“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”
แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...
ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู
“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...
“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก
“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”
ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตาม
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชิน
แม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...
พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าขวัญข้าวยังนั่งอยู่ที่เดิม และมองชายหนุ่มที่นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ทำไมยังไม่กลับไปอีก”
“ทำไมใจร้ายแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าขวัญข้าวไม่ได้เอารถมา...”
เมื่อเจอคำถามไร้เยื่อใยของพายุ ขวัญข้าวจึงกล่าวตัดพ้อ พร้อมส่งสายตาเว้าวอน แม้ภายในใจจะโมโหลุกเป็นไฟตามนิสัยเอาแต่ใจของเธอก็ตาม แต่ก็ไม่อยากแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็น ว่านิสัยแท้จริงของเธอเป็นเช่นไร
“ก็ได้...ผมจะให้คนไปเรียกแท็กซี่ให้”
พายุตัดบท หันไปเปิดตู้เสื้อผ้าแต่งตัวตามปกติ โดยไม่สนใจคู่สนทนา ที่ยืนแข็งทื่อกับคำตอบ ว่าจะรู้สึกอย่างไร
“ทำไมทำแบบนี้” เธอตัดพ้อออกมาอย่างเหลืออด เพราะครั้งนี้เธอหวังต่อสานสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง แต่โดนตัดเยื่อใยจนไม่เหลือชิ้นดี...
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมไม่ว่าง” พายุเริ่มหงุดหงิด
“ไปส่งเมียที่คอนโดหน่อยไม่ได้หรือไงคะ”
ขวัญข้าวยังตื๊อ พร้อมใช้คำว่าเมียออกมาเพื่อประชดกับอาการที่พอได้ปลดปล่อยแล้วทำท่าทางรังเกียจเหมือนเธอเป็นสิ่งสกปรกโสโครก
พายุละมือจากกระดุมเสื้อ จ้องมองสาวสวยอย่างไม่พอใจ กับคำว่า ‘เมีย’ ที่เธอใช้
“คุณว่าไงนะ เราเคยตกลงกันว่าไง คุณไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าเมียกับผมนะ”
“ทำไมจะใช้ไม่ได้ ก็ขวัญข้าวเป็นเมียพายุนี่”
“คู่นอนมากกว่ามั้ง...” เขาพูดอย่างไร้เยื่อใยอีกครั้ง คนฟังได้แต่กัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ “คนที่ใช้คำว่า ‘เมีย’ กับผมได้ คือเตชินเท่านั้น”
สีหน้าจริงจัง เป็นคำประกาศชัดเจน
“...เตชินนี่คือผู้ชายกับผู้ชายหรือเปล่าคะ” ขวัญข้าวไม่เชื่อหู จนต้องย้ำถาม
“ได้ยินชัดแล้วนี่” พายุย้อน
“หา นี่คุณเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ” คำตอบของพายุ ทำเอาขวัญข้าวถามกลับเสียงหลง
“ความชอบไม่ได้ตั้งกฎว่าเป็นเพศชายหรือหญิง ถ้าคนคนนั้นมีใจตรงกัน”
“แต่มันจะไม่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบนะคะ”
“สมบูรณ์แบบที่ว่าเขาวัดกันตรงไหน แม่ไปทางพ่อไปทาง...เห็นเด็กกำพร้ามีตั้งครึ่งค่อนประเทศ ไม่ใช่เพราะมีพ่อแม่ เป็นผู้หญิงผู้ชายหรอกหรือ”
“แต่มันก็ไม่ทั้งหมดนี่คะ”
“แล้วจะมาตั้งบรรทัดฐานว่าครอบครัวสมบูรณ์แบบ ต้องมีพ่อเป็นเพศชาย มีแม่เป็นเพศหญิงเหรอ ถ้าแบบนั้นผมค้านหัวชนฝา”
“โอ๊ย ไว้มีลูกให้ได้ แล้วค่อยมาเถียงได้ไหมคะ”
ขวัญข้าวตัดบท แต่ใจยังถากถาง เตชิน...ก็แค่ผู้ชาย มันจะมีดีอะไรนักหนา...
“ครอบครัวมันอยู่ที่ใจ คุณไม่ต้องมากังวลแทนผมหรอก”
“หรือคะ แล้วคิดว่าคนที่พายุเอ่ยถึงอยู่ เขาจะกลับมาหาคุณไหมล่ะ”
แววตาที่แฝงไปด้วยเลศนัยถือดีกล้าท้าทายในความคิดของตัวเอง และคำพูดนั้นก็เรียกความสงสัยจากพายุได้เป็นอย่างดี
“หมายความว่าไง ทำไมเตชินจะไม่กลับมาหาผม ถามแบบนั้นเพราะคุณรู้อะไรมาใช่ไหม” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถาม
“ไม่รู้ ขวัญข้าวก็พูดไปงั้นแหละ เพราะหากนายเตชินอะไรนั่นมา พายุก็คงไม่คว้าใครมานอนด้วย จริงไหมล่ะ”
คำตอบนั้น ไม่ได้ทำให้คิ้วที่ขมวดผูกปมคลายออกแต่อย่างใด
ซึ่งหลายวันแล้วที่เขาพยายามโทรหา แต่เตชินก็ไม่รับสาย จะว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ใกล้ตัว แต่มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เขาโทรไป
...เป็นร้อยสาย แต่ไม่มีคนรับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ถึงอย่างงั้น คุณก็อย่ามาหาเรื่องปวดหัวให้ผม ไม่งั้นผมไม่เอาคุณไว้แน่”
พายุไม่คลายความระแวงในตัวขวัญข้าว ก็เธอโผล่มาเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังมีปัญหา
“ก็แล้วแต่เลยค่ะ ไงขวัญข้าวกลับก่อนดีกว่า...คุณมีนัดกับน้องชายไม่ใช่เหรอ”
มุมปากบางยกสูง กลบความสะใจเอาไว้
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“ต่อไปอย่ามาให้ผมเจอหน้าอีก และอย่าเข้าใกล้ผมเด็ดขาด ไม่งั้นผมจะไม่ไว้หน้าจริงๆ” พายุสั่งกำชับจริงจัง
ขวัญข้าวกลืนน้ำลายลงคอ “นี่คุณรังเกียจขวัญข้าวมากขนาดนี้เลยหรือคะ”
“ผมไม่ไว้ใจคุณมากกว่า” พายุย้ำ
“ไม่ไว้ใจ ขวัญข้าวไปทำอะไรให้คุณไม่ไว้ใจคะ”
“ผมไม่รู้...แต่อยู่ให้ห่างผมและคนของผมไว้ก็พอ”
คำพูดและสีหน้า บ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คบกับผู้ชายด้วยกันเล่นๆ...
ณ ไร่ตะวัน“นี่จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยหรือไง” น้ำเหนือถามเสียงเข้ม เพราะพยายามปลดแขนที่กอดรัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกจากตัว แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ไม่ยอมให้ปลดออก“ผมยังไม่อิ่มเลย”“นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ลุกขึ้นไปดูคนงานบ้างเถอะ...” ว่าแล้วก็ตีไปบนต้นแขนแข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที “ไหนบอกว่าจะพามาดูไร่ นี่อะไร ขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”“ก็คนมันคิดถึง”“คิดถึงหรือเงี่ยน”“โธ่...ปากคอเราะรายขึ้นนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยแขนออกจากเอวน้ำเหนือจึงดีดตัวลุกขึ้น มองร่างใหญ่ล่ำที่นอนแผ่โชว์กล้ามเนื้อแน่น ซึ่งน้ำเหนือหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่เห็นและสัมผัส...“ผมอยากไปดูสวนผัก...”“จะเปลี่ยนไปนอนกระท่อมไหมล่ะ บรรยากาศท่าจะดี หรือริมลำธารดีล่ะ...”รู้ว่าตะวันแกล้งพูดยั่ว ซึ่งน้ำเหนือก็ไม่ได้ใส่ใจ หากแต่สนใจกระท่อมไม้ที่ตัวเองเคยซุกหัวนอน“ยังไม่พังอีกเหรอ”ในเมื่อสภาพกระท่อมเป็นเพียงไม้ไผ่สานบางๆ และใบไม้แห้งจะทนแดดทนฝนไปได้นานเท่าไหร่กัน“ผมสั่งให้ลุงมิ่งดูแลอย่างดีเลยนะ”“เพื่อ...”“ความทรงจำผมอยู่ที่นั่นไง”“ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ผมอยากเห็นแล้ว” พูดพลางก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเดินตรงไปยังห้อ
ณ ธงชัยสิทธิ์เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เตชินทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย และกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางในอีกสองวัน“แน่ใจนะว่าไปอยู่คนเดียวได้” ตะวันเดินเข้ามาแล้วเอามือวางไปบนไหล่น้องชาย เตชินเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มให้“อยู่ได้สิครับ ผมน้องพี่ตะวันนะ...” ดวงตากลมใสเป็นประกาย หากแต่ตะวันมองออกว่านั่นคือการพยายามแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ใจร้องไห้...“มันเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม...” เพราะสองอาทิตย์ที่ตัวเองนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทางนี้ก็ได้พายุเป็นคนรับหน้าที่ดูแล มันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง...คำถามของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สะท้อนตรงลงมากลางอก เตชินดวงตาอ่อนแสง แล้วตอบเสียงสั่นเครือ “แค่พี่เขาไม่รังเกียจผมก็ดีมากแล้ว”“อืม...อาจจะไม่ใช่เวลาที่ใช่”“แล้วเรื่องพี่ตะวันกับน้ำเหนือล่ะครับ...” เตชินเปลี่ยนเรื่อง“พี่ก็ไม่ท้อหรอก พยายามตามจีบเขาอยู่”“งั้นผมเอาใจช่วยนะครับ” แล้วสองพี่น้องก็สวมกอดส่งกำลังใจให้กันสนามบินสุวรรณภูมิ“น้ำเหนือบอกว่าจะมาส่งเหรอ” ตะวันเอ่ยถามหลังจากที่เห็นน้องชายชะเง้อคอยาวมองไปยังประตูทางเข้า“เห็นบอกว่าจะมา...” น้ำเ
ปัง ปัง ปัง“ไม่ อึก...” น้ำเหนือวิ่งถลาไปหาร่างที่ทรุดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างตกใจสุดขีดในขณะที่เตชินทรุดตัวสลบไปพร้อมภาพสุดท้าย คือร่างของพี่ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งถูกน้ำเหนือประคองกอดไว้ ส่วนพายุวิ่งไปดูเตชินและประคองศีรษะไม่ให้กระแทกลงบนพื้นพายุมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดด้วยความหดหู่ใจ ความโกรธเกลียดก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อคนที่ตัวเองประคองอยู่นั้น เจอเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะซ้ำเติม และตัวเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องราวในอดีตเอามาเป็นทุกข์อีกต่อไป...ช่วงชุลมุนนั้นภาคินระเบิดกระสุนใส่มือของพงศ์จนปืนกระเด็น พงศ์ลงไปนอนกุมมือร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้นสองอาทิตย์ต่อมาตะวันเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่มีอาการโคม่าและผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อเอากระสุนที่อยู่ใกล้จุดสำคัญออกมา และได้น้ำเหนืออยู่ดูแลไม่ห่างโดยมีเดร์เข้ามาช่วยเป็นบางครั้ง จนพายุและภาคินยอมใจอ่อนไม่ห้ามปรามและปล่อยให้ไปตามใจที่น้องชายต้องการ ส่วนพงศ์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีอาการจิตหลอน ในขณะที่เตชินยังมีอาการหวาดผวาก็ได้พายุเป็นคนดูแลในระหว่างที่ตะวันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...“ฟื้นแล้ว” น้ำเหนือดีดตัวลุกขึ้
ตั้งแคมป์กันเหรอ...ตะวันคิดสรุป เพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์ครบไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ อีกทั้งเห็นว่ามีเสื้อผ้าเปียกน้ำผึ่งแดดไว้“ไม่ยักรู้ว่าพี่ภาคินก็แม่นปืนกับเขาด้วย”เสียงคุ้นหูดังระรื่นมาแต่ไกล ทำให้คนได้ยินถึงกับหูอื้อ ใจเต้นแรงทันที“คุณตะวัน...” ภาคินเรียกผ่านริมฝีปาก ส่วนน้ำเหนือหน้าถอดสีแล้วขยับไปจับไหล่ของภาคินไว้ภาคินเหลือบตามองน้ำเหนือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า“ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงได้เดินตัดเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นแบบนี้.. ระวังเถอะ เจ้าของไร่อาจตาลายนึกว่าเป็นสัตว์ร้ายจะโดนเป่าเอาง่ายๆ นะครับ”“อยากเป่าก็เป่าสิ แต่ต้องเป่าทีเดียวให้ตายนะ” ในขณะที่พูดตาก็มองกร้าวไปยังหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกชายเจ้าของไร่“ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดยิงคนเหมือนกันได้หรอกครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไร แค่ตกใจเสียงปืนก็เท่านั้น”“อ้อ ครับ ผมไม่ทันคิดว่าผมซ้อมมือที่ไร่ผม แล้วจะไปรบกวนคนอื่น”“ครับ บังเอิญว่าทิศทางลมมันไปทางไร่ผมกับน้องชายพอดีเลยทำให้ตกใจ ที่สำคัญคุณก็รู้ว่าน้องชายผมไปเจออะไรมา หากผมจะหวาดระแวงก็คงไม่แปลกนะครับ...แต่ตอนนี้
สองวันต่อมา ตะวันทนการรบเร้าของเตชินไม่ไหวจึงเล่าเรื่องตนเองกับน้ำเหนือให้ฟังจนหมด“พี่ตะวัน พี่ทำกับเพื่อนผมแบบนั้นได้ไง”เตชินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำเหนือกับพี่ชายของตัวเองก็รับไม่ได้“พี่ทำแบบนั้นทำไม แล้วนี่พี่จะเอายังไงต่อ...ไม่สิ ผมอยากไปขอโทษน้ำเหนือ” เตชินร้อนใจกลัวความบาดหมางครั้งนี้จะทำให้ความเป็นเพื่อนขาดสะบั้นลงส่วนเรื่องพายุ เตชินเตรียมใจไว้แล้วว่า ความรู้สึกคงไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โดยเฉพาะพายุ คงยากที่จะกลับมามองหน้าตัวเองได้อีก...“ตอนนี้ พี่ไม่อยากให้เตชินอยู่ห่างพี่เลยนะ”“ผมก็ไม่อยากห่างพี่เหมือนกัน ผมกลัว...”“พี่ขอโทษ...” ดึงตัวน้องชายเข้ามากอดปลอบน้องชายและปลอบใจตัวเอง...“ผมก็ขอโทษพี่เหมือนกัน ที่สร้างเรื่องยุ่งยากมาให้...แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงน้ำเหนือมาก จะเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”“เขาอาจจะเกลียดพี่ไปแล้ว...” ตะวันเปรยขึ้น เสียงเศร้าเตชินรับรู้ได้ว่าพี่ชายตนรู้สึกผิดจริงๆ เพราะคนอย่างนายตะวันไม่เคยทำอะไรฝืนใจตัวเอง“ถึงยังไงผมก็อยากไปเจอน้ำเหนือก่อนจะเดินทาง”เตชินตัดสินใจแล้วว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องรอให้เรื่องทุ
พงศ์เส้นเลือดตรงขมับบวมเต็ง เมื่อเห็นเตชินแสดงสีหน้าเจ็บปวดขณะมองชายอดีตคนรักที่เสมือนหนามยอกอก...เวลาผ่านไป ใจของเตชินก็ยังอยู่กับมันพงศ์คิดอย่างแค้นเคืองเลือดหึงขึ้นหน้า แล้วด้วยความโกรธแค้น จึงคิดหาทางเอาคืนอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ดวงตาคมกล้ามองไปใต้เสื้อแจ็กเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์ที่ยืนแนบข้างจดจ้องอยู่ที่บางอย่างตรงเข็มขัด เมื่อได้จังหวะ ก็เข้าไปกระแทกไหล่จนอีกฝ่ายเสียหลักยื่นมือไปคว้าสิ่งที่เล็งไว้มาถือได้สำเร็จอย่างมั่นเหมาะความอลหม่านเกิดขึ้นเมื่อปลายกระบอกปืนจ่อไปยังพายุ ส่วนลูกน้องอีกคนรีบดึงอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเล็งตรงไปยังพงศ์ทันทีทุกคนต่างตะลึงตกใจ พายุหน้าถอดสีแต่ทำใจดีสู้เสือตะวันร้อนใจ กลัวเรื่องบานปลายใหญ่โต โดยที่ไม่อยากให้มีการสูญเสียไม่ว่าเรื่องใด ตัดสินใจเดินตรงไปหาพงศ์ ในขณะที่พายุกำลังพูดโต้“จะยิงผมเหรอ...ผมผิดอะไร ในเมื่อผมแพ้พวกอาพงศ์แล้วนี่ น้องชายของผมก็โดนลากไปแก้แค้นทั้งที่ไม่ผิด แล้วผมกับน้ำเหนือสมควรได้รับสิ่งที่ธงชัยสิทธิ์ทำงั้นเหรอ...”คำพูดของพายุทำให้ทุกคนในที่นั้นตะลึงงัน ส่วนภาคินเดินเข้ามาจับแขนเพื่อนไว้เพื่อส่งกำลังใจให้ หากแต่อาพงศ์ยกยิ้มสะใจ“กู