัน แล้วสักวันเจ้าจะขอบคุณสววรค์ ที่ได้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้" ท่านกูกูพูดออกมาพร้อมยิ้มกว้างถึงตา รอยยิ้มนั้นช่างดูงดงาม และจริงใจยิ่งนัก " ให้ข้าไปบุกน้ำลุยไฟ หรือปีนเขายังเสียดีกว่า ขืนอยู่ที่นั่น ข้าได้ตายก่อนจะกลับบ้านแน่ๆ" "เสี่ยวเยา...." "รับราชโองการเพคะ!" เสี่ยวเยาจำใจโค้งคำนับรับราชโองการแต่โดยดี แม้ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า 'แม่ทัพผู้นี้ใช้ดาบคู่กายสบั่นคอผู้บริสุทธิ์อย่างไร้ปราณี หากเป็นฝ่ายศัตรู แม้มีลูกเด็กเล็กแดงก็ไม่เว้น ไร้ความเมตตา ป่าเถือน นางกำนัลที่ทำงานในจวนหากไม่พอใจ ก็จะถูกทะลกหนังนิ้วมือออกจนหมดสิ้น เหล่าทหารที่ทำให้โกรธกริ้วก็จะถูกทะลกหนังตา ให้หมาป่า สัตว์เลี้ยงคู่กายกิน ' คราวนี้เจ้าได้ตายจริงๆ แน่เสี่ยวเยา "หากเจ้าอยากจะกลับไป สถานที่เจ้าจากมา ก็ต้องทำให้แม่ทัพเจิ้งเจี๋ยพึงพอใจในตัวเจ้า เจอกันครั้งหน้า ข้าจะตอบคำถามทุกอย่างที่เจ้าสังสัย หึ หึ เจ้าเด็กน้อยเอ่ย " "นางรู้! นางเป็นใครกันแน่?" "ได้เวลาแม่ทัพกลับจวนแล้ว รีบไปรายงานตัว ต่อท่านแม่ทัพเถิด" กูกูเดินจากไปโดยไม่ได้อธิบายให้นางหายครางแครงใจ สิ่งที่นางสัมผัสได้ในตอนนี้คือ กูกูผู้นี้อาจรู้เหตุผลที่เธอมาอยู่ที่นี่ "ฝากเจ้าดูแลนางด้วย" "เป็นหน้าทีของข้าอยู่แล้ว ท่านย่อมรู้ดีว่าข้าเป็นห่วงนางยิ่งกว่าผู้ใด้ " เสียงทุ้มเอ่ยตอบ อย่างมันคง ร่างกายสูง กำยำ สง่างาม มองไปยังนางกำนัลด้วยแววตาอันอบอุ่น เสี่ยวเยาเหลือบมองทหารผู้นี้ก่อนครุ่นคิดในว่า 'หน้าตาผิวพรรณก็แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดายิ่งนัก ต่างจากทหารผู้อื่นโดยสิ้นเชิง ท่าทางการเดินอรชรอ้อนแอ้นแบบนี้จะปกป้องแม่ทัพได้อย่างไรกัน ไม่ไหว ไม่ไหว' "นี่ เสี่ยวเยาไม่ว่าเธอจะเจออะไรในจวนแม่ทัพจงอดทนไว้ ห้ามโต้ตอบเป็นอันขาดเข้าใจไหม" "นายรู้จักฉัน! ไม่ซิ ท่านรู้จักข้าเหรอ" "........." ไร้เสียงตอบกลับ ทหารชั้นผู้น้อยนำทางเธอมาหยุดหน้าที่จวนโทรมๆหลังหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าจะร้างนานนับปี "เสื้อผ้าอยู่ในห้องไปเปลี่ยนซะ! เร็วเข้าซิใกล้เวลารายงานตัวแล้ว" "ฮ่ะ! ต้องเปลี่ยนเสื้อด้วยเหรอ..." "เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ต่อไปนี้ตัวตนของเจ้าจะถูกปกปิด เจ้าคือ นายทหาร ยู่หลง ไปซ่ะ ก่อนที่มีใครมากันเห็นเข้า ไว้ข้าจะอธิบายทีหลัง" "อืมๆๆ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เฮ่ออ" ภายในห้องเต็มไปด้วยหยากใยแมงมุม ขี้ฝุ่นที่หนาเขอะ ผ้าม้านขาดหลุดลุ้ย กลิ่นอับตลบอบอวลไปทั่วห้อง! แต่ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่คบคัน พร้อมกระจกเก่าๆที่ตั้งอยู่โต๊ะเครื่องแป้ง เสี่ยวเยามองใบหน้าตัวเอง โล่งใจที่ใบหน้ายังคงเดิม แต่ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมเป็นสิบเท่า "ดูอ่อนวัยกว่าเดิม สวยเหมือนกันนะเรา^^" นางมองบนโต๊ะพบว่ามีชุดเครื่องแบบทหาร และดาบหนึ่งเล่มหนึ่งวางคู่กัน พร้อมป้ายชื่อประจำตัว "ยู่หลง ชื่อผู้ชาย หรือว่านี่จะเป็นคือภารกิจสอดแนนท่านแม่ทัพ ตาย ตาย รนหาที่ตายตายแท้ๆเสี่ยวเยา วรยุทธก็ไม่มี ทักษะฟันดาบก็ไม่เป็น ทำไงดี เสี่ยวเยา " ตอนนี้เธอสบสนวุ่นวายใจกับการเอาตัวรอด ณ ที่แห่งนี้ ความวิตกกังวล มโนภาพไปต่างๆนาๆหัวเธอแทบจะระเบิดเสียให้ได้ "ถ้าหากเราเป็นผู้หญิง เกิดแม่ทัพนั่นหน้ามืดขึ้นมาจับเราทำเมีย ก็คงเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่ได้ๆ !ปลอมเป็นชายปลอดภัยที่สุดแล้วอย่างน้อยเราเองก็ยังมีนายทหารผู้นี้คอยดูแลอยู่ ไม่ต้องกลัวไปเสี่ยวหยา เธอต้องได้แน่ อีกไม่นานต้องได้กลับบ้านแน่นอน"
"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา" น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นในห้วงความมืดมิดที่รายล้อมร่างบางระหงไว้"ไปกับข้าเถอะ! ถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้" เป็นเสียงสตรีที่เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก"พี่เหมยหลิน ท่านใช่ไหม? ท่านอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวให้ข้าเจอสักครั้ง? " คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป "ความตายของเจ้าเท่านั้น! ที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมไปชั่วชีวา ฮ่าฮ่า""อึก!!!" ใจดวงนี้ไขว้เขว และหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อพบว่าร่างกายของตนเปล่งประกายเจิดจ้า แต่ทว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานไปทั้งตัว ราวกับจะแตกสลายไปเสียให้ได้ แผนการของเหมยหลินมีมากเกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก สุดท้ายแล้วนางก็หนีไม่พ้นความตาย แม้จะพยายามเอารอดสักเพียงใด ก็เหมือนยิ่งใกล้ความตายเท่านั้น สุดท้ายต้องมาตาย ณ ที่แห่งนี้จริงๆ เหรอ"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา " เสียงนุ่มนวลของบุรุษดังขึ้น "ใครนะ! เรียกข้าเหรอ?" ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง ทว่ากลับไร้แม้เงา กลับกันพบบุรุษร่างสูงยืนพินหลังให้ตน รางบางไม่รีรอเร่งฝีเท้าหมายจะเห็นหน้าตาคนนี้ผู้นี้ให้จงได้ แต่ทว่าดวงตาสีนิลเบิกโต เมื่อพบว่า ไม่ใช่ใครอื่น
ร่างสง่างามเดินย่างกายย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่สลัว มีเพียงคบเพลิงคอยให้ความสว่าง ทางคดเคี้ยวลึกเข้าไปยาวนานกว่าที่นางคิดไว้ ดวงตาสวยเหลือบมองไปรอบตัว อย่างหวาดหวั่น ภายในใจนั้นครุ่นคิดว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงใจกล้าเพียงนี้ สองมือกำกระบี่แนบแผ่นอกไว้แน่น "หันหลังกลับไปยังทันไหมนะ!" นางพึมพำกับตนเองเพื่อข่มความกลัวเอาไว้ ดวงตาสะดุดเขากับโขดหินที่มีสัญญาลักษณ์สีแดงตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้านาง"ยังด้านในอีก ไร้ซึ่งกำแพงป้องกัน สามารถเดินเข้าไปได้...หากผู้นั้นต้องการเป็นอาหารมัน" น้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อพบว่าด้านในเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ว่า ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน แสงสว่างด้านในไม่ใช่เสียงจากคบเพลิง แต่เป็นแสงจากจันทราที่สาดส่องมาจากช่องทางหนึ่งซึ่งไม่อาจรู้ได้เลย หากไม่ย่างกายเข้าไป ความกลัวหรือจะสู้ความใคร่รู้ของนางได้ ร่างบางระหงมุ่งตรงไปอย่างข่มความกลัวไว้ภายในใจ"เอ๊ะ!" ดวงตาสวยเบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าด้านในมันช่างกว้างขวาง ด้านบนถูกดัดแปลงเป็นกระจกใส มองเห็นจันทรากลมโตตั้งสง่ากลางนภาลัย กำแพงถ้ำปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มประดับประดาด้
ฉายา หมาป่าจอมทมิฬ ได้มาเมื่อครั้นท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยทำศึกสงครามกับสามแคว้น เขาใช้ไหวพริบควบคู่กับทักษะร่ายรำกระบี่คู่กายเผชิญหน้าเหล่าศัตรูนับร้อยดั่งเช่นหมาป่าทมิฬว่องไว และรวดเร็ว อีกทั้งดวงตาคมกริบเพ่งมองคนเบื้องหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว แม้จะได้รับบาดเจ็บเพียงไม่น้อย ทว่าความมุ่งมั่น ความอดทน และยึดมั่นในหลักการของท่านแม่ทัพอันแน่วแน่ของเขา ช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังให้เหล่าทหารจนชนะสงครามทุกครั้งไป แม้สงครามระหว่างแคว้นสงบลง ถึงกระนั้นขึ้นชื่อว่าท่านแม่ทัพผู้ซึ่งได้รับราชโองการจากองค์จักรพรรดิไม่อาจนิ่งดูดายต่อแคว้นของตนได้ การคัดเลือกทหารชั้นผู้น้อยจึงเริ่มขึ้น เพื่อเตรียมกำลังพล และความพร้อมเมื่อครั้นสงครามได้มาเยือน ทหารจึงต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อเพิ่มทักษะการต่อสู้ให้แข็งแกร่งมากพอ ที่จะร่วมสงครามได้ แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ใจไม่สู้ก็ย่อมสูญเปล่า เหล่าทหารขององค์จักรพรรดิย่อมต้องรู้ดีว่า เพลิงแห่งศึกยังมิอาจ มอดดับ คมศาสตร์ในมือหนักอึ้ง ดุจภาระที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงหนึ่งแว่วดังก้องในจิตใจ ต้องลงเล่นหมากรุกในกระดานจนกว่ากลิ่นธุลี และโลหิตเจือปนอยู่ในอากาศ "ท่านแม่ทัพช่างสำราญใจเหลื
ทางด้านหลานจินที่แอบสะกดรอยตามลี่หวัง และสี่ซาน เพียงหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวของยู่หลงบ้าง ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ เขายิ่งเป็นกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่ซ้อมประลองกระบี่ในครานั้น ก็ไม่พบเจอนางอีกเลย ไม่มีแม้แต่จะรับรู้ข่าวคราวของนาง จนเกิดความร้อนรนบ่นความห่วงใยขึ้น ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ทุกวันร่ำเรียนกระบี่ดังเช่นหุ่นเชิด มีชีวิตแต่ไร้ซึ่งลมหายใจ การกระทำเช่นนี้สร้างคำหงุดหงิดให้ใครผู้หนึ่งเป็นอย่างยิ่งตรึง!! ร่างสูงโปร่งกระเด็นไปไกลนอนคุดคู้ มือนั้นกุมท้องน้อยอย่างเจ็บปวด เพราะเท้าแข็งแกร่งของใครผู้หนึ่ง ที่ไม่อาจทนมองความอ่อนแอของบุรุษผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารขององค์จักรพรรดิได้ โดยเฉพาะทหารผู้นี้"ทำเยี่ยงนี้กับข้าได้อย่างไรกัน? " เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ รวบรวมกำลังพยุงร่างตนเองขึ้นมา มือสะบัดไปทั่วชุดทหารที่เปื้อนดิน ไม่แม้แต่จะแหงนหน้ามองคนผู้นั้น "ท่านแม่ทัพไม่ต้องการทหารอ่อนแอ ไม่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้า " ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้านิ่ง "ข้าแค่....โอ๊ะ! ท่านลี่หวัง!" ดวงตาเย็นชาของเขาประสานเข้ากับดวงตาคมกริบของเขานิ่งนาน "หลายวันมานี้ ข
กาลเวลาผ่านไป หลายวันแล้วที่เสี่ยวเยาไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแม่ทัพเพื่อปรนนิบัติตามที่เคยเป็น ในแต่ละวันนางเอาแต่ยุ่งอยู่กับการประลองกระบี่ ท่องตำรายุทธการต่อสู้ ร่วมกับเหลาจิน และสหายร่วมสนามรบในค่ายทหาร"ยู่หลง เต้าต้องมองกระบวนท่าการใช้กระบี่ของศัตรูให้มั่นเสมือนดวงตาอินทรีย์" ดวงตาเข้มละมุนดูแพรวพราวเมื่อมองคนเบื้องหน้า"ได้!" น้ำเสียงใสดูมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความประทับใจให้หลานจิน แม้จะรู้ว่าตนแปลกประหลาดที่ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาของดวงใจได้ การประลองกระบี่ด้วยความคล่องแคล่ว อย่างองอาจ และสง่า สร้างความประทับใจให้เหล่าสหายนับร้อย หนึ่งในนี้ยังมี ดวงตานุ่มลึกเพ่งมองสตรีแสดงกระบวนท่าตั้งรับกระบี่ฝั่งตรงข้ามได้กล้าหาญไม่แพ้บุรุษ"เอ๊ะ!" ฉับพลันดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหลานจิน กลับกลายเป็นใบหน้าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผู้ซึ่งทำให้หลายวันมานี้ นางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพิ่งรู้ใจตนเองว่าชื่นชอบท่านแม่ทัพเข้าให้แล้ว ยิ่งคิดยิ่งวิตกกังวล ในฐานะของนางตอนนี้ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่แสดงความรู้สึกได้ สู้หลบหนีในห่างเขา ไม่ใกล้กัน ย่อมไม่หวั่นไหวไปมากกว่าเดิ
แสงสีทองลับขอบฟ้า วิหคน้อยฝูงใหญ่บินล่องลอยกลางเวหามุ่งสู่รัง ทางด้านเสี่ยวเยาแปรสภาพเป็น ยู่หลงเช่นเดิม อย่างไรก็ตามนางไม่วายคลางแคลงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะพบเจอแต่เรื่องประหลาดมากมาย จนนางอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงง่ายดายเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า "ทุกสิ่งในวันนี้ช่างพอเหมาะ ได้ทั้งปิ่นปักผมที่ชอบ และเสื้อผ้าสวยๆ มาฟรี หรือเราคิดมากไปเองนะ!" นางซ่อนทุกอย่างไว้ในห้องเป็นอย่างดี อย่างไรเสีย คือมันของล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง ณ เวลาอยู่ที่แห่งนี้ ร่างบางย่างก้าวไปยังที่พักของท่านแม่ทัพ เพื่อรายงานตัว แววตาใสจ้องมองบุรุษผู้มุ่งมั่นอยู่กับการอ่านตำรายุทธศาสตร์ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน จนนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเผลอตัว "เก่งไปทุกด้านเสียจริงๆ" เจิ้งเจี๋ยปิดตำราก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย สายตาคมคลายหล่อเหลาจับจ้องมองที่นาง "วันนี้ดูเจ้าสุขอุรา ใบหน้าอิ่มเอมเหลือเกิน" ดวงตาดอกท้อช้อนสายตาขึ้นมองอย่างไม่คิดจะหลบตา "คงเพราะความเมตตาของท่านแม่ทัพ ข้าเลยเที่ยวเพลินเลย เอ๊ะ! ลี่ซาน ลี่หวัง! " นางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหยุดยิ้มลง ดวงตาสีนิลจ้องเขม็งอย่าง