ต้าเป่าคิดว่าพ่อกับแม่ต้องวางแผนบางอย่างเกี่ยวกับเขาและน้องชายอย่างแน่นอน ต่อไปเขาจะต้องปกป้องน้องชายและระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น
ลู่หยางเข้าใจสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมา เขาเองก็อยากจะต่อยหน้าเจ้าของร่างเดิมเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบและใจดำเป็นที่สุด
ถ้าเป็นเขาเมื่อได้แต่งงานมีลูกและภรรยาแล้ว ต่อให้จะต้องขายไตหรือเลือดเขาก็จะไม่ยอมให้ครอบครัวของตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอน
ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกับชีวิตของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทั้งสองที่ไร้เดียงสา
ลู่หยางลูบหัวของเด็กชายฝาแฝดทั้งสองและให้คำสัญญา “ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วนะต่อไปพ่อจะดูแลพวกลูกอย่างดีแน่นอน”ในเวลานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลเด็กทั้งสองคนนี้
ไป๋ถังฟังคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็คิดว่าวิญญาณที่เข้ามาแทนที่คนนี้เป็นคนจิตใจดีมากทีเดียว
“ลูกหิวไหม”ไป๋ถังลูบหลังของ เสี่ยวเป่า และพบว่าร่างกายของเขามีแต่กระดูกและผอมมาก ดูเหมือนสิ่งแรกที่เธอควรทำในฐานะแม่คือต้องป้อนอาหารให้กับลูกทั้งสองเสียก่อน
เสี่ยวเป่าลูบท้องแบนๆ ของตนแล้วและพยักหน้า “เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”
เขาและพี่ชายกินแตงกวาที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านให้มาเป็นอาหารกลางวัน พ่อแม่มักจะไม่หาอาหารให้พวกเขากิน เพื่อจะได้มีชีวิตพี่ชายจึงต้องไปขออาหารจากคนในหมู่บ้าน
“เด็กๆ หิวแล้ว”ไป๋ถังไม่เคยทำอาหาร เธอเป็นพวกทำลายล้างในห้องครัว ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินเด็กๆ บอกว่าหิว หญิงสาวก็มองไปที่ลู่หยางส่งสัญญาณให้เขาที่เป็นพ่อรีบไปทำอาหารมา
ลู่หยางไม่ได้โต้เถียง เพราะเขาทำอาหารเก่ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเดินไปในห้องเพื่อหาอาหารที่เจ้าของร่างเดิมซ่อนเอาไว้ เขาเดินไปรอบ ๆ และพบหมั่นโถวข้าวโพดเพียงสองก้อนเท่านั้น
ไป๋ถังตกตะลึง “มีเพียงเท่านี้หรือ”
เธอรู้ว่าประเทศจีนในยุคนี้ มีความขาดแคลนอาหารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะขาดแคลนอาหารมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ามาตรการต่างๆ เริ่มผ่อนคลายแล้วหรอกหรือ ชาวบ้านเริ่มใช้เงินในการซื้ออาหารได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋วและไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับ
ลี่จูและชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูไม่ได้อดอยากมากขนาดนั้น แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ เพราะพวกเขาต่างขยันทำงานจึงได้รับส่วนแบ่งอาหารมาก แต่ครอบครัวนี้ทั้งสามีภรรยาต่างก็ขี้เกียจทำงาน และเงินทองก็ไม่มี จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะอดยาก
ลู่หยางมองหมั่นโถวสองก้อนในมือ แล้วถอนหายใจออกมา “มีเท่านี้แหละ”
เสี่ยวเป่าเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่ของเขาพูด และรู้ว่าที่บ้านมีเพียงหมั่นโถวข้าวโพดเพียงแค่สองชิ้น เด็กน้อยก้มหน้าลงลูบท้องที่กำลังหิวของตน เขาคิดว่าครั้งนี้คงไม่ได้กินแน่!
ลู่หยางเห็นท่าทีของเสี่ยวเป่า เขาก็รู้สึกเสียใจ เด็กตัวเล็กๆ เท่านี้ต้องมากังวลเรื่องอาหารการกิน มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน “เด็กโง่ พ่อกับแม่จะไม่ปล่อยให้พวกลูกต้องหิวแน่นอน รอหน่อยนะพ่อจะรีบไปอุ่นมาให้”
ชายหนุ่มจัดการก่อไฟต้มน้ำเพื่อนึ่งหมั่นโถว ให้กับลูกชายทั้งสอง หลังจากอุ่นหมั่นโถวจนร้อน เขานำมันใส่จาน แล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าบ้านให้ลูกชายทั้งสองกิน
เด็กทั้งสองกัดหมั่นโถวเข้าปากแล้วกลืนมันลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย
ไป๋ถังเทน้ำต้มสุกให้พวกเขาดื่ม “ดื่มน้ำก่อน เดี๋ยวจะติดคอเอา “
เสี่ยวเป่ากินหมั่นโถวไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นอีกครึ่งไปให้แม่ของตน “แม่อยากกินไหม”
ไป๋ถังยิ้มให้กับเด็กน้อย “แม่ไม่กิน เสี่ยวเป่ากินเถอะ”
ต้าเป่าเมื่อเห็นน้องชายทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่เต็มใจแต่ก็ยังถามพ่อออกไป “พ่อ อยากกินไหม”
ขอร้องล่ะ พ่อต้องพูดว่าไม่กินนะ!
ต้าเป่าภาวนาอยู่ในใจ เพราะพ่อของเขาเป็นคนน่ากลัวมาก เด็กน้อยเคยเห็นพ่อยัดหมั่นโถวชิ้นใหญ่เข้าปากได้เพียงคำเดียว!
ลู่หยางไม่รู้ว่าลูกชายคนโตของครอบครัวคิดกับเขาเช่นไร แต่ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะเด็กสองคนนี้ยังคงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ แม้ว่าจะถูกกระทำอย่างรุนแรงก็ตาม
เขาลูบหัวต้าเป่าด้วยความอ่อนโยน “พ่อไม่หิว ลูกกินเถอะ”
ต้าเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบจัดการกับหมั่นโถวที่เหลือเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เขาคิดว่าหลังจากได้กินอาหารดีๆ เช่นนี้ ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปเขาจะยังได้กินอยู่ไหม
ท่าทางของพ่อกับแม่ ทำให้เขานึกหวาดกลัว เป็นอย่างมาก มีแม่เฒ่าในหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนที่พ่อแม่จะเอาลูกๆ ไปขาย พวกเขามักจะป้อนอาหารให้อิ่มก่อนเสมอ
หัวใจของต้าเป่ารู้สึกเจ็บปวด เขาก้มหน้าจิบน้ำในถ้วย โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว ไป๋ถังก็ขยิบตาส่งสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องคุยกันแล้ว
ลู่หยางพยักหน้าบอกให้ ต้าเป่า และเสี่ยวเป่านั่งรออยู่ตรงนี้ ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องพร้อมกับไป๋ถัง
ในห้องยังคงระเกะระกะไปด้วยสิ่งของที่ทั้งสองคนทำพัง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะพวกเขากำลังให้ความสนใจกับหัวข้อที่กำลังจะสนทนามากกว่า
ไป๋ถังยื่นมือไปหาลู่หยางอย่างเป็นทางการ “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อไป๋ถังมาจากยุคอวกาศ แต่เพราะยานเกราะระเบิดก็เลยทะลุมิติเข้ามาอยู่ที่นี่”
“ยุคอวกาศ”ลู่หยางตะลึง “ยุคอวกาศที่มีแต่ในภาพยนตร์ไซไฟน่ะเหรอ”
ไป๋ถังเลิกคิ้ว “คุณมาจาก...”
ลู่หยางเคยปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
“สวัสดี ผมชื่อลู่หยาง มาจากศตวรรษที่ 21 เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ “
ดวงตาของไป๋ถังเป็นประกาย วิญญาณของอีกฝ่ายดูไม่เลวเลยทีเดียว เป็นถึงทหารจากหน่วยรบพิเศษ
รอยยิ้มของไป๋ถังสดใส ก่อนจะดึงมือของตนออกจากฝ่ามือของชายหนุ่ม “ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนที่อายุใกล้เคียงกับคนในยุคนี้ แต่ในความคิดของฉันคุณก็ถือว่าเป็นคนในยุคโบราณเช่นกัน”
เมื่อลู่หยางได้ยินเช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ทะเลาะกัน ไป๋ถังบอกว่าเธอเป็นบรรพบุรุษของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้เปรียบจึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน “ดูเหมือนว่าผมจะเป็นบรรพบุรุษของคุณนะครับ”
ไป๋ถังยิ้มหวานตอบเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น...ฉันควรจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้คุณดีไหมคะ”
ลู่หยาง “...”ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็