ตอนที่ 11 ธาตุแท้!!
‘น้องลิน...แฮ่กๆๆ’ เสียงคุ้นเคยที่ดูเหนื่อยหอบเอ่ยเรียกฉันดังมาจากด้านหลัง
ทันทีที่ฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคือหลานชายป้านี พี่ข้างบ้านที่อายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี
‘อ้าวพี่ราม สวัสดีค่ะ’ ฉันยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม เพราะถึงแม้ว่าน่าจะนานเป็นปีแล้วก็ตามที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังจำได้ดีว่าตอนเด็ก ๆ ฉันก็มีกับพี่รามเล่นกันสนุกมากขนาดไหน
‘น้องลินพี่ขอโทษนะที่มาช้า พอดีพี่เพิ่งลางานได้’ พี่รามเอ่ยขอโทษขอโพยฉันทันที แม้ว่าตัวเองยังมีอาการหอบเหนื่อยจากการวิ่งมาเมื่อครู่
‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ฉันตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่งไป
‘อ้าว...ตารามมาถึงแล้วรึ ทำไมมาช้าจังล่ะ ป้าโทรไปบอกตั้งหลายวันแล้ว’ ส่วนป้านีที่เพิ่งเดินมาถึงหลังจากที่เห็นหลานชายตัวดีวิ่งมาแต่ไกล
‘สวัสดีครับป้า ผมเพิ่งลางานได้ครับ พอดีที่บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่เลยต้องอยู่เคลียร์งานก่อน’ พี่รามยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ของตน ก่อนจะเอ่ยอธิบายให้ผู้เป็นป้าฟัง
'งั้นเหรอ เออ ถ้างั้นเดี๋ยวมาช่วยป้าเคลียร์ตรงนี้นะ เดี๋ยวเอารายการของพวกนี้ไปคืนวัดด้วย แล้วก็...บลาๆๆๆ' ป้านีสั่งการพี่รามชุดใหญ่ อย่างกับไม่ต้องการให้ฉันทำอะไร
'ป้านีให้ลินช่วยนะคะ พี่รามเดี๋ยวลินช่วยค่ะ' ฉันยิ้มบาง ๆ ก่อนจะรีบเดินไปช่วยพี่รามยกของ
'ไม่ต้องเลยน้องลินแค่นี้เองพี่ทำได้สบายมาก น้องลินไปนั่งพักเถอะ / นั่นซิหนูลินไปนั่งพักเถอะไป๊ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะ ตรงนี้ให้เจ้ารามมันจัดการเถอะ' ทั้งสองป้าหลานเอ่ยปากออกมาแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะพร้อมใจกันไล่ฉันให้ไปนั่งพักและไม่ยอมให้ฉันช่วยอะไร
ฉันยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณคนทั้งสอง ก่อนจะเดินไปนั่งตามคำบอกด้วยไม่อยากขัดใจให้พวกเขาต้องเหนื่อยใจเพิ่มขึ้น อีกทั้งสายตาที่มองถอดไปยังป้าหลานทั้งสองคนที่มีบุญคุณและดีกับฉันเหลือเกิน
สายตาที่มองไปพร้อมกับนึกคิดย้อนไปถึงเรื่องราวเก่า ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้ชายตรงหน้าที่ฉันนับถือเหมือนพี่ชายตลอดมา...อย่างพี่ราม...พี่รามที่ไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายข้างบ้านแต่เขายังเป็นหลานชายคนเดียวของป้านี และป้านีเองแกก็ยังรักพี่รามเหมือนลูกเนื่องจากป้านีไม่มีสามี ส่วนพี่รามที่มักจะมาเที่ยวบ้านป้านีในช่วงทุกปิดเทอมอยู่บ่อย ๆ เลยทำให้ฉันได้รู้จักกับเขาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเวลาที่พี่รามมาบ้านป้านี ฉันก็มักจะไปคลุกอยู่กับเขาแทบจะทั้งวัน และบางครั้งที่ฉันเล่นเหนื่อยจนเผลอหลับไป ถ้าฉันไม่นอนค้างบ้านป้านี ก็ได้พี่รามนี่แหละที่เป็นคนแบกฉันขึ้นหลังกลับมาส่งบ้าน
ฉันที่นั่งคิดเรื่องราวเก่า ๆ ไปพลางอมยิ้มไปพลาง ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะจางหายไปเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเริ่มเสียความสดใสไป และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเหตุการณ์ไหนไม่ได้เลยนอกจาก...วันที่แม่ฉันทิ้งฉันไป นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เริ่มเก็บตัวและไม่ไปสุงสิงกับใครทั้งนั้นแม้กระทั่งเพื่อนที่โรงเรียนฉันก็ถอยห่าง จนสุดท้ายแล้วฉันก็แทบจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยแม้กระทั่งป้านีและพี่ราม
แต่ทว่า...คนดียังไงก็คือคนดี เพราะป้านีที่ยังคอยแสดงความห่วงใยต่อฉันเสมอ อีกทั้งพี่รามที่ยังอุตส่าห์ลางานมาร่วมส่งพ่อฉันเป็นครั้งสุดท้าย และการกระทำที่จริงใจของพวกเขานั้นก็ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงมิตรภาพและความจริงใจที่ไม่ใช่แค่คนสายเลือดเดียวกันจะมีให้กันได้
‘ขอบคุณป้านีกับพี่รามมากเลยนะคะ สำหรับทุกอย่าง’ ฉันยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมอีกครั้งเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง
และในจังหวะเดียวนั้นเอง...
‘น้องลิน...!! / หนูลิน...!!’
เสียงของป้านีและพี่รามที่ต่างพร้อมกับกันตะโกนเรียกชื่อฉัน ก่อนที่สติของฉันจะดับวูบลงไป
พั่บๆๆๆ
‘เลวจริง ๆ ทำกันแบบนี้ได้ยังไง...หึ’
ฉันสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองได้มานอนอยู่บนโซฟากลางบ้านป้านี พร้อมกับที่ป้านีกำลังสลัดพัดในมือไปมาหลังจากที่ฉันหมดสติลงไป
‘ฟื้นแล้วเหรอหนูลิน...กินยาหอมก่อนนะ...โธ่...นี่คงไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยล่ะซินะ’ ป้านียื่นแก้วยาหอมมาให้ด้วยความเป็นห่วง
หลังจากที่ฉันรับยาหอมมาจิบไปเพียงเล็กน้อย ภาพตรงหน้าก็ยิ่งตอกย้ำว่าฉันกำลังนอนอยู่ที่โซฟากลางบ้านของป้านี ไม่ใช่บ้านของพ่อฉัน
‘นะ...นี่หนู’ ฉันที่กำลังรวบรวมสติเอ่ยถาม ป้านีก็สวนขึ้นมาทันที
‘หนูลินเป็นลมไปไงลูก ดีนะที่เจ้ารามมันไว ไม่งั้นล่ะได้ล้มลงหัวฟาดพื้นแน่ ๆ’ ป้านีไขข้อข้องใจของฉัน ก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางหลานชายตัวเอง
‘พี่รามขอบคุณนะคะ ป้านีด้วยหนูขอบคุณป้าอีกครั้งนะคะ’ ฉันยกมือไหว้ป้ากับหลานที่ยืนอยู่ตรงหน้า
และในขณะที่ฉันกำลังลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะกลับบ้านของตัวเอง อากัปกิริยาของป้านีที่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ ก็ทำให้ฉันอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
‘พักอยู่นี่ก่อนก็ได้นะลูกอย่าเพิ่งกลับบ้านเลย’ ป้านีอ้ำ ๆ อึ้งๆ บอกด้วยความสีหน้าเป็นห่วง
‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูรบกวนป้านีมามากแล้ว ป้านีก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน หนูกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า’ ฉันตอบด้วยความเกรงใจ
‘แต่ว่า...’ ป้านียังคงอยากรั้งฉันเอาไว้
‘มีอะไรหรือเปล่าคะป้า’ ฉันเอียงคอถามด้วยความสงสัย
ก่อนที่ป้านีจะถอนหายใจแล้วบอกถึงความจริงที่ฉันควรรู้
‘เห้อ...ก็แม่ยุพินนะซิ เขาเอาแฟนเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว และป้าก็คิดว่าตอนนี้ถ้าหากหนูลินกลับเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นอีก มันจะเป็นอันตรายต่อหนูนะ เพราะป้าดูแล้วไอ้หนุ่มคนนั้นมันดูท่าทางไม่น่าไว้ใจเท่าไรเลย’ ป้านีพูดออกมาด้วยความหนักใจและไม่พอใจปนกัน
ส่วนฉันที่แม้จะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่จากภาพที่เห็นเมื่อครั้งตอนที่อยู่โรงพยาบาล บวกกับการที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยมางานพ่อของฉันเลยสักวัน มันก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นเข้าสักวัน
‘แต่บ้านนั้นเป็นบ้านพ่อลิน ถ้าลินไม่อยู่ที่นั่น ลินก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแล้วค่ะ’ ฉันบอกออกไปอย่างจนใจ นั่นก็เพราะบนโลกนี้ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว อีกทั้งบ้านหลังนั้นก็ยังเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อของฉันทิ้งไว้ให้
ป้านียังคงมีทีท่าอยากจะรั้งฉันเอาไว้ แต่เมื่อท่านเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของฉัน ท่านก็ได้แต่จำใจปล่อยให้ฉันกลับบ้านไป และคงทำได้เพียงแค่คอยเฝ้าดูด้วยความเป็นห่วงเฉกเช่นเหมือนอย่างที่เคยทำมา
จากนั้นฉันก็ได้เอ่ยร่ำลาทั้งป้านีและพี่รามเพื่อกลับบ้าน แม้ว่าทั้งสองจะยังมีสีหน้าเป็นกังวลใจแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจจะรั้งฉันเอาไว้ได้
‘มีอะไรต้องรีบโทรมาหาป้าเลยนะหนูลิน’ ป้านีทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วง
ฉันยิ้มรับแทนคำตอบ ก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากบ้านป้านี...
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ