แดนมนุษย์
หยางซีอวิ๋นประคองร่างบางของอิงฮวาไว้ข้างกาย มืออีกข้างที่เหลือกำด้ามกระบี่กวัดไกวสู้กับปีศาจสองสามตนที่กำลังล้อมหน้าล้อมหลัง
พวกมันเอื้อมมือสาวปลายผมยาวของอิงฮวาติดไปด้วยพลางยื้อหยุดฉุดกระชากตามใจหมายจะได้ดูดกลืนพลังชีวิตเซียนแสนบริสุทธิ์
“ศิษย์พี่ ปล่อยข้าไว้เถิด” อิงฮวาเอ่ยปากบอกเขา สีหน้าจริงจังเพราะรู้สึกว่ากำลังเป็นตัวถ่วงทำให้เขาเหาะเหินเดินไม่สะดวก
“ไม่ได้!” หยางซีอวิ๋นปฏิเสธทันควัน “หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้เมื่อครู่ คงเป็นข้าที่ถูกพวกมันทำร้ายจนสาหัสเพียงนี้”
เช้าวันนี้ ทั้งสองคนเพียงแค่ออกมาตรวจดูลาดเลาพื้นที่ภายนอกเท่านั้นเพราะเห็นว่ามารปีศาจไม่สามารถเข้ามายังป่าสนแดงฝั่งตะวันออกได้
ทว่า ความสงบเงียบกลับกลายเป็นภาพลวงตาที่ปีศาจตนหนึ่งสร้างเอาไว้ ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ถูกหลอกเข้าเต็มเปาจนเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน
อิงฮวาตาไวเหลือบเห็นสัตว์อสูรปรากฏตัวลาง ๆ ด้านหลังของศิษย์พี่พยายามสะบัดหนามแหลมคมใส่เจ้าตัวจึงไม่รอช้าดึงร่างของเขาหลบมาอีกทางหนึ่ง แต่ตัวเองเกิดเสียหลักเพราะหลบปีศาจอีกตนจึงถูกหนามแหลมพวกนั้นปักร่างจนได้เลือด
นางทรุดตัวล้มลงด้วยความเจ็บปวด ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิตของตัวเองกลับมาได้ไม่ถึงสิบส่วน มาวันนี้ถูกโจมตีจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงอีกคราจึงทำให้นางคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะเดินร่วมทางกับศิษย์พี่ได้อีก รังแต่จะเป็นปัญหาให้ทั้งสองต้องคอยดูแล
หากแต่หยางซีอวิ๋นไม่ได้คิดเช่นนั้น เขามีหน้าที่ดูแลทั้งจื่อเถิงและอิงฮวา จึงไม่อาจปล่อยนางไปได้ “เป็นตายอย่างไร ข้าก็ต้องช่วยเจ้าให้ได้ อิงฮวา”
“ศิษย์พี่ เช่นนั้นตอนนี้เราคงกลับไปที่นั่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วศิษย์พี่จื่อเถิงอาจตกอยู่ในอันตราย” อิงฮวาบอกเขา สายตามองรอบตัวเพื่อช่วยหาทางหลบหนี
แขนทั้งสองข้างของหยางซีอวิ๋นเริ่มอ่อนล้าเกิดเหน็บชาเพราะเลือดที่ไหลทิ้งมากเกินไป
เหตุการณ์ชุลมุนระหว่างเซียนและมารยืดเยื้ออยู่พักหนึ่ง พลันเกิดแสงสว่างวาบมายังจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่
จื่อเถิงถือกริชดาราอันเป็นอาวุธเทพประจำกายเขวี้ยงออกไปเป็นวงกลมพร้อมพลังเซียนขั้นสูงไล่ปีศาจรอบตัวให้แตกกระเจิง “ศิษย์พี่ อดทนไว้ก่อน”
ทั้งสองฝ่ายแบ่งรับแบ่งสู้ประเมินพลังจื่อเถิงที่เวลานี้เพิ่งจะบรรลุวิชาเซียนอีกหนึ่งขั้นเพราะเร่งหลอมรวมสรรพสิ่งในเมล็ดพันธุ์
พลังเซียนของนางเข้าขั้นกึ่งเทพจึงทำให้ปีศาจพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้เกินสามจั้ง
ครั้นอิงฮวาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองแล้ว นางจึงเรียกกระบี่เซียนออกมา สายตายังคงมองหาทางหนีเช่นเดิมเพราะรู้ว่าร่างกายของนางและหยางซีอวิ๋นคงอดทนไว้ได้อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
ยิ่งปะทะกันมากเท่าใด จื่อเถิงยิ่งเรียกพลังดั้งเดิมของตนเองออกมามากเท่านั้น อักขระโบราณที่แขนของนางเริ่มปรากฏ ทำให้ปีศาจที่ยืนดูเหตุการณ์ได้ความคืบหน้ารายงานเจ้านายของตัวเองพลางนึกถึงของรางวัลที่มันจะได้หลังสิ้นสุดการต่อสู้ครั้งนี้
“ข้าหาเจอแล้ว” อิงฮวาตะโกนลั่น ส่งสัญญาณให้ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่รีรอร่ายพลังเซียนเฉพาะตัวของนางพาทุกคนเคลื่อนหายไปในหมอกสีขาวชั่วพริบตา
“เอ๊ะ!” ปีศาจตนนั้นกระหยิ่มยิ้มได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเพราะเป้าหมายตรงหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังไม่ทิ้งเบาะแสใด ๆ ให้ตามหาอีก
ความหวังที่จะได้รางวัลแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวขึ้นมาทันใด เมื่อครู่เพิ่งรายงานจอมมารไป หมายมั่นว่าจับนางไว้ได้แล้ว หากจอมมารโผล่หน้ามาเวลานี้คงจะเป็นตัวมันเองที่ถูกสังหารเพราะทำงานล้มเหลว
พรึ่บ!!!
ปีศาจภาพลวงตาสะดุ้งเฮือกสัมผัสได้ถึงพลังมารปีศาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเองหลายเท่าตัวอย่างเทียบไม่ติด สีหน้าของผู้มาใหม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบดี ๆ
“นะ นายท่าน...” เสียงของมันกลับจุกอยู่ที่ลำคอ พยายามเปล่งออกมาเท่าใดก็ดูจะแหบแห้ง
“นางอยู่ที่ใด” รอยยิ้มเยือกเย็นมองมาทางปีศาจตนนั้น ดวงตาสีม่วงแดงตั้งใจฟังคำตอบที่จะทำให้เขาพึงพอใจ
หากแต่เป้าหมายกลับหนีไปแล้วจึงไม่มีความน่ายินดีหลงเหลืออยู่
“นางหนีไปเมื่อครู่นี้เองขอรับ” เขาก้มหน้าลงหลบสายตา
กงจื่อเย่หัวเราะลั่น “หนีอีกแล้วหรือ” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาทำให้ปีศาจตนนั้นนึกไปว่าเจ้านายคงจะไม่ถือโทษโกรธมันเท่าใดนักจึงทำทีหัวเราะตามกันไป
ทว่า กงจื่อเย่หุบยิ้มในทันที แววตาน่าสะพรึงเหลือบมองลูกน้องของตน พึมพำคนเดียวว่า “ไม่ได้ดั่งใจ”
“...”
พลังมารในมือทั้งสองข้างของเขาก่อตัว ปีศาจที่อยู่เบื้องล่างเข้าใจได้ในทันทีว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับตนเองจึงไม่รอให้กงจื่อเย่ร่ายพลังจนจบ พวกมันแหวกธรณีมุดลงดินกลับภพมารในพริบตา
“เฮอะ” เขาแสยะยิ้ม “ชาตินี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่กลับหนีข้าเก่งเหลือเกิน” ในใจของเขาอยากพบนางยิ่งนัก อยากรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่แล้ว นางจะทำตัวเช่นไร และจะหวาดกลัวเขาเหมือนกับพวกเทพเซียนในภพสวรรค์หรือไม่
อีกฟากหนึ่งในป่านอกเมืองเป่ย
จื่อเถิงค่อย ๆ วางร่างของหยางซีอวิ๋นกับอิงฮวาลงด้วยความทุลักทุเลก่อนจะนั่งข้างกันเพื่อร่ายวิชาเซียนรักษาอาการบาดเจ็บให้ทั้งคู่อย่างเร่งด่วน
แสงสีฟ้าขาวโอบล้อมรอบตัว ประกายระยิบระยับราวกับแสงดาราค่อย ๆ ลอยล่องเข้าร่างเซียนศิษย์สำนัก
พลังขั้นกึ่งเทพแตกต่างจากที่พวกเขาเคยสัมผัส อิงฮวาพลันรู้สึกตัวลืมตามองศิษย์พี่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึงเพราะตราเทพสวรรค์สีทองอร่ามปรากฏตรงกลางหน้าผากของนาง
ผ่านไปไม่นานนัก บาดแผลลึกบนร่างกายของหยางซีอวิ๋นเริ่มสมานจนแทบหายเป็นปลิดทิ้ง เขาจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย
“อิงฮวา!!!” ทันทีที่ได้สติก็ร้องเรียกศิษย์น้องเล็กด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าคะ” นางหันไปตอบเขาให้คลายกังวลใจ “ข้าอยู่นี่ ไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ”
ศิษย์พี่ผู้แบกภาระไว้บนบ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ พลันได้เห็นตราเทพสวรรค์บนหน้าผากจื่อเถิงเหมือนอย่างที่อิงฮวาเห็น
“ศิษย์พี่เป็นนางฟ้าตกจากสวรรค์หรือ” อิงฮวาถามเขา
“ไม่ใช่เช่นนั้น ในตำราเขียนไว้ว่าเทพเซียนจุติ” หยางซีอวิ๋นแก้คำเรียกให้ใหม่
หากแต่จื่อเถิงยังคงไม่รู้ตัวว่าคนทั้งสองได้สติแล้ว นางดำดิ่งลงไปในส่วนลึกที่ตนเองเป็นคนผนึกยามเป็นเทพดารา คลับคล้ายคลับคลาหลายสิ่งหลายอย่าง
“ศิษย์พี่” อิงฮวาเรียกน้ำเสียงแผ่วเบา
“...”
“ศิษย์พี่เจ้าคะ” นางเรียกอีกครั้งพลันแตะที่หลังมือ “พวกข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นจื่อเถิงลืมตาขึ้น ตราเทพสวรรค์จึงได้หายไป นางเอ่ยถามพวกเขา “เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บที่ใดอยู่หรือไม่”
หยางซีอวิ๋นส่ายหน้า “ต้องขอบใจเจ้า อาการบาดเจ็บจึงหายเร็วเช่นนี้”
จื่อเถิงเบ้ปากเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาเพิ่งผ่านพ้นมา “ข้าคิดว่าต้องเสียพวกเจ้าไปเสียแล้ว” น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าเพราะความกลัว “ข้าจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีพวกเจ้า คราหน้าอย่าคิดทิ้งข้าอีกนะ”
“...”
“ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ ร่วมเป็นร่วมตายอยู่เคียงข้างกัน เหตุใดจึงไม่รักษาสัญญา” นางเอ่ยปากถามรู้สึกน้อยใจ
“เพราะเจ้าคือคนสำคัญ” หยางซีอวิ๋นย้ำเตือนนางให้เข้าใจหน้าที่ตนเอง
“ข้ารู้ แต่ว่า... หากวันนั้นเหลือเพียงข้าแค่ผู้เดียว จะสู้กับจอมมารได้อย่างไร” จื่อเถิงพูดตามที่รู้สึก “เขาจะปล่อยให้ข้ารอดไปได้หรือ”
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้