ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์
ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…
เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติ
ร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”
“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล
“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”
“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง
“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”
“...สารเลว”
“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบขึ้นมา ก่อนร่างกำยำจะค่อย ๆ เดินอ้อมไปข้างหลังของขลุ่ย ปลายแหลมคมจ่อเข้าซอกคอตวัดไปมาช้า ๆ
มือใหญ่อาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังกลัวเกรง ตวัดปลายลิ้นไล้เลียแผ่นหลังชื้นเหงื่อที่เต็มไปด้วยรอยแตกนูนจากการถูกเฆี่ยน ร่างผอมบางชะงักเพื่อขืนตัวออก แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้ เพราะมีอาวุธจ่ออยู่ตรงคอหอย
“รู้ตัวหรือเปล่า ว่าชื่อของมึงทำให้กูนึกถึงใครบางคนขึ้นมา”
“งั้นก็ไปหาเขาสิ”
“ถ้ากูตามหาเจอคงเก็บไว้ข้างตัวแน่ แต่เสียดายเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้น่ะสิ”
“มึงคงเหี้ยเกินเยียวยา จนไม่มีใครอยากอยู่ด้วยสินะ” ขลุ่ยแสยะยิ้มมองตอบ
“ผิดแล้ว...เพราะกูเจอเขาตอนเด็ก ๆ พอโตขึ้นก็ต้องแยกย้าย และไม่เคยมีโอกาสได้เห็นต่างหากล่ะ”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเขามาเจอมึงตอนนี้ก็คงไม่อยากอยู่ด้วยหรอก!”
“แล้วใครว่ากูจะแคร์ละ…หืม จับมาขังไว้ข้างกายเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว” เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวขลุ่ยก็แทบสำรอกออกมาแทนคนคนนั้นทันที
“...”
“อ๋อ อีกอย่างชื่อของมึงเหมือนเขาเลยล่ะ มันเลยเป็นเหตุผลให้กูรู้สึกพออกพอใจ แถมมึงเองยังดื้อรั้น จนกูนึกสนุกเลยทีเดียว”
“...โรคจิต” ขลุ่ยแค่นเสียงด่าอมงอย่างขยะแขยง
ร่างกำยำยืดกายเต็มความสูง พร้อมเทกระเป๋าที่มีอุปกรณ์หลากหลายลงมา ขลุ่ยมองอย่างตื่นตระหนก เพราะนับจากวินาทีนี้ไม่รู้ต้องเจอกับอะไรจากชายโหดผู้นี้บ้าง
อิฐกระตุกยิ้มเย็น ดึงรั้งข้อเท้าของคนที่กำลังถอยกายหนีอย่างทุรนทุราย เชือกหนังเส้นหนาพอสมควรถูกหยิบยกขึ้นมามัดเอาไว้แน่น ควบคู่กับกุญแจถูกคล้องเอาไว้ตรงหน้า
“จะทำอะไร! ปล่อยกู!”
อิฐไม่สนเสียงด่ากราด รีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาจนเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับร่างที่กำลังคลานหนีอย่างไร้หนทางสู้ ก่อนใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงกดทับเข้าควบคุมไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน
“...ลูกหนี้ที่ยอมทำตามว่าง่ายคนเมื่อวานหายไปไหนแล้วล่ะ อย่าลืมสิ...พ่อของมึงอยู่ในมือกูนะ” คำขู่ของคนที่กำลังคร่อมตัวอยู่ มันมากพอจะทำให้ขลุ่ยหยุดดีดดิ้นและยอมศิโรราบ
เพี้ยะ!
“หันหลัง!” ร่างผอมบางสั่นเทา กัดฟันแน่น พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอลงไปเงียบ ๆ
ปลายหัวเข่าของขลุ่ยสัมผัสพื้นเย็น ๆ ส่วนอิฐกลับมองดูราวกับเป็นภาพสวยงาม อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเขาสามารถควบคุมคนตรงหน้าได้แล้ว
ร่างกำยำเปลือยเปล่าไม่รอช้า หยิบแส้คู่กายเข้าควบกลางลำตัว พร้อมสอดแทรกท่อนแข็งขืนเพียงพรวดเดียวเท่านั้น
“อึก!!!!...” คงไม่ต้องบอกว่าเจ็บปวดแค่ไหน ช่องทางที่เพิ่งผ่านสงครามหนักหน่วง หนำซ้ำยังไม่ทันหายดีก็ถูกทะลวงเข้ามาอีกรอบ
มือใหญ่ของอิฐที่ยังว่างอยู่กระชากเส้นผมของขลุ่ย ดึงให้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีดำขลับเย็นชาไร้ความปรานี จับจ้องคนใต้ร่าง ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงวัตถุที่เขาใช้เพื่อระบายอารมณ์
“อย่าเกร็งสิวะ”
ฟึ่บ! เพี้ยะ!
ทั้งจากแส้และการกระแทกกระทั้นของร่างกำยำที่มีน้ำหนักมากกว่าถาโถม จนรู้สึกรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ขลุ่ยค่อย ๆ รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเลือนราง ก่อนลำตัวที่เคยแข็งขืนจะไหลราบลงกับหน้าพื้นเย็นเหยียบสลบไป
อิฐสังเกตได้ถึงความผิดปกติ พลันเหลือบมองคนที่แน่นิ่งไปแล้วด้วยความหงุดหงิด เพราะอารมณ์ยังคงค้างเติ่งและปวดหนึบเพื่อหาทางระบายอยู่
“...แม่งเอ๊ย จนได้สินะ”
.
.
.
“ฮือ…ฮือ…คุณอิฐผมเจ็บ” ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มปริศนาผู้เคราะห์ร้าย ถูกจับมาระบายความใคร่แทนคนที่เพิ่งสลบไปและทำให้อารมณ์ของเขายังคงคั่งค้างคาอยู่
อิฐไม่คิดสนใจเสียงร้องไห้น่ารำคาญนั่น กายกำยำเอาแต่กระแทกร่างตรงหน้าเพื่อหวังจะปลดปล่อยให้จบ ๆ ไปสักที และพยายามนึกว่าใต้อาณัติคือเด็กอ่อนปวกเปียกที่เพิ่งถูกเขาทารุณจนสลบไป
“อ่าส์…” เสียงที่แสดงให้เห็นว่าการระบายความใคร่และอัดอั้นจบลงแล้ว ชายหนุ่มปริศนารีบยันกายนั่งอยู่ตรงปลายเตียง มองคนที่ลุกออกไปไม่แยแส
อิฐสวมเสื้อคลุมสีขาวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ขาข้างหนึ่งพาดขึ้นสูง พลางหยิบบุหรี่บนโต๊ะขึ้นจุดบนผิวปาก สูดลมหายใจลึกแล้วพ่นออก ก่อนหางตาจะเหลือบมองชายหนุ่มปริศนาที่กำลังนั่งร้องไห้จนหน้าตาดูแทบไม่ได้
“...ออกจากเกาะไปซะ!! ส่วนหนี้ที่ติด กูจะถือว่าแลกกับเรื่องเมื่อกี้แล้วกัน” น้ำเสียงแม้จะราบเรียบ แต่กลับแฝงเอาไว้ซึ่งแรงกดดันทางอ้อม
“ขะ…ขอบคุณครับ”
อิฐถอนหายใจทันที ก่อนกายกำยำจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พ่นควันบุหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ลอยละล่องหายไปในอากาศและขบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ภาพของขลุ่ยที่สลบไปต่อหน้าต่อตาทำให้เขาอดคิดถึงความรุนแรงที่เคยเจอมาสารพัดในอดีต
คำพูดของผู้เป็นพ่อผุดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้งที่อยากลืมแทบขาดใจ ตั้งแต่ยังเด็กมักถูกสอนให้จดจำว่าความอ่อนโยนไร้ซึ่งอำนาจ ยศ และขาดความน่าเชื่อถือ กลับกันสายตานิ่งเรียบ มือที่หนักแน่น และความเจ็บปวดต่างหากที่จะทำให้คนยอมศิโรราบ
ทุกครั้งที่เสียงหวดดังขึ้นแนบเนื้อกายของเขาซ้ำ ๆ จนเจ็บแสบ เขาจึงเรียนรู้ว่าหากไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ต้องเป็นฝ่ายควบคุมเสียเอง...
อีกฟากเสือกำลังช่วยหายาและเช็ดตัวเพื่อให้ไอร้อนจากพิษไข้ในตัวของขลุ่ยบรรเทาลง ขณะเดียวกันเสือยื่นปลายนิ้วแตะตรงจมูก สังเกตลมหายใจ ก่อนเบาใจลงเมื่อเห็นว่าคนที่นอนแน่นิ่งยังคงมีชีวิตอยู่
“ไอ้ขลุ่ย! เอ๊ย!…ตื่นสิวะ ไม่งั้นกูจะเรียกคนมาทำศพแล้วนะ” ทั้งเสียงตะโกนและจากแรงเขย่าทำให้คนที่สลบไปต้องหรี่ตาขึ้นมามองดู
“...พี่เสือ” ขลุ่ยแม้น้ำเสียงแหบแห้ง แต่ยังคงพยายามเอ่ยปากพูดคุย
“กินยา แล้วพักผ่อนยาว ๆ ไป ส่วนเรื่องของนายหัวมึงไม่ต้องห่วง เขาคงไม่มายุ่งกับมึงอีกสักพักแหละ” เสือเอ่ยเพื่อให้ขลุ่ยสบายใจ จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรให้ปวดหัว ส่วนวันข้างหน้าเป็นยังไงอย่าเพิ่งคิดเลย เอาวันนี้ให้รอดก่อนดีกว่า
พลบค่ำระหว่างที่อิฐกำลังสะสางและตรวจตราความเรียบร้อยภายในถ้ำ เพราะอีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวและเตรียมส่งออกแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญยิ่ง เนื่องจากมักมีคู่แข่งหรือพวกคิดไม่ซื่อลักลอบขโมยอยู่บ่อยครั้ง จนต้องออกคำสั่งเพื่อให้มีคนงานคอยคุ้มกันเสมอ เพื่อป้องกันเหตุและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้มงวด
ก๊อก ๆ ๆ
“นายหัวครับ ข้อมูลที่ให้ไปสืบได้มาแล้วครับ” เสียงของทัพดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งให้
“อืม มึงออกไปได้แล้ว” อิฐรับซองมาจากลูกน้องโดยไม่สนใจหันมอง
“ครับ นายหัว” ทัพโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องไป
ร่างกำยำเอนกายพิงพนักค่อย ๆ ใช้นิ้วหมุนปลายเชือกให้คลายหลุดออกมา ก่อนดึงเอกสารข้างในขึ้นมาเปิดดูด้วยสีหน้าราบเรียบ ทันใดนั้นแววตาที่เคยนิ่งงันพลันกระตุกวูบราวกับตื่นตะลึง เมื่อเห็นภาพที่แนบมา พร้อมปรากฏรายชื่อและประวัติทั้งหมดยืนยันทุกอย่างชัดเจน
นายขลุ่ยทอง วงศาคำ
เพียงวูบเดียวปลายมุมปากกลับยกยิ้มสูง ความพึงพอใจฉายชัดเป็นประกายในแววตา
“...ที่แท้ก็อยู่แค่เอื้อมนี่เอง” มือใหญ่เคาะลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะเนิบช้า คล้ายกำลังครุ่นคิดด้วยสีหน้าแยบยลและเจ้าเล่ห์