ตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาเว่ยจื้อโหยวปลูกผักในที่ดินรอบ ๆ บ้านของนาง และปลูกผลไม้ที่นางขุดเอาต้นเล็ก ๆ กลับมาจากป่า ตอนนี้นางเริ่มว่างงานอีกแล้ว
เว่ยจื้อโหยวเดินไปบ้านท่านยายดูว่าพอจะมีอะไรให้นางช่วยหรือไม่ ตอนนี้ที่ดินที่ท่านลุงกับท่านพ่อซื้อมาใหม่นั้นได้จ้างชาวบ้านมาช่วยกันแผ้วถางเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงล้อมรั้วรอบที่ดินทั้งหมดด้วย
ท่านพ่อเข้าไปติดต่อช่างในเมืองมาสร้างบ้านและจ้างชาวบ้านบางส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็อยากจะสร้างบ้านใหม่เพียงแต่ว่าตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ รอให้บ้านท่านพ่อสร้างเสร็จเสียก่อนนางค่อยสร้างบ้านของตัวเอง
เว่ยจื้อโหยววางแผนที่จะทำกำแพงดินล้อมรอบบ้านและที่ดินทั้ง 3 หมู่ ส่วนที่ดินที่นางต้องการซื้อเพิ่มนางต้องการจะล้อมรั้วให้สูงขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะนางกลัวคนบ้านเฉียนเข้ามาขโมยพืชผลในสวนของนาง
“ท่านแม่ ท่านยายมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีอันใดให้เจ้าช่วยแล้ว เจ้ากลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเถอะ ส่วนผ้าที่พ่อเจ้าซื้อมาเมื่อคราวก่อนประเดี๋ยวแม่กับป้าสะใภ้ของเจ้าจะตัดชุดให้เจ้ากับน้องสามีของเจ้าก่อน”
“ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ แล้วท่านพ่อกับท่านลุงเล่าเจ้าคะไปที่ใดแล้ว"
“ไปสอบถามเรื่องที่จะส่งเด็ก ๆ เข้าเรียนในเมืองน่ะสิ ส่วนอาเฟยก็ให้พวกน้องชายของเจ้าสอนนางในตอนที่พวกเขากลับมาก็แล้วกัน ส่วนงานเย็บปักแม่กับท่านยายท่านป้าของเจ้าจะช่วยสอนนางให้เอง เจ้าไม่ต้องกังวลนะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ขอบคุณนะเจ้าคะ แล้วน้องรองกับน้องเล็กเล่าไปที่ใด ท่านตาด้วย ข้ามาทีไรไม่เคยพบท่านตาสักครั้ง”
“ท่านตาของเจ้าพาน้องทั้งสองของเจ้าไปดูที่ดินที่ซื้อมาใหม่เช่นไรเล่า”
“ไม่ต้องไปถามหาตาแก่หรอกอาโหยว ตาแก่ไม่เคยมีที่ดินมากขนาดนี้ก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอเช้ามาก็ลากหลานทั้งสองคนออกจากบ้านไปแล้ว”
“อ่อ เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ท่านแม่ ท่านยายเช่นนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะให้อาเฟยมาเรียนรู้งานเย็บปักกับท่าน”
“ได้ ๆ เจ้ากลับไปเถอะ เดินดี ๆ ล่ะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
เว่ยจื้อโหยวกลับมาถึงบ้านก็พบว่าน้องทั้งสองคนออกไปดูแลแปลงผักหลังบ้าน นางจึงตามออกไปและเรียกอวิ๋นเฟยให้ไปเรียนรู้งานเย็บปักที่บ้านท่านยายของนาง อีกทั้งบอกเรื่องเรียนหนังสือให้กับอวิ๋นซวนได้รับรู้ด้วย
“อาเฟย อาซวนมานี่หน่อยข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า”
“พี่สะใภ้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
“อันดับแรก อาเฟย ต่อไปนี้กลังจากเสร็จงานในบ้านแล้วเจ้าไปเรียนเย็บปักกับท่านแม่ของข้า ส่วนอาซวนเตรียมตัวเข้าเรียนหนังสือในเมืองได้เลย วันนี้ท่านพ่อและท่านลุงเข้าไปสอบถามที่สถานศึกษาแล้ว”
“ขอบคุณขอรับพี่สะใภ้”
“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องดูแลพวกเจ้าแทนพี่ใหญ่ของพวกเจ้า ส่วนอาเฟยค่อยเรียนรู้จากอาซวนตอนเขากลับมาบ้านในวันหยุดเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะพี่สะใภ้ เช่นนั้นข้าขอไปบ้านท่านยายเหลียนเลยนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ ๆ อาซวนอยู่เฝ้าบ้านหากไม่ใช่ท่านพ่อกับท่านลุงอย่าได้เปิดประตูบ้านรับใครเข้าใจหรือไม่ พี่สะใภ้จะเข้าป่าเสียหน่อย”
“ขอรับพี่สะใภ้ ข้าจะเฝ้าบ้านให้เอง”
“ดีมาก เอาไว้ข้าจะหาหมามาเลี้ยงสัก 2 ตัว จะได้เอาไว้เฝ้าบ้าน”
“ดียิ่งขอรับ ข้าเองก็อยากเลี้ยงมากเลย แต่ว่าเมื่อก่อนแม้แต่ข้าวจะกินยังไม่มีพี่ใหญ่เลยไม่ให้เลี้ยงขอรับ”
“เอาเถอะ ๆ ต่อไปนี้ชีวิตพวกเจ้าจะดีขึ้น เชื่อข้าหรือไม่”
“ข้าย่อมเชื่อพี่สะใภ้อยู่แล้วขอรับ”
“เช่นนั้นเฝ้าบ้านดี ๆ เล่า ข้าเข้าป่าไม่นานจะรีบกลับมา”
“ขอรับ”
หลังจากสั่งความน้องทั้งสองคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวเดินเข้าป่าไปด้วยความเบิกบานใจ ผักนางก็ปลูกเสร็จแล้ว ตอนนี้ได้เวลาเข้าป่าไปหาเงินเพิ่มแล้ว
ในป่ามีของดีมากมายที่สามารถนำไปขายทำเงินได้ขอเพียงไม่ขี้เกียจ เห็ดป่าสามารถนำไปตากแห้งและนำไปขายได้ หากไม่ขายจะเก็บเอาไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาวก็ดีเช่นเดียวกัน
วันนี้ท่านพ่อกับท่านลุงไม่ได้มาด้วย นางตั้งใจว่าจะเดินเข้าป่าลึกให้มากกว่าเดิมหน่อย หมูดำตัวแรกยังนอนอยู่ในมิติของนางเพราะไม่มีโอกาสที่จะเอาออกมา เลยได้แต่เก็บเอาไว้ก่อน
เรื่องที่นางมีมิตินั้นนางไม่ได้บอกกับใครไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือท่านลุง ด้วยเหตุนี้หมูดำตัวแรกที่นางล่าได้จึงยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ในมิติของนางนั่นเอง
เว่ยจื้อโหยวเดินเข้าป่าลึกไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งวางกับดักไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน เดินมานานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีนางก็มายืนอยู่ในทุ่งกว้าง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีทุ่งหญ้าที่กว้างขนาดนี้ซ่อนอยู่ในป่าลึก
“หือ นั่นมันไม่ใช่ข้าวหรอกหรือ” เว่ยจื้อโหยวหันไปเห็นต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองสวย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีข้าวอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งนี้ ไม่รอช้านางรีบเดินเข้าไปดูทันที และมันก็เป็นอย่างที่นางคิด ต้นข้าวจริง ๆ และยังสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ไม่แน่ชัดว่าเป็นข้าวพันธุ์อะไร แต่จะอะไรก็ช่างมันก่อน ตอนนี้นางต้องรีบเก็บเกี่ยวรวงข้าวทั้งหมดนี่ก่อน
เว่ยจื้อโหยวใช้เวลาไม่นานก็เก็บเกี่ยวรวงข้าวทั้งหมด ได้มาหนึ่งตะกร้าใหญ่นางจึงนำไปเก็บเอาไว้ในมิติก่อนวันหลังนางถึงจะทดลองปลูกในมิติอันแห้งแล้งของนาง หากปลูกสำเร็จนางจะมีเมล็ดพันธุ์ข้าวมากขึ้น จากนั้นค่อยนำมาปลูกในแปลงนาของท่านพ่อและท่านลุง
หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วนางจึงออกเดินต่อ เว่ยจื้อโหยวอดแปลกใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่านางเดินเข้ามาในป่าลึกแล้วหรือเหตุใดจึงไม่พบเห็นสัตว์ป่าเลยสักตัว
แต่จะอะไรก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้กลับออกไปก่อนจะดีกว่านางรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ นางเข้าป่ามาก็หลายครั้งหลายหนแล้วแต่ไม่เคยพบเจอสมุนไพรหายากเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือว่าที่นี่จะไม่มีสมุนไพรล้ำค่าที่ขายได้ราคาแพงพวกนั้น
“จะเจอไม่เจอก็ช่างมันเถอะ หาอย่างอื่นไปขายแทนก็แล้วกัน”
เว่ยจื้อโหยวเดินไปบ่นไป ไม่นานนางก็เดินออกมาพ้นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ นางออกเดินไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ในตอนที่กำลังจะหาที่นั่งพักเพื่อกินอาหารเพราะตอนนี้พยาธิในท้องของนางมันเริ่มประท้วงแล้วนั่นเอง แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ทำให้นางลืมหิวไปชั่วขณะ เสือขาวสองตัวกำลังต่อสู้กับหมาป่าสีเทาสองตัว อีกทั้งยังมีลูกหมาป่าที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน
“นี่มันบ้าอะไรกันต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือยังไง เป็นถึงเสือแต่มารุมทำร้ายครอบครัวหมาป่า นิสัยไม่ดีทั้งคนทั้งสัตว์ คนก็ก่อศึกสงครามทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนสัตว์ก็เข่นฆ่ากันเอง อันธพาลชัด ๆ” เว่ยจื้อโหยวที่ยังคับแค้นใจเรื่องที่สามีต้องไปเป็นทหาร แต่นางคงลืมไปว่ามันเป็นเรื่องปกติของสัตว์ป่า
เว่ยจื้อโหยวแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใหญ่และนางค่อย ๆ ย่องเข้าไปเอาลูกหมาป่าตัวเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ 4 ตัวใส่ตะกร้าไม้ไผ่ และกลับมายังต้นไม้ใหญ่ จากนั้นนางจึงเล็งธนูไปยังเสือขาวด้วยความโมโห
“ปึ๊ก” เสือสาวตัวใหญ่ล้มลงขาดใจตาย มันตายทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวและไม่เข้าใจ แค่มันต้องการไล่ที่พวกหมาป่าเหตุใดมันต้องตาย
ส่วนเสือขาวที่กำลังพัวพันอยู่กับหมาป่าอีกตัวก็หยุดต่อสู้ทันทีที่เห็นเพื่อนของมันล้มลง หมาป่าทั้งสองตัวเองก็แทบจะหมดแรงแล้วเช่นเดียวกัน มันทั้งสองตัวบาดเจ็บสาหัสมาก เสือขาวไม่มีทางเลือกมันรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หากมันยังรั้งที่จะต่อสู้ไม่เลิกมันคิดว่ามันคงจะต้องตกตายไปเหมือนเช่นเพื่อนของมัน
หลังจากเสือขาวหนีไปแล้ว นางรีบเดินไปเก็บเสือขาวและโยนเข้าไปในมิติ ส่วนพ่อแม่หมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บหนักก็ล้มลงตรงนั้น เว่ยจื้อโหยวเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“เฮ้อ นี่ลูกของพวกเจ้าข้าเอามาคืนให้ แล้วนี่จะทำเช่นไรต่อ พวกเจ้าไหวรึเปล่า” เว่ยจื้อโหยวถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันฟังนางไม่รู้เรื่อง
“เลือดไหลขนาดนี้จะทำยังไงล่ะทีนี้ ประเดี๋ยวกลิ่นเลือดของพวกเจ้าก็ดึงดูดสัตว์ตัวอื่นมาพอดี พวกเจ้ามีบ้านอยู่แถวนี้หรือไม่ข้าจะไปส่ง โอ๊ะ ข้าลืมไปพวกเจ้าเป็นหมาป่าพูดไม่ได้”
เว่ยจื้อโหยวไม่มีทางเลือกนางเอาน้ำแร่ออกมาล้างแผลให้พ่อแม่หมาป่าจากนั้นก็ให้มันทั้งสองตัวกินน้ำแร่ นางกลัวว่าหากทิ้งเอาไว้เช่นนี้พวกมันคงได้ตายยกครัวเป็นแน่ เมื่อไม่มีทางเลือกนางจึงได้จับพวกมันทั้งครอบครัวยัดเข้ามิติไป ให้พวกมันอยู่ในนั้นไปก่อน
“ต้องหาใส่สมุนไพรรักษาแผลก่อนไม่รู้ว่าป่าแถวนี้จะมีหรือไม่ เอาไว้รักษาพวกมันจนหายแล้วค่อยปล่อยกลับเข้าป่าก็แล้วกัน”
ครอบครัวหมาป่าหลังจากที่ถูกจับโยนเข้ามาในมิติอันแห้งแล้งแล้ว นอกจากน้ำแร่แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น ผลไม้ที่นางปลูกเอาไว้ยังไม่ออกดอกออกผลคงต้องรอไปอีกสักระยะ ก่อนอื่นคงต้องหาอาหารโยนเข้าไปให้พวกมันได้กินด้วย ช่างวุ่นวายจริง ๆ
เว่ยจื้อโหยวเดินกลับออกจากป่าช้า ๆ ไม่รีบร้อน ระหว่างทางเจอกระต่ายนางก็ล่ากระต่ายเจอไก่ป่าก็ตามล่าไก่ป่า เพื่อนำไปเป็นอาหารให้หมาป่า
การเข้าป่าของนางในวันนี้ไม่นับว่าขาดทุนเท่าไหร่ อย่างน้อย ๆ เสือขาวตัวนี้น่าจะขายได้ราคางาม นางเห็นว่าได้เวลาออกจากป่าแล้วจึงได้หันหน้าเดินออกจากป่า แต่ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านนั้นนางยังเก็บผักป่าหาสมุนไพรไปด้วย
และในตอนนี้นางได้เริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้หาที่นั่งพักเพื่อกินอาหาร เว่ยจื้อโหยวนั่งพักได้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจากนั้นก็เอาซาลาเปาที่เตรียมมาจากบ้านออกมานั่งกิน
นางกินไปสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ไม่นานซาลาเปาในมือก็หมดลง นางดื่มน้ำแร่ในมิติทำให้ร่างกายหายเมื่อยล้าไปทันที เว่ยจิ้อโหยวลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะกลับบ้านแต่สายตาของนางหันไปเห็นบางสิ่งบางอย่างเข้าเสียก่อน
ไม่รอช้าเว่ยจื้อโหยวรีบสาวเท้าเข้าไปทันทีเพื่อดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคืออะไรกันแน่ หากว่ามันใช่ในสิ่งที่นางคิดเอาไว้วันนี้ก็เท่ากับว่าโชคหล่นทับหัวนางแล้ว
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก