ปัง! เพล้ง!
"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต
"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย"
"หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึง
เป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง มันคือฝันร้ายทั้งชีวิตของราชวงศ์ตู๋กูอย่างแท้จริง
ต่อให้ตระกูลเมิ่งจะมีบุญคุณต่อแคว้นแล้วอย่างไร สิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ย่อมเป็นภัยในภายหน้า
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง คนร้ายปลิดชีพตนเองแล้วขอรับ"
"ช่างเถอะ เปิ่นหวางเองก็พอรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง"
"ท่านอ๋องจะทรงทำเช่นไรต่อไปขอรับ"
"ปกปิดเรื่องที่นางยังไม่ตายเอาไว้ อย่าให้คนของผู้นั้นสืบความได้"
"ข้าน้อยทราบแล้ว"
ในวันที่เมิ่งจิ่วซือถูกลอบสังหารเป็นเขาที่ช้าไปก้าวหนึ่ง และเมื่อไปถึงก็พบว่ามีองครักษ์ของคนผู้นั้นซุ่มอยู่ไม่ไกล จึงทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธที่จะช่วยเหลือนางก่อนจะส่งคนลงไปอีกครั้งในภายหลัง ตู๋กูหรงเซ่อรู้ดีว่าเสด็จย่าของเขาผู้นั้นมักหวาดระแวงเป็นอย่างมากทั้งยังมีความแค้นที่ฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงคิดลงมือกับเมิ่งจิ่วซือในครั้งนี้หรือว่าจะถูกยุยงจากผู้ใดและเสด็จพ่อของเขารับรู้เรื่องนี้หรือไม่? ย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดที่จะค้นหาคำตอบ ก่อนจะปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเองทั้งสิ้น
หากจะถามหาคนผิดก็ย่อมเป็นเมิ่งจิ่วซือที่ดันเกิดมาเป็นคนตระกูลเมิ่ง ทั้ง ๆ ที่เดิมทีแล้วท่านปู่ของนางและนางเป็นเพียงทายาทสายรองเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองของวิเศษเดิมทีก็เป็นท่านปู่ใหญ่ผู้นั้นของนางแต่ผู้ใดใช้ให้ท่านลุงใหญ่ของนางแต่งงานกับเสด็จป้าผู้โง่งมคนนั้นของเขากัน เรื่องมันจึงได้กลายเป็นพังพินาศเช่นนี้
คนในตระกูลเมิ่งทั้งหมดในจวนล้วนแล้วแต่ตายตกเพราะโรคระบาดในสามวัน รวมถึงเสด็จปู่ของเขาที่หมอหลวงแจ้งว่าติดเชื้อโรคระบาดจากพระธิดา แต่คนในราชวงศ์เช่นพวกเขาย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่แต่เพราะถูกคำสาปของตระกูลเมิ่งต่างหากคนภายนอกที่ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงหากเปิดเผยเรื่องราวความลับนี้ย่อมต้องมีอันเป็นไปด้วยสัญญาเลือด นับแต่นั้นมาราชวงศ์ตู๋กูก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวตระกูลเมิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่น
รถม้าคันหนึ่งพาร่างของหญิงชราท่าทางทรุดโทรมผู้หนึ่งมาทิ้งเอาไว้หน้าจวน ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากไห่หมัวมัว อาฉือรีบเข้าไปรายงานนายหญิงในเรื่องนี้ทันที และเมื่อเมิ่งจิ่วซือมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องรับรองก็พบกับคนที่คุ้นเคยที่นางคิดว่าได้ตายไปแล้ว ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับคนตรงหน้าหลั่งไหลผ่านความทรงจำของนางมาเรื่อย ๆ จนรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้านั้นคือผู้ใด
"เกาหมัวมัว!" เกาเจิ้งที่ได้ยินเสียงคุ้นหูพยายามเงยหน้าขึ้นมองดูก่อนจะพบใบหน้างดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองของเมิ่งจิ่วซือ หญิงชราก็ร่ำไห้ออกมาพร้อมกับคลานเข่าเข้ามากอดขาของหญิงสาว
"ฮือ ๆ นายหญิง นายหญิงของบ่าว ท่านยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ฮือ ๆ"
"เกิดอันใดขึ้น! เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?"
"เป็นท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องให้คนของเขาส่งบ่าวมาที่นี่" เกาเจิ้งที่มัวแต่ยินดีเผลอหลุดปากพูดออกมา หากแต่จะปิดบังก็ไม่ทันเสียแล้ว ในตอนที่ทั้งเมืองหลวงต่างมีข่าวลือว่าพระชายาเป่ยติ้งหรงอ๋องสิ้นพระชนม์เพราะโจรป่า นางเองก็ถูกเฉดหัวออกจากจวนอ๋อง ก่อนจะเร่ร่อนอยู่นานนับเดือนแล้วพบกับองครักษ์ของเป่ยติ้งหรงอ๋องพาขึ้นรถม้ามาแล้วนำนางมาทิ้งไว้ยังหน้าเรือนแห่งนี้และเมื่อได้พบหน้านายหญิงนางก็เข้าใจในทันที
หว่านหว่านได้ยินที่เกาหมัวมัวกล่าวหญิงสาวก็ขมวดคิ้วทันที เหตุใดเขาจึงรู้ว่านางอยู่ที่นี่! หญิงสาวเกิดความหวาดระแวงหากแต่ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ในเมื่อเขารู้ว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ไม่คิดทำอันใดหรือว่าคนที่สั่งการให้สังหารนางจะไม่ใช่เขา
"ช่างเถอะ ต่อไปท่านไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก รบกวนไห่หมัวมัวช่วยดูแลแม่นมของข้าด้วย นางแก่แล้วอาจจะพูดจาเลอะเลือนไปบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
"เชิญแม่นมเกาทางด้านนี้เจ้าค่ะ" เกาเจิ้งมองดูนายหญิงที่เปลี่ยนไปไม่น้อยของนาง หญิงชรารับรู้ได้ทันทีจากสายตาของนาง หากแต่นางไม่รู้ว่านายหญิงของตนนั้นเปลี่ยนไปเช่นไรหรืออาจจะเพราะพึ่งผ่านความเป็นความตายมาได้ จึงทำให้เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
หว่านหว่านมาอยู่ในร่างของเมิ่งจิ่วซือผู้นี้หากนับเวลาก็เกือบสามเดือนแล้ว หญิงสาวไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกมากนักเป็นเพราะยังหวาดระแวงอยู่มาก หากแต่เมื่อได้ลองศึกษาแผนที่และประวัติของแคว้นจนแน่ชัดจึงได้เริ่มเข้าใจว่าที่นี่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นต้าซ่งนับพันลี้ เจียงหนานแห่งนี้นับว่าเป็นพื้นที่ปิดมีอ๋องผู้ครองเมืองผู้หนึ่ง มีกองทัพของตนเองและไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับราชวงศ์และหมู่บ้านแห่งนี้ก็นับว่าเงียบสงบอยู่มาก หากจะกล่าวไปแล้วหากตู๋กูหรงเซ่อต้องการสังหารนางจริง ๆ ก็คงจะลงมือไปนานแล้วในเมื่อเขารู้แล้วว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ก็ไม่มาวุ่นวายเช่นนั้นก็นับว่าเป็นการดี นางและเขาไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก
"อ๊ะ คุณหนูของบ่าว เริ่มเดินเก่งแล้วเจ้าค่ะ เก่งที่สุดเจ้าค่ะ" เสียงของอาเป่าที่วัน ๆ เอาแต่ชื่นชมคุณหนูน้อยเพิ่มมากขึ้น หวาหวาเองก็เดินเก่งขึ้นทุกวัน ทั้งยังเริ่มหัดพูดได้อีกหลายคำแล้ว ในเมื่อนางเริ่มโตก็ควรจะมีของเล่นที่เสริมพัฒนาการให้กับนางอยู่บ้าง หญิงสาวคิดวางแผนทำเครื่องเล่นให้กับบุตรสาวในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าที่เรือนของนางจะมีคนมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว
เสียงวุ่นวายทำให้อาฉือต้องรีบเดินออกไปดูก่อนจะพบกับบรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านที่เหมือนรวมตัวกันมาที่นี่โดยเฉพาะ
"พวกท่านมีสิ่งใดหรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะมองประเมินหญิงสาวเหล่านั้น ดูเหมือนว่าพวกนางจะผลักให้กัวอวิ๋นเป็นผู้นำในเรื่องวันนี้
"เอ่อ! แม่นางอาฉือไม่ทราบว่าเมิ่งฮูหยินอยู่ที่เรือนหรือไม่"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับนายหญิงงั้นหรือ" อาฉือคือสาวใช้ขั้นหนึ่งที่ถูกฝึกมาให้ดูแลเมิ่งจิ่วซือโดยเฉพาะ นางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใดหรือกระทั่งไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมต่อเหล่าสตรีตรงหน้า
"เกิดอันใดขึ้นหรือ?" เมิ่งจิ่วซือที่มองดูเหตุการณ์วุ่นวายอยู่นานจึงได้ก้าวออกมา ความงดงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของหญิงสาวทำเอาสตรีที่รวมตัวกันอยู่บริเวณด้านหน้าเรือนถึงกับหายใจสะดุด ใบหน้าเรียวเล็ก มือเรียวและผิวขาวราวหิมะ ความงามเช่นนี้สามารถสังหารผู้คนให้ตายตกได้เพียงเพราะเฝ้ามองนางได้จริง ๆ เดิมทีพวกนางต้องการมาเชิญหญิงสาวให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของหมู่บ้านเท่านั้น แต่ที่แห่แหนกันมาเยอะแยะก็เพียงแค่ต้องการเห็นใบหน้าของหญิงงาม
"เรียนนายหญิง ท่านป้ากัวกล่าวว่าจะขอพบท่านเจ้าค่ะ"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ" เหล่าสตรีทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากันไปมาไม่กล้าเอ่ย อาจเพราะรู้สึกเกรงใจหรือว่าเกรงกลัวก็มิรู้ได้
"เมิ่งฮูหยิน พรุ่งนี้ที่หมู่บ้านของเราจะมีงานเลี้ยง ท่านสนใจอยากเข้าร่วมหรือไม่?"
"ได้ ข้าจะไป ขอบคุณพวกท่านมากที่นึกถึงข้า"
"มิได้ ๆ เห็นท่านอยู่แต่ในเรือน พวกข้าก็กลัวว่าท่านจะเหงา อย่างไรพรุ่งนี้ก็ไปร่วมสนุกด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ" สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง
"ข้าจะไปอย่างแน่นอน" หญิงสาวรับปากอีกครั้ง
"ดียิ่ง ๆ เช่นนั้นพวกข้าขอลากลับก่อน" กัวอวิ๋นผู้นำเหล่าสตรีส่งยิ้มกลับมาให้เมิ่งจิ่วซือก่อนจะดันหลังสตรีเหล่านั้นให้กลับไปพร้อม ๆ กันอย่าได้อยู่รบกวนเมิ่งจิ่วซืออีก
หลังจากอาฉือปิดประตูหน้าเรือนแล้วก็หันมาเอ่ยกับนายหญิงของตน
"นายหญิงจะไปร่วมงานจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
"ใช่ พวกเจ้าก็ไปเสียด้วยกัน อย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักใหญ่ หากว่าปลอดภัยก็อาจจะอยู่นานหน่อย ไม่ต้องระวังตัวมากเพียงนั้น ควรใช้ชีวิตให้มีความสุขเสียบ้าง"
"เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว"
หลังจากที่สตรีเหล่านั้นเดินจากมาไม่ไกลใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
"จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่นางจะทำตัวสูงส่งเกินไปหรือไม่เหตุใดต้องให้พวกเรามาเชิญนางถึงเรือนเช่นนี้ด้วย" นางคือชุยฟางเป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน มารดาของนางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของลู่ถง ที่ติดตามสตรีเหล่านี้มาเรือนสกุลเมิ่งก็เพื่อต้องการอยากจะเห็นใบหน้าที่ผู้คนร่ำลือหนักหนาว่างดงามล่มเมืองของเมิ่งจิ่วซือ แต่งดงามแล้วอย่างไรมิใช่ว่านางแต่งงานมีบุตรแล้วหรอกหรือ หาได้เป็นบุปผาเยาว์วัยเช่นนางไม่หากจะกล่าวชุยฟางนับได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งหมู่บ้านตระกูลเสิ่น นางมักมั่นใจในความงามของตนเองเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเมิ่งจิ่วซือได้ปรากฏตัวขึ้นความงามของนางก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงบุปผาริมทางเท่านั้น
"แต่เมิ่งฮูหยินก็งดงามมากจริง ๆ แม้ว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในวันนี้จะดูเรียบง่ายแต่ก็ยังมิอาจบดบังความงามที่เป็นเลิศนี้ได้แม้แต่น้อย"
"ใช่ ๆ ทั้งยังใจดี มักจะส่งขนมมาฝากให้บุตรสาวของข้าบ่อย ๆ" สตรีผู้หนึ่งที่เรือนของนางอยู่ไม่ไกลจากเรือนของเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้น นางมีบุตรสาวที่ยังเล็กอายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวของเมิ่งจิ่วซือ
"หึ! ก็แค่ธรรมดา ๆ ดาษดื่นพวกเจ้าอดอยากมาจากที่ใดกันไม่เคยกินของดี ๆ กันงั้นหรือจึงได้ตื่นเต้นดีใจถึงเพียงนั้น!" กล่าวจบชุยฟางก็สะบัดตัวจากไปด้วยความริษยา
"นางเป็นอันใดของนางกัน?" สตรีผู้หนึ่งกล่าว
"เป็นโรคริษยาน่ะสิ! จะอะไรเสียอีก" กัวอวิ๋นที่มักได้รับขนมจากเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้นอย่างหมั่นไส้ เดิมทีชุยฟางมักจะคิดว่าตนสูงส่งมาตลอดจึงไม่เคยเห็นหัวผู้ใด มาวันนี้พบสตรีที่สูงส่งกว่านางทุกด้านต้องรู้สึกหงุดหงิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หึ สมน้ำหน้านางนัก
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ