เจิ้งเจี๋ยมองใบหน้าขาวซีด ที่หมดสติภายใต้ออมแขนของตน พร้อมความสับสนวุ่นวายใจ ด้วยเหตุใดกัน ตัวเขาถึงเลือกที่ทิ้งกระบี่มังกรคู่ใจ เพียงเพื่อรับร่างไร้สติของทหารอ่อนแอผู้นี้ได้ ดวงตาเข้มยังคงพินิจพิจารณาทุกส่วนของใบหน้า ขนตาที่เรียวยาว ปากชมพูอันอวบอิ่ม แก้มแดงราวกับมะเขือเทศ มันช่างดูงดงามราวกับสตรีเหลือเกิน ตึก! ตึก! ตึก! เสียงหัวใจดังขึ้น เต้นแรงอย่างผิดปกติ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความกังวลและความสับสนเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกัน ดอกเหมยฮวาร่วงโรยลงมาบนใบหน้าของเสี่ยวเยาอย่างนุ่มนวล แม่ทัพจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนเงยหน้ามองต้นเหมยฮวาด้วยความตกตลึง เหตุใดต้นไม้ที่โดนสาปไปพร้อมกับเขา ถึงร่วงโรยลงมาในเวลานี้ นับสิบปีที่เขาเฝ้ารอคอยให้มีผู้ใดมาแก้คำสาปของตน กลิ่นหอมของดอกเหมยฮวาที่มันปลิวละล่องไปทั่วทุกทิศทาง ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าทหาร ที่ยินดีกับปรากฎการณ์นี้ "เหตุใดดอกเหมยฮวาถึงร่วงโรยลงมา ในขณะที่เจ้าอยู่ในอ้อมแขนข้า หู่หลง? " ร่างบางอ่อนระทวยในชุดทหาร ถูกโอบอุ้มด้วยเเขนแกร่งอันทรงพลัง มุ่งตรงไปยังจวนท่านแม่ทัพ ท่ามกลางเหล่าทหารที่ยืนมองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของท่านแม่ทัพ เพราะไม่เคยมีทหารผู้ใดถูกปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนดังเช่นนายทหารผู้นี้มาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้ชะล่าใจไปเพราะนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้... "เอาพวกนางไปขังไว้ อย่าให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่เช่นนั้นก็ส่งตัวกลับวังไปซะ!!" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาลของท่านแม่ทัพ 'เจิ้งเจี๋ย' ทำให้เหล่านางกำนัลต่างหวาดกลัว จนตัวสั่นราวกับลูกนกในกำมือ ท่ามกลางเหล่าทหารนับสิบยืนล้อมเหล่าพวกนาง ด้วยสีหน้าอันโหดเหี้ยม พร้อมกระบี่จี้ตรงคอ หมายจะสบั่นให้ขาดในพลิบตา เมื่อมีรับสั่ง "ฝ่าบาททรงรู้ว่า ท่านแม่ทัพต้องปฏิเสธ จึงรับสั่งไว้ว่า ท่านแม่ทัพต้องเลือกนางกำนัลไว้ปรนนิบัติรับใช้ให้จงได้ มิเช่นนั้นก็แต่งตั้งทหารชั้นผู้น้อยไว้รับใช้แทนนางกำนัลเจ้าคะ"กูกูผู้ที่ยึดมั่นในคำสั่ง มีหรือที่นางจะยอมกลับไปแต่โดยดี แม้ต้องยืนรออยู่ตรงนี้เจ็ดชั่วยาม ก็จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จลุล่วงไปด้วยดีเสียก่อน "ข้าจะคัดเลือกเหล่าทหารชั้นผู้น้อย ไว้ปรนนิบัติของกาย แทนพวกนางกำนัลของเจ้า จงกลับเข้าวังไปซะเถอะ! ท่านกูกูย่อมรู้ดีว่า เหตุใดข้าถึงจงเกลียดจงชังเหล่านางกำนัลยิ่งนัก " กูกูรับรู้ได้ถึงคำพูดอันหนักแน่นของท่านแม่ทัพ ขืนนางยังฝืนอยู่อย่างนี้ คงมีแต่จะเอาชีวิตตนและพวกนางกำนัลมาแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียเปล่าๆ ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย นับว่าเป็นแม่ทัพคนโปรดขององค์จักรพรรค หากจะให้ขนานนามที่ถูกต้องก็คือ เจิ้งเจี๋ย มีชื่อเสียงที่เลื่องลือทางด้านสติปัญญา ที่เฉียบคม มองการไกล แถมวรยุทธ์เป็นเลิศมิอาจมีผู้ใดในใต้หล้าเทียบเคียงได้ ความโหดเหี้ยมที่เล่าขานกันปากต่อปากเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีผู้ใดพบเจอกับตัวมาก่อน รู้เพียงว่าเคยต่อสู้สงครามเคียงข้างองค์จักรพรรคด้วยความจงรักภักดีดั่งเช่นบิดาของเขา จนชนะศึกสงครามสามแคว้นใหญ่ ผู้คนในใต้หล้าไม่ผู้ใดไม่รู้จักท่านแม่ทัพ'เจิ้งเจี๋ย' "ข้าน้อยขอลาท่านแม่ทัพ" กูกูและเหล่านางกำนัลต่างพากันกลับ ด้วยความจำนนแต่โดยดี เหล่านางกำนัลทั้งหลาย ต่างรู้สึกโล่งใจไร้ความหวาดกลัวจนสิ้น เพราะไม่มีผู้ใดอยากทำงานอยู่ในจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย นอกเสียจาก...นางกำนัลผู้นั้น ที่บัดนี้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย สองกำนัลผู้น้อยกำลังซุบซิบนินทากันโดยไม่ทันระวังตนว่า มีบุคคลอื่นแอบฟังเรื่องราวอยู่ตรงมุมอับ ผู้ที่ว่านั้นเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'เสี่ยวเยา' "ว่ากันว่าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยสั่งฆ่านางกำนัลเหมยหลิน เห็นว่านางถูกท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผลักตกหน้าผาอสรพิษดำ" "ยึ๋ย!! ข้านึกถึงหน้าผาด้านล่างนั่น ที่เต็มไปด้วยเหล่าอสรพิษดำ ท่านแม่ทัพเลี้ยงดูพวกมัน เพื่อเป็นใช้อาวุธสังหารคนที่โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านแม่ทัพผู้นี้ได้อย่างไรกัน" "จุ๊ๆ เบาเสียงหน่อย เจ้าอย่าเอ่ยถึงเบื้องบน หากมีใครผ่านมาได้ยินเข้า เราสองคนคอขาดแน่ เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพเป็นอนุชาคนโปรดของฝ่าบาท แต่มีเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินมาจากเหล่านทหาร ที่ว่ากันว่า ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยโดนคำสาปด้วย" "โดนคำสาป!! " "ใช่ ว่ากันว่าใครที่อยู่เคียงข้างท่านแม่ทัพ ย่อมถึงแก่ความตายทุกคนไป" นางกำนัลทั้งสองที่กำลังนำเสื้อผ้าแพร่ไหมปักลวดลายมังกรทอง เดินตามท่านกูกูไปยังตำหนักใหญ่ "อ...อึก!!!เป็นอนุชาของฝ่าบาท มิน่าล่ะ! ถึงเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้ แถมยังโครตน่ากลัว รีบหาทางหนีกลับบ้านก่อนดีกว่า" เสี่ยวเยาผู้ที่แกล้งทำเป็นสลบ ใช้กลอุบายจนแอบออกจากจวน นางผ่านกำแพงหลังจวนท่านแม่ทัพออกมาได้ ด้วยวิธีการที่ไม่มีผู้ใดหลอกเลียนแบบได้ เสี่ยวเยาแอบเข้าวังเพื่อตามหากูกูท่านนั้น ผู้ที่รู้วิธีการกลับไปยังโลกปัจจุบัน "เหมือนเห็นหลังกูกูอยู่ไวไว หายไปไหนแล้วนะ!" "........" "นางกำนัลต่ำต้อยกล้าดีอย่างไร!! ขัดคำสั่งท่านอ๋อง ถอดเสื้อผ้าของเจ้าซ่ะ " "ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ข้ามิอาจทำได้" พลั๊วะ! ใบหน้าสวยงามของนางกำนัลผู้น้อยโดยฝ่ามือทรงพลังผู้ที่ขึ้นชื่อว่าบุรุษ กวัดแกว่งไปยังแก้มทั้งสองข้างอย่างไร้ความปราณี วีรบุรุษเยี่ยงนี้ไม่ควรเกิดมาด้วยซ้ำ ว่าแต่ท่านอ๋องผู้นั้นกับนั่งดื่มน้ำชาอย่างสำราญใจ เสมือนว่าตนไม่ได่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไร ไม่สะทกสะท้านช่างไร้ความรู้สึก เสี่ยวเยาได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา 'ผู้ชายตบตีผู้หญิงมีมาตั้งแต่ยุคนี้เลยเหรอ' นางครุ่นคิดในใจก่อนจะเดินดรุ่ยๆมุ่งตรงไปยังจวนท่านอ๋อง เพราะภาพตรงหน้านั้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอย่างลืมตน "ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด"น้ำเสียงที่อ้อนวอนร้องขอชีวิตเล็กๆไร้ซึ่งหนทางหลีกหนีได้ ช่างดูไร้ค่ายิ่ง สำหรับบุรุษที่ยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ตบตีผู้หญิงแบบนี้ หมายจะฆ่าให้ตายหรือไง เจ้าคนชั่ว นี่เพศแม่แกเลยนะ!!"น้ำเสียงตะคอกดังขึ้นด้วยความโกรธกริ้วสุดจะอดกลั้นไว้อีกต่อไป "เอ๊ะ!! ทหารผู้นี้พูดจาแปลกประหลาด แถมยังรนหาที่ตาย กล้าดีอย่างไร? ต่อหน้าท่านอ๋อง ยังกล้า ช่างเอิมเกิมยิ่งนัก! "บุรุษผู้มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยความสงสัยในรูปลักษณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน "แล้วไง? วีรบุรุษระยำเลวทราม เยี่ยงพวกท่าน สมควรให้ฉันคำนับหรือไง?" "เจ้า!! รนหาที่ตายเสียแล้ว" 'หึหึ เจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย"เสี่ยวเยายิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอ ตบตีกับพวกดูถูกผู้หญิง "ตายซะเถอะ! "" อ๊ากกก สู้ตายเว้ยย!!" "ฮ๊าาา" เสี่ยวเยากระโดดขึ้นคอนายพลท่านนั้น อย่างไม่ลังเล ถึงนางจะไม่เป็นวรยุทธิ์ ไม่มีทักษะใดๆ แต่ไม่เคยให้ใครรังแกตนได้ง่ายดายหรอก "โป๊ก!! โป๊ก!! นี่แนะ!! นี่แนะ!! กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายเพศแม่ของแกฮ่ะ" นางใช้กำปั้นอันทรงพลัง ที่ไม่รู้ว่าได้พลังนี้มาอย่างไร นางทุบกำปั้นลงไปบนศรีษะ และลำตัวของพลทหารผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วน อย่างเมามัน ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือนางไม่เจ็บมือเลยสักนิด "อะไรเนี่ย!! ไม่เจ็บมือเลยเหรอ ว้าวสุดยอด" "โฮ้ย! โฮ้ย! แค่มัดเล็กๆ ทำไมเจ็บปวดเช่นนี้" "นั้นซิ ดังนั้น ข้าจะพวกทุบเจ้าด้วยมัดเล็กนี้ จนกว่าพวกเจ้าจะขอโทษ นางกำนัลผู้นี้ ไม่สิ ลองท่าไม้ตายของข้าเป็นไง ย๊าก!!!" "ฮ๊ากกกกกก!!! จ..จะ..เจ้า!" ทหารผู้นั้นร้องโอดครวญขึ้นด้วยความเจ็บปวด เลือดขึ้นหน้าจุกไปทั้งกายและใจ ดิ้นทุรนทุราย เหมือนจะตายเสียให้ได้ เมื่อเสี่ยวเยาขย่ำสุดแรง ตรงแก่นกายน้อยอย่างไร้ความเมตตา "วรยุทธ์ของข้าคือ กำให้มิด บิดให้แน่นไงล่ะ เชอะ!"เสียงกระซิบเบาๆของนางทำให้ดวงตาเบิกโพลงด้วยตกตลึง "อึก!! T-T จะ..เจ้า..อึก!" ".........." เสี่ยวเยาประคองนางกำนัลผู้บาดเจ็บให้ลุกขึ้นยืน เพื่อจะก้าวออกจากจวนหลังนี้ให้ไว "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม เยี่ยม ข้าชักสนใจทหารน้อยผู้นี้แล้วซิ " บัดนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นได้ลุกขึ้นเดินตรงมายังพวกนางทั้งสอง อย่างสง่าฝ่าเผย ไร้ความรู้สึก เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ตรงปลายคิ้วมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่ไม่อาจกลบกลื่นความหล่อเหลา ดุจดั่งท่านชายในเทพนิยายได้ ข้างกายมีดาบดำคู่ใจ แววตาที่ไร้ความกลัว ไร้ความรู้สึก มันคืออะไรกันนะ เสี่ยวเยาไม่รอช้ารีบใช้กำปั้นของตน หมายจะทุบตีตรงศรีษะ ไม่เช่นนั้นนาง และนางกำผู้นี้อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้
"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา" น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นในห้วงความมืดมิดที่รายล้อมร่างบางระหงไว้"ไปกับข้าเถอะ! ถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้" เป็นเสียงสตรีที่เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก"พี่เหมยหลิน ท่านใช่ไหม? ท่านอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวให้ข้าเจอสักครั้ง? " คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป "ความตายของเจ้าเท่านั้น! ที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมไปชั่วชีวา ฮ่าฮ่า""อึก!!!" ใจดวงนี้ไขว้เขว และหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อพบว่าร่างกายของตนเปล่งประกายเจิดจ้า แต่ทว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานไปทั้งตัว ราวกับจะแตกสลายไปเสียให้ได้ แผนการของเหมยหลินมีมากเกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก สุดท้ายแล้วนางก็หนีไม่พ้นความตาย แม้จะพยายามเอารอดสักเพียงใด ก็เหมือนยิ่งใกล้ความตายเท่านั้น สุดท้ายต้องมาตาย ณ ที่แห่งนี้จริงๆ เหรอ"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา " เสียงนุ่มนวลของบุรุษดังขึ้น "ใครนะ! เรียกข้าเหรอ?" ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง ทว่ากลับไร้แม้เงา กลับกันพบบุรุษร่างสูงยืนพินหลังให้ตน รางบางไม่รีรอเร่งฝีเท้าหมายจะเห็นหน้าตาคนนี้ผู้นี้ให้จงได้ แต่ทว่าดวงตาสีนิลเบิกโต เมื่อพบว่า ไม่ใช่ใครอื่น
ร่างสง่างามเดินย่างกายย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่สลัว มีเพียงคบเพลิงคอยให้ความสว่าง ทางคดเคี้ยวลึกเข้าไปยาวนานกว่าที่นางคิดไว้ ดวงตาสวยเหลือบมองไปรอบตัว อย่างหวาดหวั่น ภายในใจนั้นครุ่นคิดว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงใจกล้าเพียงนี้ สองมือกำกระบี่แนบแผ่นอกไว้แน่น "หันหลังกลับไปยังทันไหมนะ!" นางพึมพำกับตนเองเพื่อข่มความกลัวเอาไว้ ดวงตาสะดุดเขากับโขดหินที่มีสัญญาลักษณ์สีแดงตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้านาง"ยังด้านในอีก ไร้ซึ่งกำแพงป้องกัน สามารถเดินเข้าไปได้...หากผู้นั้นต้องการเป็นอาหารมัน" น้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อพบว่าด้านในเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ว่า ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน แสงสว่างด้านในไม่ใช่เสียงจากคบเพลิง แต่เป็นแสงจากจันทราที่สาดส่องมาจากช่องทางหนึ่งซึ่งไม่อาจรู้ได้เลย หากไม่ย่างกายเข้าไป ความกลัวหรือจะสู้ความใคร่รู้ของนางได้ ร่างบางระหงมุ่งตรงไปอย่างข่มความกลัวไว้ภายในใจ"เอ๊ะ!" ดวงตาสวยเบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าด้านในมันช่างกว้างขวาง ด้านบนถูกดัดแปลงเป็นกระจกใส มองเห็นจันทรากลมโตตั้งสง่ากลางนภาลัย กำแพงถ้ำปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มประดับประดาด้
ฉายา หมาป่าจอมทมิฬ ได้มาเมื่อครั้นท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยทำศึกสงครามกับสามแคว้น เขาใช้ไหวพริบควบคู่กับทักษะร่ายรำกระบี่คู่กายเผชิญหน้าเหล่าศัตรูนับร้อยดั่งเช่นหมาป่าทมิฬว่องไว และรวดเร็ว อีกทั้งดวงตาคมกริบเพ่งมองคนเบื้องหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว แม้จะได้รับบาดเจ็บเพียงไม่น้อย ทว่าความมุ่งมั่น ความอดทน และยึดมั่นในหลักการของท่านแม่ทัพอันแน่วแน่ของเขา ช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังให้เหล่าทหารจนชนะสงครามทุกครั้งไป แม้สงครามระหว่างแคว้นสงบลง ถึงกระนั้นขึ้นชื่อว่าท่านแม่ทัพผู้ซึ่งได้รับราชโองการจากองค์จักรพรรดิไม่อาจนิ่งดูดายต่อแคว้นของตนได้ การคัดเลือกทหารชั้นผู้น้อยจึงเริ่มขึ้น เพื่อเตรียมกำลังพล และความพร้อมเมื่อครั้นสงครามได้มาเยือน ทหารจึงต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อเพิ่มทักษะการต่อสู้ให้แข็งแกร่งมากพอ ที่จะร่วมสงครามได้ แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ใจไม่สู้ก็ย่อมสูญเปล่า เหล่าทหารขององค์จักรพรรดิย่อมต้องรู้ดีว่า เพลิงแห่งศึกยังมิอาจ มอดดับ คมศาสตร์ในมือหนักอึ้ง ดุจภาระที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงหนึ่งแว่วดังก้องในจิตใจ ต้องลงเล่นหมากรุกในกระดานจนกว่ากลิ่นธุลี และโลหิตเจือปนอยู่ในอากาศ "ท่านแม่ทัพช่างสำราญใจเหลื
ทางด้านหลานจินที่แอบสะกดรอยตามลี่หวัง และสี่ซาน เพียงหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวของยู่หลงบ้าง ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ เขายิ่งเป็นกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่ซ้อมประลองกระบี่ในครานั้น ก็ไม่พบเจอนางอีกเลย ไม่มีแม้แต่จะรับรู้ข่าวคราวของนาง จนเกิดความร้อนรนบ่นความห่วงใยขึ้น ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ทุกวันร่ำเรียนกระบี่ดังเช่นหุ่นเชิด มีชีวิตแต่ไร้ซึ่งลมหายใจ การกระทำเช่นนี้สร้างคำหงุดหงิดให้ใครผู้หนึ่งเป็นอย่างยิ่งตรึง!! ร่างสูงโปร่งกระเด็นไปไกลนอนคุดคู้ มือนั้นกุมท้องน้อยอย่างเจ็บปวด เพราะเท้าแข็งแกร่งของใครผู้หนึ่ง ที่ไม่อาจทนมองความอ่อนแอของบุรุษผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารขององค์จักรพรรดิได้ โดยเฉพาะทหารผู้นี้"ทำเยี่ยงนี้กับข้าได้อย่างไรกัน? " เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ รวบรวมกำลังพยุงร่างตนเองขึ้นมา มือสะบัดไปทั่วชุดทหารที่เปื้อนดิน ไม่แม้แต่จะแหงนหน้ามองคนผู้นั้น "ท่านแม่ทัพไม่ต้องการทหารอ่อนแอ ไม่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้า " ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้านิ่ง "ข้าแค่....โอ๊ะ! ท่านลี่หวัง!" ดวงตาเย็นชาของเขาประสานเข้ากับดวงตาคมกริบของเขานิ่งนาน "หลายวันมานี้ ข
กาลเวลาผ่านไป หลายวันแล้วที่เสี่ยวเยาไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแม่ทัพเพื่อปรนนิบัติตามที่เคยเป็น ในแต่ละวันนางเอาแต่ยุ่งอยู่กับการประลองกระบี่ ท่องตำรายุทธการต่อสู้ ร่วมกับเหลาจิน และสหายร่วมสนามรบในค่ายทหาร"ยู่หลง เต้าต้องมองกระบวนท่าการใช้กระบี่ของศัตรูให้มั่นเสมือนดวงตาอินทรีย์" ดวงตาเข้มละมุนดูแพรวพราวเมื่อมองคนเบื้องหน้า"ได้!" น้ำเสียงใสดูมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความประทับใจให้หลานจิน แม้จะรู้ว่าตนแปลกประหลาดที่ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาของดวงใจได้ การประลองกระบี่ด้วยความคล่องแคล่ว อย่างองอาจ และสง่า สร้างความประทับใจให้เหล่าสหายนับร้อย หนึ่งในนี้ยังมี ดวงตานุ่มลึกเพ่งมองสตรีแสดงกระบวนท่าตั้งรับกระบี่ฝั่งตรงข้ามได้กล้าหาญไม่แพ้บุรุษ"เอ๊ะ!" ฉับพลันดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหลานจิน กลับกลายเป็นใบหน้าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผู้ซึ่งทำให้หลายวันมานี้ นางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพิ่งรู้ใจตนเองว่าชื่นชอบท่านแม่ทัพเข้าให้แล้ว ยิ่งคิดยิ่งวิตกกังวล ในฐานะของนางตอนนี้ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่แสดงความรู้สึกได้ สู้หลบหนีในห่างเขา ไม่ใกล้กัน ย่อมไม่หวั่นไหวไปมากกว่าเดิ
แสงสีทองลับขอบฟ้า วิหคน้อยฝูงใหญ่บินล่องลอยกลางเวหามุ่งสู่รัง ทางด้านเสี่ยวเยาแปรสภาพเป็น ยู่หลงเช่นเดิม อย่างไรก็ตามนางไม่วายคลางแคลงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะพบเจอแต่เรื่องประหลาดมากมาย จนนางอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงง่ายดายเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า "ทุกสิ่งในวันนี้ช่างพอเหมาะ ได้ทั้งปิ่นปักผมที่ชอบ และเสื้อผ้าสวยๆ มาฟรี หรือเราคิดมากไปเองนะ!" นางซ่อนทุกอย่างไว้ในห้องเป็นอย่างดี อย่างไรเสีย คือมันของล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง ณ เวลาอยู่ที่แห่งนี้ ร่างบางย่างก้าวไปยังที่พักของท่านแม่ทัพ เพื่อรายงานตัว แววตาใสจ้องมองบุรุษผู้มุ่งมั่นอยู่กับการอ่านตำรายุทธศาสตร์ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน จนนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเผลอตัว "เก่งไปทุกด้านเสียจริงๆ" เจิ้งเจี๋ยปิดตำราก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย สายตาคมคลายหล่อเหลาจับจ้องมองที่นาง "วันนี้ดูเจ้าสุขอุรา ใบหน้าอิ่มเอมเหลือเกิน" ดวงตาดอกท้อช้อนสายตาขึ้นมองอย่างไม่คิดจะหลบตา "คงเพราะความเมตตาของท่านแม่ทัพ ข้าเลยเที่ยวเพลินเลย เอ๊ะ! ลี่ซาน ลี่หวัง! " นางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหยุดยิ้มลง ดวงตาสีนิลจ้องเขม็งอย่าง