เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ด
ยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์
ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้าน
วันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา
“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้ากำลังศึกษาตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังมิเข้าใจกระจ่างนัก โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนในกายได้อย่างสมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหลี่พยักหน้าช้า ๆ “วิชาธาตุและเส้นลมปราณนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก การควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนได้นั้นต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความเข้าใจในหลักแห่งธรรมชาติ”
เขาอธิบายถึงหลักการพื้นฐานของลมปราณ การไหลเวียนในเส้นชีพจรต่าง ๆ และความสัมพันธ์กับธาตุทั้งห้าในร่างกาย ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็ซักถามข้อสงสัย บางครั้งก็ยกตัวอย่างจากตำราที่นางได้ศึกษามา เพื่อให้ท่านผู้เฒ่าหลี่อธิบายเพิ่มเติม
“หากเราสามารถควบคุมลมปราณได้ดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยว แต่มิได้ล้นหลาก ย่อมสามารถบำบัดรักษาโรคได้หลายหลาก” ท่านผู้เฒ่าหลี่กล่าว “แต่หากลมปราณติดขัด ดุจสายน้ำที่ถูกกั้น ย่อมก่อให้เกิดโรคภัยได้”
บทสนทนาระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ดำเนินไปอย่างยาวนาน ท่านผู้เฒ่าหลี่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่นางอย่างไม่ปิดบัง ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ่งนักเจ้าค่ะ คำชี้แนะของท่านช่วยให้ข้าเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“แม่นางตู้มิต้องกล่าวเช่นนั้นหรอก” ท่านผู้เฒ่าหลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่นาง ที่ทำให้ข้าได้ทบทวนความรู้และเข้าใจวิชาเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าหลี่ก็กลายเป็นดุจอาจารย์และศิษย์
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการศึกษาค้นคว้าวิชาการแพทย์ นางมักจะไปเยี่ยมเยียนเรือนยาของท่านผู้เฒ่าหลี่เป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และปรึกษาหารือเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยต่าง ๆ
ยามสายฝนโปรยปรายลงมา ชะล้างความร้อนระอุจากผืนปฐพี
ตู้เยี่ยนอวี่ฝึกฝนกำลังภายในในห้องของตนเองอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น ดุจนักรบที่ลับคมกระบี่ให้แกร่งกล้า นางมิเพียงแค่ฝึกตามตำราเท่านั้น หากแต่ยังนำคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าหลี่มาปรับใช้ด้วย
‘ลมปราณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ’ เสียงท่านผู้เฒ่าหลี่ดังก้องในห้วงความคิดของนาง ‘เมื่อจิตสงบ ลมปราณย่อมไหลเวียนโดยไร้สิ่งกีดขวาง’
นางนั่งขัดสมาธิอย่างสงบนิ่ง ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ พยายามควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างราบรื่น จากจุดตันเถียนไปยังเส้นชีพจรต่าง ๆ
ครู่หนึ่ง ร่างกายของนางก็รู้สึกเบาสบายดุจปุยเมฆ พลังงานภายในไหลเวียนไปทั่วทุกอณู นางรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ดุจรากไม้ที่หยั่งลึกลงสู่พื้นดิน
“นี่คือความก้าวหน้าจากการฝึกฝน”
นางพึมพำกับตนเองด้วยความยินดี พลางลองยกมือขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังงานที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือเล็กน้อย
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงใช้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ตนมี มาปรับใช้ในการช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง นางแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการต้มน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค การรักษาความสะอาดของบาดแผลอย่างถูกวิธี และการดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน เพื่อป้องกันโรคระบาดที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน
“ท่านป้าโจว ข้าแนะนำให้ท่านนำน้ำที่ใช้ดื่มไปต้มให้เดือดก่อนนะเจ้าคะ จะได้มั่นใจว่าน้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำหญิงชราคนหนึ่ง
ท่านป้าโจวพยักหน้า “คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างคิดได้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ข้าจะทำตามที่ท่านแนะนำทุกอย่างเจ้าค่ะ”
คำแนะนำของตู้เยี่ยนอวี่แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับมีผลอย่างยิ่งในการลดอัตราการเจ็บป่วยของชาวบ้าน โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด
ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามบ่ายไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนสอนหนังสือเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน โรงเรียนแห่งนี้สอนวิชาการอ่านเขียนและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
“ท่านอาจารย์หลิว ข้าขออนุญาตมาช่วยงานท่านนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับชายชราผู้หนึ่งผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
ท่านอาจารย์หลิวเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ แต่ก็เป็นผู้ที่เปิดกว้างและยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่นเดียวกับท่านผู้เฒ่าหลี่
“เชิญเถิดแม่นางตู้ การมาของท่านเป็นดุจสายลมที่พัดพาความสดชื่นมาสู่โรงเรียนแห่งนี้” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ไปสอนหนังสือวิชาใดโดยตรง หากแต่ไปเพื่อสังเกตการณ์วิธีการสอน และนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการเรียนรู้ นางคอยแนะนำให้ท่านอาจารย์หลิวเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง เช่น การนำพืชสมุนไพรมาให้เด็ก ๆ สังเกตและจดจำ หรือการเล่านิทานที่สอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม
“หากเด็ก ๆ ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ข้าคิดว่าพวกเขาก็คงจะสามารถจดจำได้ดีขึ้น” เยี่ยนอวี่กล่าวแนะนำ
ท่านอาจารย์หลิวรับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“แนวคิดของแม่นางตู้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก เอาไว้ข้าจะลองนำไปปรับใช้ดู”
นอกจากนี้ ตู้เยี่ยนอวี่ยังเริ่มสอนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ เช่น การห้ามเลือด การทำแผลเล็กน้อย หรือการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแมลงกัดต่อย
“หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เด็ก ๆ ก็จะได้รู้จักวิธีช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในเบื้องต้น” นางอธิบายให้ท่านอาจารย์หลิวฟัง
ท่านอาจารย์หลิวรู้สึกประทับใจในความรอบรู้และความเมตตาของตู้เยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก
“แม่นางตู้ ท่านช่างเป็นสตรีที่เปี่ยมด้วยปัญญาและคุณธรรมยิ่งนัก หากบุตรสาวของข้าได้ครึ่งหนึ่งของแม่นาง ก็คงจะเป็นบุญของข้าแล้ว” ท่านอาจารย์หลิวกล่าวสรรเสริญ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบอย่างถ่อมตน นางมิได้ปรารถนาคำสรรเสริญเยินยอใด ๆ หากแต่ปรารถนาเพียงการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยามราตรี ดุจม่านไหมสีดำที่คลี่คลุมโลกหล้า
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลผ่อง ความสุขสงบที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่น และการได้เห็นผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้นนั้น เปรียบดุจน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของนางให้เปี่ยมสุข
“ชีวิตมิได้อยู่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น” นางรำพึงรำพันกับตนเอง “แต่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณค่า คือชีวิตที่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น”
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบระเบิด รองแม่ทัพจ้าวคุนยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ สาส์นลับในมือของเขาเปรียบดั่งตราบาปที่ประทับลงบนชะตากรรมของคนทั้งสาม“ยอมจำนนเสียเถิดเหล่ากบฏ ! หลักฐานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะดิ้นรนไปไย !”กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีชักอาวุธออกมาทันที แววตาของพวกเขาแน่วแน่และพร้อมที่จะสู้ตาย แม้จะรู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ตามทว่า ในขณะที่การปะทะกำลังจะเกิดขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับก้าวออกมาขวางคนทั้งสองไว้“รอก่อนเจ้าค่ะ !” นางกระซิบ “การต่อสู้ในยามนี้ คือสิ่งที่พวกมันต้องการที่สุด”นางล้วงหยิบเอาลูกกลอนกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มันดูเป็นเพียงของประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง“สิ่งนี้... จะซื้อเวลาให้เราได้สามลมหายใจ”สิ้นคำพูด นางก็ขว้างลูกกลอนนั้นลงบนพื้นอย่างแรงเพล้ง !แทนที่จะเป็นควันพิษ สิ่งที่ระเบิดออกมากลับเป็นลำแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนแสบตา พร้อมกับเสียงแหลมสูงที่กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท เหล่าองครักษ์และจ้าวคุนต่างยกมือขึ้นปิดตาและหูด้วยความเจ็บปวด โลกทั้งใบของพวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนและเงียบงันไปชั่วขณะ“เร็วเข้า !”ในสามลมหายใจแห่งค
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน
ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงถูกกางออกเต็มโต๊ะ“หอชาด” จางอู๋จีลูบเคราครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ที่ใช้ชื่อนี้อยู่สามแห่ง หนึ่งคือหอตำราเก่าแก่ สองคือร้านจำหน่ายผ้าไหม และสาม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งในย่านบันเทิงที่หรูหราและพลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง “คือโรงละครและหอคณิกาที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีนามว่าหอเหมยแดง เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง เจ้าของของมันเป็นปริศนา และเป็นสถานที่ที่สายของข้ามิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายนัก”“สถานที่ที่ลึกลับและมีอำนาจคุ้มครอง ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมที่ยอดเยี่ยมที่สุด” กู้เหยียนหลงกล่าว แววตาคมกริบดุจเหยี่ยว “เป้าหมายของเราคือที่นั่น”การจะบุกเข้าไปโดยตรงย่อมเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าไปสืบหาความจริงค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้แปลงโฉมเป็นคุณชายเจ้าสำราญและภรรยาคนงามผู้ติดตาม กู้เหยียนหลงในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี ดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองของทายาทคหบดี ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ในชุดสีอ่อนหวานขับเน้นให้ใบหน้างดงามของนางดูบอบบางน่าทะ
ค่ำคืนนั้น วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายการลอบปลงพระชนม์องค์หญิงถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ฝ่าบาททรงพระพิโรธดั่งพายุคลั่ง มีราชโองการให้ปิดประตูวังและสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดที่สุดองค์หญิงลี่หัวปลอดภัยดีภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา แม้พระวรกายจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่พระทัยกลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สลักลึกลงไปในใจของนาง และทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นในตัวตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงมากขึ้นเป็นทวีคูณองค์ชายจ้าวเฟิงแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน เขาทูลแสดงความขุ่นเคืองและห่วงใยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท พร้อมทั้งเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่“การกระทำอันอุกอาจของคนชั่วเหล่านี้ ถือเป็นการหยามเกียรติทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะขออยู่ช่วยสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด เพื่อนำตัวผู้บงการมาลงโทษให้จงได้ !”วาจาของเขานั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจจอมปลอม แต่ก็ทำให้ผู้ที่มิรู้ความนัยต่างเชื่อสนิทใจ มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่า พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กำลังแสร้งทำเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีณ คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ถูกจับเป็นได้