สิบวันถัดมา ณ จวนสกุลจาง เมืองหลวง
จางฮูหยิน นั่งใบหน้าเรียบตึงอยู่ภายในห้องรับแขก ซึ่งเวลานี้บุตรสาวคนโตของสามี กำลังนั่งสะอื้นไห้อย่างคนทุกข์ระทมแสนสาหัส ได้ร้องขอให้สามีของนาง ช่วยจัดการบุตรสาวตัวปลอม ที่ถูกขับออกจากสกุลจาง ไปนานนับสิบปีให้พ้นไปจากสายตา
ซึ่งตัวนางเองนั้น ได้แต่งเข้ามาหลังจากอดีตฮูหยินใหญ่ สิ้นไปได้เพียงครึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจางอี้หรูเอง ก็ได้ออกเรือนไป โดยมีนาง เป็นมารดาที่ส่งบุตรสาวเข้าหอ
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า อี้หรูที่กำลังตั้งครรภ์แก่ ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากจวนสกุลโจว เพราะจางหย๋าชินปรากฏตัวขึ้น พร้อมหลักฐานว่าเป็นบุตรสาว ที่แท้จริงของสกุลจาง
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น โจวเค่อก็เลือกหย่าจางอี้หรู แต่งกับจางหย๋าชินตามการหมั้นหมาย ของสองสกุลที่มีมาแต่เดิม ซึ่งตอนนั้นนนางเองในฐานะมารดา พยายามยิ่งนักที่จะขัดค้าน
แต่ด้วยนางก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน จึงไม่อาจวิ่งเต้นช่วยลูกเลี้ยงได้ แม้นางจะเสนอรับอี้หรูเป็นลูก อนุคนโปรดของสามี กับทุกคนในจวน ก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดของนาง สุดท้ายจางอี้หรูก็หายไปจากเมืองหลวงนานกว่าสิบปี
ทว่าบัดนี้ข่าวที่นางเองก็เพิ่งได้รับ ทำให้ในใจลึกๆ ก็รู้สึกยินดีและโล่งใจ แม้จะเป็นแม่ลูกกันเพียงไม่นาน อี้หรูก็เป็นบุตรสาวที่ดีมาตลอด ไม่เคยกระด้างกระเดื่องต่อแม่เลี้ยงเยี่ยงนาง
ต่างจากจางหย๋าชิน ที่ทำตัวราวเป็นนางหงส์ ทั้งที่ฐานะก็ไม่ได้เหนือไปกว่านาง หรือจะเรียกว่าต่ำต้อยกว่านางก็ไม่ผิด แต่ยังอยากแสดงความเป็นใหญ่ ทั้งในสกุลจางและโจว
“ท่านพี่ต้องช่วยชินเอ๋อร์ของเรานะเจ้าคะ ดูสิ! แต่งเข้าจวนไปตั้งหลายปี สามีกลับไม่เห็นค่า คิดจะไปนำตัวลูกของหญิงชั้นต่ำ กลับมาสืบทอดอำนาจ”
อนุหลินเอ่ยกับสามี เหมือนเวลานี้ไร้เงาของภรรยาเอกอยู่ร่วม และนี่ก็ทำให้จางฮูหยิน อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ อนุหลินดูจะใส่ใจบุตรสาวอดีตเมียเอกเหลือเกิน
“อะแฮ่ม!”
จางฮูหยินกระแอมไอ เมื่อภรรยาอีกคนของสามี ทำสิ่งเกินหน้าเกินตาไป เรื่องของบุตรสาวที่ออกเรือนไปนานปี ก็ควรที่จะเว้นระยะไม่เข้าไม่ข้องแวะให้มาก แต่อนุหลินกลับเป็นเดือดเป็นร้อน กับครอบครัวของลูกเลี้ยงจนเกินงาม
“ท่านแม่คงคิดว่าเรื่องนี้ ไร้สาระสินะเจ้าคะ”
จางหย๋าชิน หันมองมารดาเลี้ยง สายตาหยิ่งทะนงนั้น ไม่ได้ทำให้จางฮูหยินคิดหลบเลี่ยง หากไร้อำนาจสองสกุลใหญ่อยู่เบื้องหลัง สตรีที่เป็นแม่ไก่ไม่ออกไข่ มีหรือจะยังลอยหน้าลอยตา ประหนึ่งกิ้งก่าได้ทองเยี่ยงนี้
“หากสามีจะนำลูกของตนเองกลับบ้าน ก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ เจ้าควรเป็นคนใจกว้างให้มาก อยู่มาจนบัดนี้ยังไร้ทายาท ไยไม่คิดจะทำให้สามียำเกรง ด้วยความมีน้ำใจของเจ้าเล่า”
จางฮูหยินเสนอแนะทางออกให้แก่ลูกเลี้ยง แม้ว่าจะไม่ชื่นชอบจางหย๋าชินแค่ไหน แต่ในฐานะของมารดาก็ต้องช่วยเหลือ
“ข้ายินดีรับลูกใครก็ได้ มาเป็นบุตรบุญธรรม แต่มิใช่ลูกของนังอี้หรู! ท่านพ่อดูท่านแม่สิเจ้าคะ เห็นคนนอกดีกว่าข้าที่เป็นคนในบ้าน”
เมื่อมารดาเลี้ยงไม่เข้าข้าง ทั้งยังแนะนำในสิ่งที่นางชิงชัง หญิงสาวจึงได้หันไปหาบิดา เพื่อให้ความต้องการบรรลุผล
“ฮูหยินใหญ่ ควรทำตัวให้เป็นมารดาที่ดี”
ท่านเสนาบดีจาง เอ่ยตำหนิภรรยา ก่อนจะหันไปปลอบโยนบุตรสาว ด้วยคิดมาตลอดว่าเขาติดค้างนาง ที่เลี้ยงลูกคนอื่นมานานหลายปี แต่สายเลือดของเขา กลับต้องระหกระเหินอยู่นอกบ้าน
“ฮึ! คนเป็นกลางต้องรู้จักคำว่าเมตตาบ้าง ท่านพี่ทำเหมือนไม่เคยเลี้ยงอี้หรูมาอย่างนั้น ท่านเห็นนางมาตั้งแต่เกิด ไยมิรู้ว่านิสัยนางเป็นเช่นไร การรู้สึกผิดต่อหย๋าชิน ใช่ว่าเป็นเรื่องผิดอันใด แต่เมื่อตัดขาดกับอี้หรูไปแล้ว ก็หาได้จำเป็นต้องจองเวรกัน ส่วนพ่อลูกเขาอยากดูแลกัน เราที่เป็นเพียงคนนอก ก็ควรจะใจกว้างให้มากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ท่านแม่มิเคยเลี้ยงนังอี้หรู แต่เหตุใดจึงเข้าข้างนาง ท่านแม่อยากให้ลูกของนาง มาช่วงชิงทุกอย่างไปจากข้า เหมือนที่แม่ของพวกมันทำเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ”
“ข้าชี้ทางให้เจ้ามีจุดยืนอันมั่นคง เจ้ายังมองว่านี่มิใช่คำชี้แนะที่ดี จากมารดาเยี่ยงข้าอีกหรือ และข้าจะเตือนเจ้าอีกอย่าง จงรู้จักสำรวมให้มาก วาจาอย่าได้เหมือนสตรีร้านตลาด เกิดเป็นลูกหลานชนชั้นสูง ต้องรู้จักสงบคำไว้บ้าง ต่อให้ที่นี่คือบ้านก็ตามที”
“ฮูหยินใหญ่! กล้าดีเยี่ยงไร...”
เพี๊ยะ! ยังไม่ทันจบประโยค ใบหน้าของอนุหลินพลันสะบัด ตามแรงฝ่ามือ ของสาวใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่ นี่คือผู้ติดตามสตรีชั้นสูงอย่างแท้จริง เพียงได้รับสัญญาณก็ลงมือได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องเอ่ยปากให้สิ้นเปลืองคำพูด
“ข้ามิใช่สหายเจ้า และถ้าเจ้าจะนับตามฐานะ ก็ต้องดูว่าชาติกำเนิดของเจ้ามาจากทีใด หลินเยว่ ท่านพี่ข้าหวังว่าท่านจะไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะกระทำสิ่งใด เพราะถ้ามีเรื่องราวทำให้บุตรชายของข้า ต้องมีเรื่องมัวหมองในภายหน้า ข้าจะทำให้รู้ว่าการใช้อำนาจสกุลเดิม อย่างแท้จริงต้องทำเยี่ยงไร”
เอ่ยจบร่างระหง ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องไปในทันที นางเกิดมาจากสกุลชั้นสูง ย่อมรู้การวางตัว แน่นอนว่าอนุหลิน เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ที่ปีนขึ้นเตียงของสามี เมื่อครั้งเขาเดินทางไปต่างเมือง กับอดีตฮูหยินใหญ่ ขนาดมีภรรยาตามติด สตรีหน้าหนาผู้นี้ ก็ยังมิรู้ถูกผิด
ดีที่หญิงผู้นี้ไร้ทายาท หาไม่แล้วนางคงยุ่งยากมากกว่านี้ เพราะอนุคนอื่นหาได้ทำสิ่งใดเกินหน้า รู้อยู่ในพื้นที่ของตนเอง อย่างเจียมตน
ต่างจากอนุหลิน ที่เพียรพยายามก้าวข้าม จากคำว่าอนุเป็นภรรยาหนึ่งในสี่ แต่เพราะสิ่งที่สามีทำให้นาง ต้องแต่งเข้าจวนของเขา ผลตอบแทนย่อมต้องมีให้แก่นางเช่นกัน
“ท่านพี่”
อนุหลินเรียกสามี ด้วยน้ำเสียงปนสั่นเครือ จากการถูกสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ตบ ทำไมสวรรค์กลั่นแกล้งนางนักเล่า สิ้นเมียเอกคนเก่า ตำแหน่งของนางก็ยังไม่อาจก้าวขึ้นแทนที่ได้ สุดท้ายสตรีอื่นก็เข้ามายึดอำนาจ ที่นางเฝ้ามองมาเนิ่นนานหลายปี
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ พ่อจะคุยกับโจวเค่อเอง เจ้าก็อย่าได้คิดมากไป”
“ไม่ลองใช้ความคิดของเจ้าดูเล่า ว่าจะมีสักกี่คน ที่แยกตัวเจ้าออก เพียงตั้งคำถามสองสามคำเท่านั้น ก็รู้ได้โดยไม่ต้องสืบหาให้สิ้นเปลืองเวลา ว่าใครคือตัวจริงตัวปลอม” ในเมื่อจะลงมือสะสาง ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมไปให้มากความ ถือเสียว่านางกับอดีตสามีในชีวิตเดิม จะได้ประจันหน้ากันอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครถูกวางยาพิษ ให้ได้เปรียบเสียเปรียบ ใครจะอยู่ใครจะไป ก็ให้รู้กันไปเลยในชาตินี้ “เจ้าจะบอกข้าว่า...เจ้าคืออวี๋เมี่ยวอย่างนั้นรึ! ฮ่าๆ เด็กน้อย ต่อให้เจ้าไปสืบประวัตินางมามากแค่ไหน เจ้าก็ไม่ใช่นางอย่างแน่นอน ข้าเป็นคนลงมือเผาร่างนางด้วยมือตนเอง ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาได้” สวี่เทียน หัวเราะอย่างเย้ยหยัน ในความคิดของหญิงสาว ที่ต้องการใช้ชื่ออดีตภรรยา มาข่มเขาให้ตื่นกลัว ช่างอ่อนหัดนัก! “ใช่! นางไม่มีทางฟื้นคืน แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายถึงนาง และดูเหมือนเรื่องที่เจ้าเผาร่างของอดีตประมุข จะไม่มีใครรู้นอกจากเจ้ากับชู้รักสินะ!” สวี่เทียน หุบรอยยิ้มหยันนั้นในทันที ก่อนจะชำเลืองมองไปรอบๆ ว่าในห้องนี้มีใครอื่นอีกไหม ใช่แล้ว! เรื่องที่เขาเผาร
เท้าหนาขยับก้าวอย่างมั่นคง ตรงไปหาคนที่นอนอยู่อีกด้านอย่างช้าๆ รังสีฆ่าฟันถูกปลดปล่อยแผ่กระจายออกมา ครอบคลุมไปทั่วทั้งห้อง ดวงตาดุกร้าวไม่ได้ละไปจากหญิงสาว ที่ยังคงนอนไม่แสดงอาการตื่นตัวใดๆ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นทารกหรืออย่างไร” เพียงก้าวมาใกล้กับที่นอนอยู่ ชายชุดดำได้เอ่ยขึ้น พร้อมเงื้อมีดสั้นในมือขึ้นสูง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่านางกำลังแสร้งหลับใหล ทั้งที่นางรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ฝีมือของนางย่อมไม่อาจประมาทได้ คนที่สามารถควบคุมลมหายใจได้ระดับนี้ ต้องผ่านการฝึกฝนมาจนชำนาญ “....” ทว่าคนที่หลับอยู่ กลับยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยตอบโต้ หรือแสดงให้เห็นว่านางกำลังถูกคุกคาม ราวกับเวลานี้นางหลับลึกจนไม่อาจรับรู้ ถึงสิ่งรอบกายใดๆ เลย นั่นยิ่งทำให้ชายชุดดำ กรุ่นโกรธราวกับเขากำลังถูกหญิงสาว ตบหน้าจนชาหนึบด้วยความเงียบ “เช่นนั้น! เจ้าก็จงหลับไม่ต้องตื่นมาอีกเลย” น้ำเสียงที่กร้าวกระด้างของผู้บุกรุก ทำให้หญิงสาวยกยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายช่างไร้ความอดทน ไม่เหมือนในอดีตที่เขาเฝ้ารออำนาจมานานนับสิบปี ยังทนมาได้ตั้งนาน นี่แค่ไม่กี่อึดใจที่จะรอนางลืมตา
ยามค่ำคืน ณ เรือนประมุขน้อยเมืองหยินกวง เจียงอี้หลิง ที่นั่งทอดกายบนเก้าอี้ตัวยาว ด้วยอาการเหนื่อยล้า หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากหาวอยู่หลายครั้ง ก่อนที่นางจะหลับตาลงในที่สุด เมื่อร่างกายไม่อาจฝืนต่อไปได้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน เสียงลมหายอันสม่ำเสมอก็มีให้ได้ยิน แม้จะไม่ดังก็ทำให้ผู้ที่ซ่อนกายในความมืด สามารถรับรู้ได้ว่านางหลับไปแล้ว เป็นอันว่าภายในห้องที่กว้างขวาง มีเพียงสองร่างของหนุ่มสาว ที่นอนหลับสนิทอยู่คนละมุมห้อง ร่างสูงที่เร้นกายอยู่ในเงามืดมาได้ระยะหนุ่ม ก้าวเข้ามาในห้อง ที่มีแสงเทียนส่องสว่าง คนในชุดดำไม่ได้คิดที่จะประมาท ต่อการมเยือนในครานี้ ร่างสูงก้าวเท้าตรงไปหาคนบนเตียง ฝีเท้าที่เบายิ่งกว่าเท้าแมวเดินเสียอีก นี่จึงทำให้เขามั่นใจ ว่าหญิงสาวจะไม่มีวันตื่นมาในตอนนี้ ดวงตาดุกร้าวมองคนบนเตียง ด้วยแววตาชิงชังอย่างไม่คิดปิดบัง ยิ่งเมื่อเห็นสภาพของอวี๋มู่หลง เหมือนคนกำลังจะจวนเจียนสิ้นใจอยู่รอมร่อ หัวใจของเขาก็ฟูฟ่องอย่างมีความสุขเหลือเกินเรียวปากหน้าภายใต้ผ้าคาดสีดำ ค่อยๆ คลี่แสยะยิ้มเหี้ยม กี่ปีแล้ว...ที่เขาเพียรหาหนทาง ก้าวมาแทนที่เจ้าคนไร้ค่านี่ แ
“ต่อไป...ข้าจะมิให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกขอรับ”ทุกความผิดพลาดชายหนุ่ม เลือกที่จะแบกรับไว้เอง อีกอย่างคุณหนูสามเอง ใช่ว่านางจะไม่ระวังตัว แต่เพราะประมุขน้อยแห่งหยินกวง ยังอ่อนประสบการณ์ไปอยู่มาก จึงยากนักจะควบคุมจิตใจ มิให้ห่วงหาใครสักคนได้เพราะขนาดตัวเขาเอง ยังอาจหาญทิ้งคุณชายใหญ่ มุ่งตรงมาที่นี่ เพื่อติดตามคุ้มครองคุณหนูสาม นับประสาอะไรกับประมุขน้อยอวี๋ ที่สตรีตรงหน้าคือคู่หมั้น จะปล่อยให้นางได้รับอันตราย ย่อมยากจะทำใจได้“ในบางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักข่มกลั้นอารมณ์ พวกเจ้ายังเด็กนัก หากต้องทำเช่นนั้นจริงๆ เพราะพ่อแม่ของพวกเจ้ายังทำไม่ได้เลย หึๆ จะมานับประสาอะไรกับเด็กๆ อย่างพวกเจ้าเล่า”หญิงชราฝังเข็มลงบนศีรษะของตู้ฮั่นอย่างใจเย็น ทว่าปากของนางก็ยังเอ่ยออกมา คล้ายอยากสอนให้ชนรุ่นหลัง ได้รู้ว่าในเวลาออกศึก บางครั้งต้องรู้จักข่มใจสละบางอย่างให้เป็น และรู้ที่ถอยเพื่อรุกแต่นางกลับไม่เอ่ยออกมาทั้งหมด เมื่อนึกถึงผู้นายเป็นที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อย่างเจียงกั๋วจ้าน ที่ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็พ่ายต่อใจ ในการที่จะปล่อยให้เจียงฮูหยิน ตกอยู่ในอันตรายได้ ดังนั้นไม่ว่าจะคุณชายคุณหนู รวมถึงม่
“ทำใจให้สบาย”หญิงชราเอ่ยปลอบตู้ฮั่น ในขณะที่นางกำลังรินเหล้าลงใส่ถ้วยอย่างใจเย็น ทว่าคนบนเตียงกลับไม่รู้สึกแบบนั้นได้เลย ยิ่งเมื่อมันคล้ายมีไรเคลื่อนไหวอยู่ใต้ราวนม มิหนำซ้ำกระดูกซี่โครงของเขา มันเหมือนถูกเลาะออกจากเนื้อ เรียกว่าเจ็บเจียนตาย ยังไม่เท่าความกลัวที่ไม่รู้ ว่าสิ่งข้างในกำลังเกิดอะไรขึ้น“ข้าช่วย”อู๋หยางรีบก้าวเข้าช่วยประคองศีรษะของตู้ฮั่นขึ้น ก่อนที่หญิงชราจะเอาเหล้าให้คนเจ็บดื่ม รสร้อนแรงของสุรา ยังมิอาจกลบความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไหนบอกนิดเดียวเล่า ตู้ฮั่นพร่ำบนอยู่ภายในใจทว่าเขากลับเลือกที่จะดื่มสุรา ให้ได้มากที่สุด เพื่ออย่างน้อยความมึนเมา จะทำให้เขามิต้องจดจ่ออยู่กับร่างกายที่เจ็บปวด มือหนายังคงกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น จนสั่นระริกเลยก็ว่าได้ เส้นเลือดที่ปูดโปนตามหลังมือ ทำให้เจียงอี้หยางที่อยู่ข้างๆ ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ด้วยความรู้สึกสยดสยองแล้วแบบนี้ตอนที่พี่สาวของเขาบาดเจ็บ นางจะเจ็บปวดเยี่ยงนี้หรือไม่ เด็กชายรีบเดินไปเอาผ้าผืนเล็ก ซุบน้ำที่เย็นๆ แล้วบิดหมาดๆ เพื่อมาซับเหงื่อให้คนบนเตียงเด็กชายไม่อาจที่จะขึ้นไปบนเตียงได้ จึงยื่นส่งผ้าให้แก่ผู้เป็น
ทางเดินบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม อู่หยางที่กำลังถืออ่างน้ำร้อน เดินกลับไปยังห้องพักของตู้ฮั่น จำต้องขยับบังเสาที่อยู่ระหว่างทางเดินในทันที เมือ่เขาเห็นใครบางคน ที่มีท่าทางไม่เหมือนจะมาพัก กำลังแง้มประตูห้องที่คุณชายน้อยอยู่ออก เพื่อดูคนที่อยู่ข้างในเขาไม่ได้แสดงตัวเข้าไปขัดขวาง ด้วยอยากรู้เช่นกันว่าคนผู้นี้ต้องการสิ่งใด จนเมื่อเขาเห็นว่ามีลูกค้าคนอื่น ที่พักอยู่อีกด้านกลังเดินมา เขาจึงเดินไปพร้อมคนผู้นั้นและเมื่อลูกค้าคนนั้นเดินเลยไป ซ่า! อ๊าก!! น้ำในอ่างถูกสาดไปอย่างตั้งใจ จนทำให้คนที่แอบดู ความเป็นไปในห้องของเขา ซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เพราะน้ำที่เขาตั้งใจสาด มันเพิ่งยกลงจากเตาใหม่ๆ ความร้อนเรียกว่าเดือดเพิ่งหายเลยก็ว่าได้“ขะ...ข้าต้องขออภัยด้วยพี่ชาย เมื่อครู่ข้าสะดุดขาตนเอง ท่านเจ็บมากหรือไม่”อู๋หยางพยายามที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เอามือปัดไปตามตัวของชายผู้นั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับผลักให้เขาหลีกทาง แล้ววิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่คิดที่จะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากเข้าเลยแม้แต่ตำลึงเดียว“เกิดสิ่งใดขึ้น”หญิงชราเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต