ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อน
นับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาล
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้
เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจิ่วซือเป็นทายาทคนสุดท้ายทั้งยังเป็นสตรี แต่พวกเขาก็ยังคงหวาดระแวง
เมิ่งจิ่วซือมิอาจทอดทิ้งคนของนางได้จึงต้องยอมรับราชโองการนี้อย่างไม่เต็มใจ แต่ถึงไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจแสดงออก แม้ว่าจะไม่มีเก้าชั่วโคตรให้ประหารหากแต่คนใต้บัญชาของนางนับร้อยนับพันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในคืนเข้าหอนางนั้นรู้ดีว่าเขาฝืนใจมากเพียงใดแม้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างไม่ได้รุนแรงมากนักหากแต่ราวกับเขากำลังปฏิบัติอยู่กับก้อนหินต้นไม้ ช่างไร้หัวใจสิ้นดี ที่ทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าต้องการให้นางมีทายาทหรอกหรือ ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้กับทายาทและเขารู้ว่านางจะไม่มีวันมอบมันให้กับเขาแต่นางจะต้องมอบของสิ่งนั้นส่งต่อให้กับบุตรของนางอย่างแน่นอน
ตู๋กูหรงเซ่อคาดการณ์ได้แม่นยำนักและที่เมิ่งจิ่วซือยินยอมให้เป็นไปตามแผนการของเขาก็เพราะนางเองก็รู้สึกเหงามาก ตระกูลเมิ่งควรมีทายาทสักคนจริง ๆ ถึงอย่างไรนางก็ต้องขอบคุณเขาไม่น้อยที่ได้มอบตู๋กูรั่วหวาที่เป็นดั่งดวงใจมาให้นาง เพราะเด็กน้อยคือเหตุผลเดียวที่ทำให้นางอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
จะเรียกว่าเขาหลอกใช้นางเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนักเพราะนางเองก็หลอกใช้เขาเพื่อทำให้มีทายาทให้กับตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน นับว่าทั้งสองได้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว
ในวันหนึ่งที่นางดูแลบุตรอยู่ในเรือน อยู่ ๆ ก็ได้รับรายงานว่ามีนักฆ่าต้องการจัดการเอาชีวิตนาง คนเหล่านั้นคงจะอดรนทนไม่ได้เสียแล้วกระมังจึงคิดที่จะกำจัดนางเพื่อแย่งชิงเอาของวิเศษชิ้นนั้นไปให้ได้ แต่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าสัญญาเลือดจะเป็นผลมีเพียงทายาทที่แท้จริงที่ถูกส่งมอบของวิเศษโดยทายาทคนก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานมันได้ พวกเขาคิดว่าหากนางตายของวิเศษชิ้นนั้นจะต้องตกเป็นของพวกเขาอย่างง่ายดาย ช่างน่าขันยิ่งนัก!
ในวันที่นักฆ่ากว่าร้อยคนปะทะกับคนของนางนั้น นางเองก็สูญเสียมือดีไปไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่สองมือหรือจะสู้หลายมือ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะลงมือปกป้องตนเองได้ไม่ยากแต่ในตอนนี้ในอ้อมแขนของนางมีบุตรสาวอยู่ นางไม่อาจเสี่ยงให้เด็กน้อยบาดเจ็บ แม้ในตอนสุดท้ายที่จะต้องเลือกนางก็มิอาจทำให้บุตรสาวของนางเกิดรอยขีดข่วนได้แม้เพียงปลายเล็บ ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงจากหน้าผาที่สูงชันทั้งด้านล่างก็เป็นแม่น้ำลึก เมิ่งจิ่วซือรู้ว่านางสามารถขอพรกับของวิเศษได้และการส่งมอบนี้จะทำให้บุตรสาวของนางรอดชีวิต บุตรสาวของนางจะไม่ตายแม้ว่าต้องแลกกับชีวิตของเมิ่งจิ่วซือเองก็ตาม
ภายหลังจากที่สองแม่ลูกนั้นกระโดดลงจากหน้าผาแล้ว ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งควบม้ามาแล้วจัดการสังหารนักฆ่าเหล่านั้นทั้งหมด ก่อนจะเหลือไว้เพียงคนเดียวเพื่อใช้สอบสวน แววตาของเขาดำมืดลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นรอบกายของเขามักจะมีไอสังหารแผ่ออกมาอยู่เสมอ แต่กระนั้นความหล่อเหลาที่ราวกับหยกสลักชั้นเลิศก็มักทำให้เหล่าบุปผาต้องการเข้าใกล้เขา แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตแต่ดูเหมือนว่าใบหน้านี้จะหลอกล่อให้ผู้คนเหล่านั้นถึงกับยอมตายได้เพื่อมัน
"นายท่านจะให้คนของเราตามลงไปดูหรือไม่ขอรับ"
"ไม่ต้อง! นางเลือกแล้วเช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถิด"
"แต่ท่านหญิงน้อย..."
"นางไม่มีวันปล่อยให้เด็กคนนั้นตาย" เหล่าองครักษ์ต่างเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นายท่านของพวกเขาเป็นคนไร้หัวใจเพียงใดเรื่องนี้พวกเขาต่างรู้ดี แม้ตลอดมาจะปฏิบัติต่อพระชายาเป็นอย่างดีหากแต่หาได้มีความรู้สึกร่วมด้วยไม่
พระชายากับท่านหญิงน้อยตกลงไปยังเบื้องล่างจากที่สูงถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่อยากจะจินตนาการต่อเลยแม้แต่น้อยว่าทั้งคู่จะตกอยู่ในสภาพใด ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก!
และด้วยพลังความรักของผู้เป็นมารดาแม้ว่าวิญญาณจะมอดม้วยหากแต่สุดท้ายตายเหมือนกับไม่ตาย ชีวิตที่ราวกับได้เกิดใหม่ของหว่านหว่านวิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ร่างนี้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่รุ่นบรรพชนของตระกูลเมิ่งยังไม่เคยเกิดกรณีนี้ขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าสวรรค์ยังเมตตาหรืออาจจะเป็นเพราะต้องการให้นางหยุดยั้งเหตุการณ์ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าด้วยน้ำมือของนางร้ายอันดับหนึ่ง
จิตใจที่ตายด้านของหญิงสาวทั้งยังถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ไร้รัก ไร้คนห่วงใยที่แท้จริง ก่อนที่นางจะลงมือสังหารคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ด้วยพรข้อสุดท้ายของนางแม้แต่ดวงจิตเพียงเสี้ยวก็ยังแตกดับ
หว่านหว่านคือผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายนั้นมิให้เกิดขึ้น นางจะต้องกล่อมเกลาเด็กน้อยผู้ใสซื่อให้เติบโตมาเป็นเด็กสาวที่จิตใจดี
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง"
"รายงานมา"
"มีคนช่วยเหลือพระชายาและท่านหญิงน้อยขอรับ"
"ผู้ใดงั้นหรือ?"
"เป็นคนตระกูลเสิ่นขอรับ"
"รายงานทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง อย่าได้ตกหล่นแม้เพียงเรื่องเดียว"
"แล้วพระชายากับท่านหญิงน้อย..."
"ให้คนคอยจับตามองอยู่ห่าง ๆ ก็พอ อย่าให้คนของนางรู้ตัว" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ขอรับ"
"พวกมันสารภาพแล้วหรือยัง?"
"ยังขอรับ"
"เช่นนั้นก็ทรมานพวกมันต่อไปจนกว่ามันจะพูดออกมา อย่าให้มันตายเด็ดขาด หาหมอเข้าไปรักษาพวกมัน"
"ข้าน้อยทราบแล้ว" ขณะที่หวั่นอี้กำลังจะหันหลังจากไป
"ช้าก่อน!"
"ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะกล่าวหรือขอรับ" ตู๋กูหรงเซ่อชะงักเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลังเลไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปหรือไม่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วโบกมือไล่อีกฝ่าย
หวั่นอี้ที่เห็นนายท่านของตนทำเหมือนอยากจะกล่าวบางอย่างหากแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาจึงได้ถือวิสาสะรายงาน
"พระชายาและท่านหญิงน้อยสบายดีขอรับ ดูเหมือนจะดีกว่าตอนที่อยู่ในตำหนักอ๋องเสียอีก"
"ผู้ใดอยากจะรู้กัน! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้ารายงานแล้วงั้นหรือ? แล้วที่นั่นมีอันใดดีกว่าตำหนักอ๋องของเปิ่นหวางหรือเจ้าคิดว่าเปิ่นหวางดูแลนางไม่ดีเท่ากับเจ้าหนุ่มหน้าเหม็นตระกูลเสิ่นนั่น เช่นนั้นหรือ?"
"ข้าน้อยมิกล้า! เพียงแต่..."
"ช่างเถอะ เจ้าไปได้แล้ว!"
"ขอรับ" หวั่นอี้รู้สึกหนาวที่สันหลังอย่างบอกไม่ถูก เห็นอยู่ว่าท่านอ๋องอยากจะรู้เพียงแต่ไม่อยากจะถามหากว่าเขาทำเกินหน้าที่จริง ๆ ป่านนี้ถูกลากออกไปโบยตั้งนานแล้ว
"พวกเจ้าจัดกลุ่มออกไปคุ้มกันพระชายาและท่านหญิงน้อยอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด หากมีความคืบหน้าใดให้รีบรายงานห้ามปล่อยผ่านแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าใจหรือไม่?"
"ข้าน้อยทราบแล้ว!"
"ดี! ไปได้แล้ว"
หวั่นอี้เหลือบมองเข้าไปในกระโจมของนายท่านก่อนจะถอนหายใจ หากชายหนุ่มเอ่ยว่าแค่ดูแลพอเป็นพิธีนั่นย่อมหมายถึงหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับอีกฝ่ายพวกเขาย่อมต้องรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ เช่นที่เกิดเรื่องเมื่อครั้งก่อนองครักษ์ที่ละเลยเพราะไม่เข้าใจในคำสั่งถึงกับถูกลงโทษจนกระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อจนบัดนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้
ย่อมต้องดูแลอย่างพอเป็นพิธีจริง ๆ สินะ
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ