สองย่าหลานช่วยกันถือห่อธัญพืชและเนื้อเลวเดินเข้าไปในครัว นางหูคิดไม่ตกว่าเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันจะกลายมาเป็นเนื้อสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้หมิงจึงบอกให้ท่านย่าทำตาม ด้วยขนาดตัวที่เล็กเท่าเด็กห้าขวบ จะให้มาทำอาหารก็คงจะเป็นไปไม่ได้
แค่จะจับหม้อหรือกระทะ ก็ยกไม่ขึ้นแล้ว เขายังไม่อยากตายซ้ำสองเร็ว ๆ นี้หรอกนะ“ท่านย่า เตานี้สำหรับต้มโจ๊กธัญพืช ส่วนเตานี้ทำน้ำมันนะขอรับ ท่านย่าตัดเอาส่วนเนื้อออกไว้ก่อนนะขอรับ ส่วนวิธีทำง่ายมาก ขั้นแรกคือตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟแรง ๆ ในตอนแรก แล้วใส่ไขมันทั้งหมดลงไป เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เสียดายที่ไม่มีเกลือ แต่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรขอรับ แล้วค่อย ๆ คนให้ทั่ว ถ้าน้ำมันเริ่มออก เราจะเปลี่ยนไปใช้ไฟกลาง ต้องค่อย ๆ คน ป้องกันไม่ให้มันแตก ความร้อนจะทำให้ไขมันละลายออกมา เราจะเอาน้ำมันที่ออกมาจากไขมันนี้ไปทำอาหารขอรับ”
“ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือหมิงเอ๋อร์”
“ง่ายขนาดนั้นเลยขอรับท่านย่า แต่ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเจียวน้ำมันออกมาจนหมด ท่านย่าอาจจะต้องเมื่อยมือหน่อยนะขอรับ ส่วนกากไขมันที่ได้ เราจะเอาไปใส่ในผัดผักบุ้งขอรับ”
ได้ยินดังนั้น นางหูก็เริ่มทำการเจียวน้ำมันตามที่หลานชายบอก ถึงแม้จะเงอะงะในตอนแรก แต่จางอี้หมิงที่เป็นนักทำอาหารมาก่อนก็คอยประกบไม่ห่าง การเจียวเอาน้ำมันมาใช้จึงสำเร็จไปได้ด้วยดี
“ท่านย่าขอรับ ตักน้ำมันที่ได้ออกมาพักไว้ให้เย็นก่อน เราสามารถเก็บน้ำมันไว้ทำอาหารได้หลายอย่างเลยขอรับ”
“ได้ ๆ แล้วกากอันนี้ละหมิงเอ๋อร์ ต้องเอาไปทำอะไร”
“ท่านย่า กากนี้เรียกว่ากากเนื้อหมู เราจะเอามาใส่ในผัดผักบุ้ง ท่านย่าแยกเอาไว้ต่างหากก่อนนะขอรับ บ้านเราพอจะมีกระเทียมกับขิงไหมขอรับ”
“กระเทียมหรือ มีนะ อันนี้เราหาได้ตามป่า”
“โอ้ ดียิ่งขอรับ ท่านย่าทุบกระเทียมให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว เอากระเทียมลงไปเจียว พอกระเทียมเริ่มเหลือง ใส่ผักบุ้งลงไป ตามด้วยเครื่องเทศสักเล็กน้อยแล้วก็คนเร็ว ๆ” หมิงเอ๋อร์อธิบาย “ท่านย่าสุมไฟแรง ๆ เลยนะขอรับ ผัดไม่ต้องนาน”
“หมิงเอ๋อร์ ผัดแค่นี้พอไหม” นางหูเงยหน้าขึ้นจากเตาเพื่อเอ่ยถามหลานชาย
การปรุงอาหารมาถึงขั้นตอนใส่ผักบุ้งและเครื่องเทศลงไปแล้ว เด็กน้อยชะเง้อคอมอง ท่าทีราวกับพ่อครัวจากร้านอาหารชื่อดัง
“ท่านย่า พอแล้วขอรับ ผัดนานผักบุ้งจะเหนียวและไม่อร่อย ท่านย่าอย่าลืมโรยด้วยกากเนื้อหมูนะขอรับ” พ่อครัวตัวน้อยเอ่ยสำทับท่านย่าอีกครั้ง
“กลิ่นอันใดถึงได้หอมออกไปถึงข้างนอก” จางอี้เทาที่เสร็จจากอาบน้ำเดินเข้ามาในส่วนครัวเพราะได้กลิ่นหอมจากอาหาร มันเป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือขอรับ นี่คือผัดผักบุ้งไฟแดงใส่เครื่องเทศขอรับ รับรองท่านพ่อต้องเติมข้าวสองถ้วยแน่นอน”
“เช่นนั้นหรือ โอ้อวดไปหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ รู้สึกทั้งขบขันและเอ็นดูบุตรชายที่ยืดอกเล็ก ๆ ตอบบิดาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องเหลือเกิน
“ท่านพี่ ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์”
หลี่อ้ายเดินตามมา นางตื่นได้สักพักแล้ว อาการไข้เริ่มดีขึ้นหลังจากที่ได้นอนพักตลอดทั้งบ่าย ทำเอาสองพ่อลูกและท่านย่าพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“น้องหญิงตื่นแล้ว!”
“ท่านแม่ตื่นแล้ว!”
“สะใภ้ เจ้าตื่นแล้ว!”
“เจ้าค่ะ กลิ่นหอมปลุกให้ข้าตื่น...”
“สะใภ้ เจ้าไปนั่งที่แคร่ก่อน เพิ่งตื่นขึ้นมาอาจจะยังวิงเวียน แม่ทำอาหารจานเนื้อไว้ หมิงเอ๋อร์เป็นคนสอนแม่ให้ทำ มีอะไรไว้ไปเล่าตอนกินข้าว อาเทา มาช่วยแม่ยกกับข้าวออกไปด้วย”
“ขอรับ”
นางหูตักโจ๊กธัญพืชใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ ตามจำนวนคน และตักผัดผักบุ้งไฟแดงยื่นส่งให้ลูกชายเพื่อนำออกไปวางที่สำรับ เมื่อทุกคนนั่งล้อมวงกันแล้ว จางอี้เทาจึงเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“กลิ่นหอม หน้าตาใช้ได้ แต่ไม่รู้รสชาติจะอร่อยหรือไม่”
“ท่านพ่อ ข้ารับรองว่ามันต้องอร่อยขอรับ ผัดผักบุ้งจานนี้จะอร่อยมากกว่านี้ถ้าเรามีเกลือ พริกสด และเครื่องปรุงอย่างอื่น แต่แค่เครื่องเทศที่นำมาใช้แทนเครื่องปรุงก็พอได้ขอรับ เครื่องเทศให้ความหอมและรสเผ็ดร้อน ถึงแม้จะไม่มีเกลือ แต่ก็ดีกว่านำมาต้มกินขอรับ ท่านพ่อลองดูหน่อยนะขอรับ”
จางอี้หมิงอธิบายให้บิดาฟังพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบผัดผักบุ้งใส่ลงไปในถ้วยโจ๊กของบิดา ดวงตาใสซื่อมองด้วยความคาดหวัง จางอี้เทาจึงปฏิเสธไม่ลง ต้องหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบผักบุ้งชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาลองแตะที่ริมฝีปาก เมื่อได้สัมผัสกับรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน ประกอบกับบุตรชายที่กำลังมองมาด้วยสายตาลุ้นระทึก จางอี้เทาถึงกับกลั้นหายใจ พุ้ยผัดผักเข้าปากไป
“ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“อร่อย มันอร่อยมาก พ่อไม่เคยได้กินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย น้องหญิงเจ้าลองดู อร่อยมากเชียวล่ะ” จางอี้เทาเอ่ยตอบบุตรชาย ก่อนจะคีบผัดผักบุ้งวางลงไปบนถ้วยโจ๊กของภรรยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เด็กน้อยถามเมื่อเห็นมารดากินเข้าไปเต็มคำ
“อร่อยมาก หมิงเอ๋อร์ มันเรียกว่าอะไรนะ”
“ผัดผักบุ้งเครื่องเทศขอรับ ที่มันอร่อยเพราะเราปรุงอาหารด้วยการใช้น้ำมันมาผัด”
“น้ำมันเช่นนั้นเหรอ มันคืออะไร แม่พลาดสิ่งใดไปหรือไม่”
ลืมไปว่าท่านพ่อกับท่านย่ารู้เรื่องแล้ว แต่ท่านแม่ยังไม่รู้เพราะท่านแม่นอนป่วยอยู่นี่นา
“สะใภ้ไม่ต้องตกใจไป หมิงเอ๋อร์เล่าให้แม่ฟังว่าตอนที่ไม่สบาย ท่านเทพมาพาไปสวรรค์ และสอนความรู้ต่าง ๆ ให้มากมาย และยังรักษาโรคให้หมิงเอ๋อร์ด้วย การผัดและอาหารในวันนี้ ก็เป็นอาหารสวรรค์เช่นกัน”
“อะไรนะเจ้าคะ หมิงเอ๋อร์ เป็นความจริงหรือลูก โอ้! ขอบคุณสวรรค์ที่คืนหมิงเอ๋อร์ให้กับข้า” หลี่อ้ายถึงกับตาโตด้วยความตกใจ ในขณะเดียวกันนางก็ดีใจจนน้ำตาคลอที่ได้บุตรชายคืนกลับมา
“น้องหญิง เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้หมิงเอ๋อร์สบายดี อย่าได้เป็นกังวลอีกเลย ห่วงแต่น้องหญิงเถอะ ไม่สบายแบบนี้ต้องพักผ่อนให้มาก ๆ ครอบครัวเราคงจะไม่ไหวถ้าน้องหญิงล้มป่วย”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าจะพยายามรักษาตัวดี ๆ นอนพักสักไม่กี่วันคงจะหายดีเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปเรียกท่านหมอผิงนะเจ้าคะ”
“หมิงเอ๋อร์ อาหารวันนี้อร่อยมากจริง ๆ เรามีน้ำมันที่เจียวไว้อีกมาก คงกินไปได้อีกหลายมื้อ ผักบุ้งเราก็ไปเก็บเอาที่ริมบึง ใช่แล้ว มันยังมีผักอีกอย่างหนึ่งนี่ หมิงเอ๋อร์ทำเป็นใช่หรือไม่” นางหูเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น หลังจากที่ได้ลองชิมอาหารสวรรค์อย่างผัดผักบุ้งเครื่องเทศแล้วก็อยากลองผักอีกชนิดที่ว่า
“ทำเป็นขอรับท่านย่า แต่ว่าคงยังเอามาทำไม่ได้ ไข่น้ำถ้ามีเครื่องปรุงไม่ครบ มันจะมีกลิ่นคาว ข้าขอหาวิธีกลบกินคาวก่อนนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบท่านย่าก่อนจะเอ่ยสำทับ
“อย่าลืมกินกากหมูด้วยนะขอรับ มันกรุบ ๆ อร่อยใช่ไหมขอรับ”
“อือ อือ อือ”
ทว่าเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงอือในลำคอเท่านั้น เพราะตอนนี้ทั้งนางหู ลูกชายและลูกสะใภ้ ต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาคีบผัดผักบุ้งเครื่องเทศเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ครอบครัวจางเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารสวรรค์ ปล่อยให้จางอี้หมิงแอบยกยิ้มคนเดียวเงียบ ๆ
ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า
ต่อไปข้าจะทำให้ครอบครัวของเราดีขึ้นแน่นอนขอรับ
ข้าสัญญา
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้ หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝูแม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อ
เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียวในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไก่นึ่งของทางเหลาอาหารเฟิ่งฟูก็สุกได้ที่ เล่อหยุนจึงทำการรมชาเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อคำนวณเวลาโดยประมาณแล้ว ฝั่งของเขาจะเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดถึงหนึ่งชั่วยามการรมชาทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนทำการรมชา เล่อหยุนนำน้ำผึ้งผสมด้วยซีอิ๊วมาทาลงไปบนตัวไก่ที่นึ่งสุกแล้วเพื่อให้ตัวไก่มีสีสันสวยงาม หลังจากนั้นจึงนำข้าวสาร น้ำตาล และใบชาชั้นดีลงไปคั่วในหม้อจนน้ำตาลเริ่มละลาย เมื่อควันเริ่มลอยออกมาจึงนำหม้อนึ่งไก่ลงไปอบด้วย เขาใช้เวลาประมาณ 60 ลมหายใจ ก่อนจะยกหม้อลงจากเตาและทำการรมควันแบบนั้นไปอีกหนึ่งเค่อ เพียงเท่านี้ก็จะได้ปักษาล่องลมที่มีสีสันน่ากินและรสชาติล้ำเลิศแล้วเล่อหยุนตกแต่งอีกเพียงเล็กน้อย เขาทำการตัดชิ้นส่วนของปักษาล่องลมให้พอดีคำ ง่ายต่อการชิมของคณะผู้ตัดสิน นอกจากนำไปส่งให้กับคณะผู้ตัดสินแล้ว อาหารอีกหนึ่งชุดถูกนำไปขึ้นโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ทดลองชิมเช่นกัน“ไก่ชิ้นนี้อร่อย นุ่ม หอมกลิ่นชาเมื่อกินกับข้าวร้อน ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว”“ในเมืองหน้าด่านเช่นนี้ เพียงอาหารที่อร่อยและใช้วัตถุดิบน้อย ก็เป็นสิ่งที่พ่อครัวต้องคิดถึงเช่นกัน ปักษาล่องลม ถือว่าได้คุ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงประกาศจบลง บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูการแข่งขันของสองเหลาอาหารชื่อดังต่างพากันเงียบเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการปรุงอาหารของผู้แข่งขัน หนิงอ๋องแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวก้มศีรษะคารวะทำความเคารพไปยังที่นั่งของแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอดีตพ่อครัวหลวงอย่างเล่อหยุนเองก็ยิ้มย่อง รายการอาหารที่เขาเลือกนำมาปรุงในวันนี้คือ ปักษาล่องลม หรือ ไก่รมชา นั่นเอง ขั้นตอนการปรุงปักษาล่องลมนั้นก็ไม่ยุ่งยากวัตถุดิบน้อยอย่างแต่กลับมีรสชาติที่น่าทึ่ง เล่อหยุนใช้ไก่ทั้งตัว ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าขาวซับน้ำให้ตัวไก่แห้งสนิท ตามด้วยสมุนไพรฮวาเจียว ขิง ต้นหอม ใส่ลงไปในตัวไก่เสร็จแล้วจึงกลัดด้วยไม้เสี้ยนเพื่อให้เครื่องเทศอยู่ในตัวไก่ไม่หลุดออกมาหลังจากนั้นใช้เกลือเม็ดมาทาทั่วทั้งตัวไก่แล้วตามด้วยพริกหอมฮวาเจียวอีกครั้ง ก่อนนำไปพักไว้ให้ตัวไก่ได้ดูดซับเอาเครื่องเทศเข้าไป ทางเหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมทั้งหมด 5 ตัว ในระหว่างที่รอหมักไก่ให้เข้าที่ พ่อครัวหลายคนของเหลาเฟิงฟู่ก็เดินมายืนชมพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูพลางส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด“อา
ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปีมีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่งณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้นในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไปและอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไปเกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่