หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ กัดริมฝีปากล่างอย่างประหม่า ศศินมองภาพนั้นไม่วางตา รอยโลหิตค่อยๆ ถูกฟันขาวๆ กรีดมันออกก่อนจะเรืองรองขึ้นมาอีกครั้งกลายเป็นริมฝีปากสีชาดอิ่มสวย
“บอกไว้ก่อนว่าสิ่งที่เธอวางแผนไว้คงสำเร็จได้ยากหน่อย ก็จริงที่เธอได้อยู่ร่วมห้องกับฉัน แต่เรื่องนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น แค่นี้ชีวิตฉันก็ยุ่งวุ่นวายพอแล้ว ฉันไม่หาเรื่องให้ตัวเองเพิ่มหรอก ครบสามเดือนก็รีบๆ ย้ายออกไปซะ นี่คือความหวังดีที่สุดจากฉันแล้ว เข้าใจนะ”
เวนิสาพยักหน้าหงอยๆ
“พี่คะ”
“อะไร”
“ขอ...สักที จะไม่ลืมพระคุณ”
“เวนิสา!”
ศศินอยากจะบ้าตาย ที่พูดออกไปยืดยาวนั่นมันไหลเข้าสมองหล่อนบ้างไหม
“ฉันคงอยู่เฉยๆ รอวันย้ายออกไปไม่ได้หรอกค่ะ ชีวิตฉันขึ้นอยู่กับพี่ ฉันต้องท้องกับพี่ให้ได้ ต้องอ่อยท่าไหนฉันก็จะสู้ รอดูได้เลย!”
ศศินยกมือกุมขมับ นี่เขาพูดกับท่อนไม้หรืออย่างไร
“เธอนี่จริงๆ เลย เคยเข้าใจอะไรบ้างไหม รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่เธอมาอยู่ใกล้ฉันฉันต้องเปลืองพลังงานมากแค่ไหน ฉันพูดมากจนปวดกรามไปหมดแล้ว!”
คนหล่อเริ่มโมโห ชีวิตอันราบเรียบที่เขาชินชาเริ่มสั่นคลอนเพราะผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อเวนิสา แม่ดาววีนัสผู้เจิดจรัสข้างดวงเดือน
“จริงหรือคะ ไหนๆ ให้ฉันดูหน่อย เดี๋ยวน้องนวดให้นะคะพี่ขา...”
เวนิสาว่าแล้วยิ้ม ขยับเข้าไปใกล้แล้วเลื่อนสองมือประคองแก้มสากเอาไว้ ใช้นิ้วทั้งสิบนวดแนวคางเหลี่ยมได้รูปเบาๆ สันกรามของเขานูนขึ้นมายามเจ้าตัวกัดฟันแน่นๆ คงจะข่มความโกรธอยู่กระมัง
“เอามือออกไปเดี๋ยวนี้”
“ชู่ว์...นิ่งๆ สิคะ ปวดกรามไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันนวดให้ ฉันนวดเก่งนะ”
คนสวยตีมึนทำไม่รู้ไม่ชี้ ขยับนิ้วเรียวบนแนวคางเหลี่ยมอย่างนุ่มนวล แรงนวดอันพอเหมาะไม่ได้ทำให้ศศินผ่อนคลาย กลับกันมันทำให้โลหิตในกายเขาเต้นเร่ารุนแรงขึ้นมา
“ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อยไง!”
เขาสั่ง แต่เวนิสาหลับตาหนีคำสั่งนั้น ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มบางๆ ดวงตาที่หลับพริ้มทำให้ศศินลดความประหม่าเขินได้กึ่งหนึ่ง ดูเอาเถิด แก้มอมชมพู ริมฝีปากสีชาดระเรื่อ มันกำลังยั่วเขาอีกแล้ว ยั่วเขาอย่างไร้เดียงสาเหลือเกิน และเขาก็ไม่อาจทานทนอีกต่อไป
ริมฝีปากของศศินค่อยๆ โน้มไปหาริมฝีปากของเวนิสา ความนุ่มของผิวเนื้อสัมผัสกันแผ่วเบาแต่หนักหน่วงเหลือเกินในหัวใจของคนทั้งคู่ เวนิสาตาเบิกโต ในขณะที่ศศินหลับตาพริ้ม ขยับริมปากบนล่างขบเม้มเรียวปากนุ่มของเวนิสาอย่างโหยหา เสียงหอบหายใจของเขาสอดประสานกับเสียงหายใจของหล่อน ลิ้นร้อนค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปในโพรงปากนุ่มอุ่น ความเสียวซ่านผลิพุ่งในร่างของหนุ่มสาว เหมือนได้ลิ้มรสน้ำผึ้งรวงผสมคาราเมลอุ่นๆ ต่างพากันอ้าปากจ้วงชิมความหวานนั้นราวกับมิเคยพบพาน
เวนิสาใจเต้นรัวยิ่งกว่าตอนแรก นั่นมันมิใช่การจูบ นี่ต่างหากคือการจูบที่แท้จริง จูบที่ทำให้รู้ถึงรสหวานที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จูบที่ทำให้ร่างทั้งร่างอ่อนระทวยจนแทบยืนไม่อยู่ ทั้งมึนงง และสับสนว่าเขา...จูบเธอทำไม?
ลมหายใจของเวนิสาเริ่มติดขัด ด้วยว่ายังไม่ชำนาญในการจูบ หญิงสาวกลั้นหายใจทั้งที่ไม่จำเป็น สองขาพลันอ่อนแรง สองมือสองแขนอ่อนยวบราวกับไม่เคยใช้งาน เป็นศศินต้องดันร่างงามไปติดกับตู้เสื้อผ้า ทาบทับเวนิสาในท่าที่ยืนอยู่ ก่อนจะจูบเอา...จูบเอา ราวกับไม่เคยพบเจออิสตรี
“อื้อ...พะ...พี่ พี่คะ! ฉันหายใจไม่ออก!”
หวืด!
เธอรวบรวมแรงกายผลักเขาออก สองขาอ่อนแรงจนต้องทรุดกายลงไปนั่งกับพื้น มือสั่นระริกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
“พี่จะบ้าหรือไง! ฉันจะขาดใจตายแล้วนะ”
ศศินเริ่มเดินวนไปวนมาในระยะทางไม่กี่ก้าว สองมือขยุ้มเรือนผมดำขลับอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี นี่เขาทำอะไรลงไป เขาต้องอยู่ห่างจากเวนิสาสิ ไม่มอง ไม่เข้าใกล้หล่อนถึงจะถูก แต่นี่อะไร ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งมั่นใจว่าถูกคลื่นอะไรสักอย่างดูดดึงให้เข้าหา หล่อนต้องเป็นแม่มดแน่ๆ ให้ตายเถอะ ไม่รู้จะโยนความผิดอะไรให้หล่อนดี!
“เลิกเดินแบบนั้นซะทีได้ไหม แค่นี้ฉันก็มึนหัวจะแย่แล้ว”
คนถูกจูบท้วงเสียงขรม ยกมือสั่นๆ แตะริมฝีปาก ตรงข้ามเธอเป็นกระจกบานใหญ่ เลยได้เห็นใบหน้าตัวเองชัดๆ ปากเจ่อนิดๆ คงเพราะถูกบดคลึงอย่างหนักหน่วง จูบนั่นรุนแรงน้อยเสียเมื่อไหร่ อย่างน้อยมันก็ทำให้แก้มเธอยังแดงไม่หยุดละนะ
“หุบปากไปเลย นี่เธอทำอะไรกับฉันกันนะ ฉันไม่เคยเสียการควบคุมขนาดนี้มาก่อนเลย โธ่เว้ย!”
ยิ่งได้ฟังเขาสบถ เวนิสาก็ยิ่งน้อยใจ การจูบกับเธอกลายเป็นสิ่งผิดพลาดที่เกิดจากการเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว
“พี่จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเหรอ”
“แน่นอน ถ้ามีสติคิดว่าฉันจะจูบเธอไหมล่ะ อา...ไม่ได้ๆ ยิ่งอยู่ใกล้เธอ นอกจากพูดมากจนปวดกราม ฉันยังทำอะไรเพี้ยนๆ ไปอีก แย่แล้ว...แย่จริงๆ ฉันอาการหนักแล้วเนี่ย” เขาส่ายหัวแรงๆ ถอนหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด
“เป็นความผิดของฉันซะงั้น ฉันผิดตรงไหนฮะ ฉันอยู่ของฉันดีๆ พี่มาจูบฉันเองนะ”
“ผิดสิ! ก็เธอ...จะทำตัวน่ารักทำไมฮะ!”
คำตอบนั้นทำเอาคนที่นั่งอยู่เงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ ใบหน้าสวยของเวนิสาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ ต้องใช้มือกุมแก้มแล้วตบเบาๆ
“พี่อ่า...พูดแบบนี้ฉันเขินนะคะ อา...ร้อนๆๆ แก้มฉันร้อนไปหมดแล้ว” แล้วเวนิสาก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งหัวเราะคิกๆ สองมือกุมแก้มแดง
ศศินนั้นอ้าปากค้าง เขินหนักกว่าเวนิสาเป็นร้อยเท่า ทำอะไรไม่ถูกก็เดินหนีเข้าห้องน้ำเสีย ไม่หือ ไม่อือ แม้เวนิสาจะร้องเรียกรัวๆ
“พี่! พี่คะ ไม่ต้องเขินหรอกน่า ฉันน่ะ...ออกจะน่ารัก ถ้าพี่ไม่หวั่นไหว พี่คงไม่ใช่ผู้ชายแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
ฟิ้ว!
หมับ!
เสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งลอยหวือออกมาทางประตูห้องน้ำ เวนิสาคว้าหมับราวกับจับวาง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้เสื้อเชิ้ตของเขา
“แหม...ถอดเสื้อยั่วกันขนาดนี้ให้น้องเข้าไปถูหลังให้ไหมคะพี่ขา..”
“อย่าเข้ามานะ! ถ้าเข้ามาเธอตายแน่!”
นั่นคือคำตอบที่ทำให้เวนิสาหัวเราะร่า เธอเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องน้ำ เอียงหูฟังเสียงน้ำซู่ๆ แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะทิ้งเสื้อเชิ้ตเขาลงกับตะกร้าที่อยู่หน้าห้องน้ำนั้น ความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นนี้เธอจะเก็บไว้ในความทรงจำ เอาไว้นึกถึงยามคิดถึงเขา ยามที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
“พี่รีบๆ อาบนะคะ ฉันจะลงไปดูกับข้าวในครัว วันนี้คุณลุงอยู่บ้าน กินข้าวพร้อมกันนะคะพี่”
ศศินไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธกลับมา เวนิสาจึงเดินลงมาข้างล่าง ตรงดิ่งเข้าครัวเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของมื้อค่ำที่สั่งให้สาวใช้เตรียมของไว้รอ เธอจะลงมือทำมื้อค่ำด้วยตัวเอง อวดฝีมือให้ศศินชิมสักหน่อย
ตอนพิเศษจูบนี้คือสัญญา__________ห้าปีผ่านไปไวเหมือนนิยาย หน้าร้อนปีนี้เวนิสาพาครอบครัวและเพื่อนรักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เกาะชื่อดังทางภาคใต้ ด้วยพุงป่องๆ ของการตั้งครรภ์เข้าเดือนที่ห้าของเธอ ทำให้ศศินไม่อนุญาตให้นั่งเครื่องออกนอกประเทศ ทริปวันหยุดสุดหรรษาเลยตกลงปลงใจที่เกาะแห่งหนึ่งในไทยนี่เอง ในยามนี้ปลายภูและรวีกานต์ คงกำลังรำลึกความหลังเมื่อครั้งแต่งงานกันใหม่ๆ คงพากันเดินจูงมือดื่มด่ำคลื่นลมที่ชายทะเล ส่วนเจ๊หวานอาสาดูแลเด็กๆ ให้ ช่างเป็นทริปที่สุขีเกินจะกล่าวจริงๆ“อืม...ถอดหน่อยๆ ไม่ไหวแล้ว...”เวนิสาอ้อนพ่อของลูกอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม ศศินในชุดที่นุ่งเพียงกางเกงขาสั้น สวมเสื้อลายดอกไม่ติดกระดุม อวดแผงอกล่ำๆ ยั่วใจศรีภรรยา เขายังพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงเท่านั้น“ไม่เอา เดี๋ยวชาวบ้านเห็น ไปดูลูกก่อนดีกว่านะคะคนดี” ศศินอ้อนเมีย พยายามดึงมือที่กำลังลูบไล้แผงอกเขา ขนาดท้องอยู่ยังหื่นได้ใจนะแม่ตัวแสบ“ไม่เอา พี่อ่า...เมื่อคืนน้องจูนก็งอแง น้
ในค่ำคืนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกน้ำค้าง แลเห็นดวงดาราน้อยใหญ่ประปราย ณ ที่ตรงนั้นท่ามกลางหมอกหนาและดาราพร่างพราว พระจันทร์ดวงใหญ่กำลังอวดโฉมสีเหลืองนวลตาเวนิสากับกลุ่มเพื่อนนั่งสังสรรค์กันอยู่ บนระเบียงดูดาวเหนือหลังคาเรือนพัก พวกเขาปูเสื่อลงนั่ง มีผ้าห่มคนละผืน มีเครื่องดื่มวางตรงหน้าทั้งขนมขบเคี้ยวมากมาย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุขกระจ่างอยู่บนใบหน้าของทุกคน ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งค่อนคืนเมื่อเบียร์มากกว่าหนึ่งโหลถูกเทใส่กระเพาะน้อย ไม่นานหลังจากนั้นเจ๊หวานก็สลบเหมือด รวีกานต์กับปลายภูอาสาพยุงร่างหมีของเจ๊ลงไปส่งที่ห้องพัก แน่นอนว่าเพื่อนสาวของเวนิสาไม่ได้ขึ้นมาที่ระเบียงดูดาวอีก ตอนนี้จึงเหลือเพียงแม่ดาวพระศุกร์คนงามกับพ่อพระจันทร์ดวงโต“อืม...ทีนี้ก็ไม่มีก้างขวางคอแล้วเนาะ”ศศินว่าแล้วขยับไปหาเวนิสา พาร่างหล่อนนอนลง ใช้ผ้าห่มของตัวเองห่มทับทั้งสองร่างอีกชั้นหนึ่ง เขามองขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางหมอกหนายังแลเห็นดาวพระศุกร์ขึ้นเคียงข้างดวงจันทร์ เขาเผยรอยยิ้มละไม“พี่ยิ้มอะไรคะ”“ฉันน่ะ...เหมือนคนโง่แ
เจ๊หวานพยักหน้าเข้าใจ หากเปรียบผู้ชายเป็นของกินได้ ก็แสดงว่าผ่าน เพราะคนเราก็ยังต้องกินเพื่อความอยู่รอด อย่างน้อยรวีกานต์ก็ไม่ต้องทนง่วงอีกต่อไป เพราะมีม็อคค่าปั่นให้ซดทั้งคืน!“แล้วหล่อนละยะแม่ดาวพระศุกร์ ผู้ชายของหล่อนเป็นยังไง”เวนิสาถอนหายใจเฮือกๆ ศศินนั่นหรือ ยังไงดีล่ะ“ก็ดี...พอมองย้อนกลับไป ก็จำได้ว่าเวลาลำบาก เขาก็คอยดูแล คอยปลอบโยน คอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด แม้ว่าความเจ้าอารมณ์ของเขาจะทำให้ฉันอยากจับเขาลงทอดในกระทะก็เถอะ เขาน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี บางครั้งการกระทำกับคำพูดก็สวนทาง เรื่องนี้ฉันต้องทำใจให้ชิน”“แล้วไงยะ ก็โอเคในเรื่องนั้น แล้วเรื่องแซ่บล่ะ แซ่บมะ” เจ๊หวานยิ้มหื่นๆวนิสาหรี่ตามอง นึกว่าเธอจะไม่กล้าตอบหรือ เธอไม่ใช่แม่แสงตะวันผู้เหนียมอายนะ“แซ่บเว่อร์ค่าเจ๊! ฮ่าๆๆๆ”“อ๊ายยย!!!”เจ๊ร้องระงมเพราะถูกใจ เหล่าคนงานและสองหนุ่มเมืองกรุงฯ หันมามองทางพวกเธอ ปลายภูโบกมือใส่รวีกานต์ ส่งยิ้มหวานให้กันอย่างข้าวใหม่ปลามันที่แรกรักน้ำต้มผักยังหวานอยู่ ส่วนศศ
เวนิสาหรี่ตามอง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง “มาปิดให้ไว!”“คร้าบ! ปิดเดี๋ยวนี้คร้าบ!” ศศินจำต้องเดินรอบเตียงเพื่อมาปิดโคมไฟให้แม่ของลูก เอาเถิด จัดมาเสียให้พอ ให้ต้องโดนเมิน ต้องโดนจิกหัวหรือต้องเป็นทาสก็จัดมา สักวันเมื่อเวนิสาเริ่มเบื่อ หล่อนคงกลับมาเป็นแม่ดาวพระศุกร์ผู้น่ารักของเขาเหมือนเดิมกระมัง_________พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออก เหนือยอดเขา มันเริ่มโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆ ราวกับพู่กันอันใหญ่ที่จุ่มสีส้มแดงคอยแต้มแต่งเวิ้งฟ้ารวีกานต์จ้องมันไม่วางตา หมอกน้ำค้างเหนือชายคายังคงแรงอยู่ แต่มิอาจขัดขวางความตั้งใจ รอบๆ เรือนไม้ของปลายภูโอบล้อมด้วยต้นกาแฟเขียวชอุ่ม มันกินพื้นที่ทั่วทั้งหุบเขา ไม่ต้องบอกว่ามีมูลค่าทางการตลาดมากเท่าใด เธอไม่อยากคาดคิดเพราะอาจทำให้ตัวเองจุกความสุขตาย ในที่สุดฝันของเธอก็เป็นจริงสินะ ฝันว่าสักวันจะได้กลายเป็นซิลเดอเรลล่าของเจ้าชายรูปงามความรักที่เธอมีให้ปลายภูนั้น แม้ไม่ได้ถึงขั้นคลั่งไคล้หลงใหล แต่มันคือรักซึมลึกที่เธอเองยังไม่รู้ตัว ไม่ได้หวือหวา แต่แอบผลิดอกงอกงามในจิตใจ คว
[21]คำสัญญาจากพระจันทร์______________ไร่กาแฟ ณ ปลายภู สัปดาห์ถัดมาเรือนไม้หลังงามผุดขึ้นท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมด้วยต้นกาแฟ เส้นทางลดเลี้ยวยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา ทำให้สองสาวเมารถมากกว่าจะได้ชื่นชมธรรมชาติ กว่าจะนั่งรถขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ว่าที่คุณแม่ทั้งสองก็จอดรถอาเจียนไปหลายรอบ รวีกานต์ถึงกับหมดแรงนั่งซบอกพ่อเด็กน้อย ในขณะที่เวนิสานั่งหน้าบูดอยู่เบาะข้างหลังบนรถตู้คันหรู ส่วนเจ๊หวานจ้อเจรจาอยู่ด้านหน้ากับคนขับรถวัยขบเผาะหุ่นล่ำหน้าโหด ที่ถูกใจนางเสียเหลือเกิน“ใกล้ถึงแล้วครับ ตะวันไหวไหม”รวีกานต์ส่ายหน้า ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อจะได้กอดปลายภูดีๆ เธอซุกหน้าเข้าหาอกเขาราวลูกแมวตัวน้อยที่ต้องการไออุ่นจากเจ้าของ ปลายภูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบใจนักเวนิสามองเพื่อนรักกับปลายภูผ่านทางช่องว่างระหว่างเบาะนั่ง ได้แต่เบะปากใส่เพราะหมั่นไส้“นี่! แกจะอ้อนเด็กเพื่อ!?”“เรื่องของฉันน่า นั่งเงียบๆ ไปเลย คนจะสวีตกัน เนาะภูเนาะ”รวีกานต์ยิ้มหวานอย
“แล้วเธอมาทำไม!” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ค่อยพอใจนัก จากแค่ประหม่ามึนงง ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธเข้ามาปะปน เวนิสากำลังป่วนประสาทเขาอีกแล้วใช่ไหม“มาทำธุรกิจ”“หือ?”คนสวยยิ้มแป้น ก่อนจะอธิบาย“เรามาทำธุรกิจกัน เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต”“ยังไง”“ง่ายๆ เลย เราก็แค่ทำให้คนรอบข้างเรา เช่นพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง เข้าใจว่าเราสองคนตกลงกันได้เรียบร้อย พี่ก็รู้นี่ ตอนนี้แม่ถามยิกๆ ว่าเมื่อไหร่ฉันจะแต่งงานกับพี่ เมื่อเช้าพ่อพี่ก็โทรมา เพื่อนฉันขู่จะคว่ำบาตรถ้าไม่คืนดีกับพี่ ฉันเลยคิดว่า เพื่อความสบายใจของคนที่รักเราทุกๆ คน ฉันควรเสียสละความไม่สะดวกน้อยนิดแล้วร่วมมือกับพี่น่ะ”“ร่วมมืออะไร ไม่เห็นเข้าใจ” ศศินชักงง“เฮ้ย...พี่นี่โง่ปะเนี่ย พูดไปตั้งเยอะไม่เข้าใจได้ยังไง”“นี่ด่าฉันเหรอ!”“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!” ตะคอกมาตะคอกกลับ เวนิสาไม่โกงศศินหุบปากฉับ“เอาแบบนี้แหละ พี่เข้าใจแล้วนะ บอกพ่อพี่