ดึกดื่นจู่ ๆ ก็มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่าชายหาด แสงไฟฉายจากคนงานต่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ เพื่อนำทางบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอตามมาอย่างเร่งด่วน
ขลุ่ยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรรอบตัว ลมหายใจร้อนผ่าว แถมความหนาวจากข้างนอกยังคงเล็ดลอดถาโถมเข้ามาอยู่เป็นระยะ ร่างผอมบางขดตัวเข้าหากัน พลันยกแขนกอดอกแน่น ก่อนจะกระชับผืนผ้าห่มขึ้นคลุมกายไว้มิดชิด
ทันใดนั้นบุคคลในชุดกาวน์ก็เข้ามาทำการรักษาคนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสาค้ำไม้เก่าข้าง ๆ ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อแขวนน้ำเกลือชั่วคราว เสียงร้องของขลุ่ยดังออกมาเป็นระยะ เนื่องจากขั้นตอนการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
“อย่าลืมกำชับคนไข้ให้ทานยาตรงเวลา และครบจนหมดด้วยนะครับ” เสียงของหมอเปรยขึ้นกับเสือที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอส่งคุณหมอกลับพอดี เดิมทีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่กลับได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากไอ้ทัพ คราแรกได้ยินนึกว่าหูฝาด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปรนนิบัติลูกหนี้คนไหนแบบนี้เลย
.
.
.
“เป็นไงบ้าง” คำพูดแรกเอ่ยถาม ในขณะที่ลูกน้องอย่างทัพเพิ่งเข้ามาถึง
“เรียบร้อยครับนายหัว”
“อืม ขอบใจ งั้นมึงออกไปได้แล้ว”
“...ครับนายหัว!”
ทั้งคืนอิฐเอาแต่ใช้ความคิดอย่างหนัก จนแทบไม่ได้นอน ร่างกำยำพลิกตัวไปมาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เมื่อคนที่ตามหาอยู่ใกล้ตัวเองขนาดนี้ พอรุ่งเช้ามาถึงก็รีบดีดตัวทั้งที่ยังคงอยู่ในชุดมัดยอมเดิม เพื่อมาตามดูอีกฝ่ายถึงละแวกที่พักคนงานแถวนั้น
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูแผ่วเบา ดวงตามองเห็นร่างผอมบางกำลังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหน้าด้วยใบหน้าซูบซีดอยู่ลำพัง ตามตัวเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่มาจากฝีมือเขาประปราย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่นึกเสียใจเท่าไหร่ ยิ่งได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หากยังดื้อรั้นก็คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเพื่อควบคุมอยู่ดี
“...แค่ก…แค่ก” เสียงไอแห้งดังเล็ดลอดจากคนที่กำลังนอนอย่าไงไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ากำลังมีใครอยู่ในห้องร่วมด้วย
อิฐกวาดสายตามองหาน้ำใกล้ตัว ก่อนพบขวดน้ำดื่มและยาที่ตั้งไม่ห่างจากฟูกนอนเท่าไหร่ มือหยาบคว้าปลายหลอด พร้อมยื่นให้กับเจ้าตัว
“ขะ…ขอบคุณครับ” ขณะเดียวกันขลุ่ยรับน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย ก่อนใบหน้าเรียวยาวได้รูปดูมีเลือดฝาดกว่าวันเก่า จะเงยหน้าสบเข้ากับดวงตาสีดำขลับที่กำลังนั่งอยู่ใกล้ ๆ พอดี
“มะ...มึงออกไปเลยนะ!” น้ำในขวดถูกปัดตกลงมา จนเปียกเต็มพื้นไปหมด
“ตื่นมาก็ดื้อเลยนะ ไหนขอฉันดูก้นนายหน่อยสิว่าเป็นยังไงบ้าง” แม้จะงงงวยกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกแทนตัวเอง แต่เพราะยังรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง จึงไม่มีแรงจะคัดค้านอะไร
“อย่ามายุ่งกับกู!!...อ่ะ โอ๊ย!!” ร่างผอมบางรีบถอยกายหนีอัตโนมัติ จนลืมไปว่าร่างกายยังคงไม่สันทัด สุดท้ายก็ไม่ทันความเร็วของอีกคนที่จับข้อเท้าเอาไว้ แถมยังรูดรั้งกางเกงจนเห็นแก้มก้นขาวมีรอยริ้วเต็มไปหมด
“เดี๋ยวฉันทายาให้” ขลุ่ยจำใจนอนนิ่ง ๆ ให้มือใหญ่หยาบนั้นสัมผัสตามอำเภอใจ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อกรด้วยแล้ว
“...”
“อยู่นิ่ง ๆ” ทันทีที่ปลายนิ้วของคนโฉดแตะลงแก้มก้น เสียงร้องอึกอักและครวญครางก็พลันดังขึ้นมา จนปลุกสิ่งที่อยู่ภายใต้ช่วงล่างของกางเกงให้ผงาดขึ้นมา
“ซี้ด…อ่าส์ จะ…เจ็บ”
อิฐยังคงมองผ่านไม่ถือสา ก่อนรีบแหวกสองก้อนกลมเพื่อสำรวจดูช่องทางเพื่อทาแผลที่ทั้งบวมและยื่นออกมาจากบริเวณนั้น
“ตรงนั้นเดี๋ยวกูทำเอง” มือใหญ่หยุดชะงักมองคนที่กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่
“เจ็บขนาดนี้จะทำไหวยังไง อย่าอวดเก่ง”
“แล้วที่กูบาดเจ็บขนาดนี้ ไม่ใช่ฝีมือมึงเหรอ”
“...นี่ไงฉันเลยมารับผิดชอบ”
“มึงออกไปเถอะ เดี๋ยวกูให้พี่เสือทาให้ก็ได้” ทันใดนั้นดวงตามัจจุราชหันขวับไปมองคนที่ยังไม่รู้อะไรดี ก่อนค่อย ๆ ถามเสียงเข้มกลับ
“นายว่าอะไรนะ”
“...ผมบอกว่าจะให้พี่ เสือ ช่วย ทา ให้ ก็ ได้” คำพูดเรียงเป็นลำดับชั้นเน้น ๆ เพื่อให้คนข้างกายได้ยินชัดเจน
“สนิทจนถึงขั้นนั้นเมื่อไหร่” คราวนี้ขลุ่ยไม่คิดตอบกลับ เพราะเริ่มเหนื่อยกับการโต้ตอบที่ไม่จบสิ้นสักที ก่อนทำเพียงใช้สายตาอ่อนล้าและไม่ยอมลงมองกลับไปเท่านั้น กลับกันในใจคิดว่านายหัวเช่นเขาต้องการอะไรจากลูกหนี้จน ๆ กันแน่
อิฐที่เตรียมเข้าคว้าหมับร่างอ่อนระโหย แต่กลับต้องระงับอารมณ์โทสะเอาไว้
“รีบหายล่ะ เพราะฉันจะกลับมาทบต้นทบดอกแน่” ร่างกำยำเอ่ยกระซิบข้างหู พลันหมุนกายกลับไปตรงประตูทางเข้า แถมยังไม่วายทิ้งคำพูดหวาดกลัวไว้กับขลุ่ยอีกเช่นเคย
.
.
.
ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์นับจากวันที่ขลุ่ยต้องมาอยู่ที่นี่และต้องเจอกับเรื่องราวที่เปรียบเสมือนความเลวร้ายที่สุดในชีวิต อาการต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แข้งขาเดินเหินสะดวกกว่าเดิม ถึงแม้ตามตัวยังคงมีบาดแผลหลงเหลือทิ้งเอาไว้อยู่
ขลุ่ยอาบน้ำแต่งตัวออกมารับแสงแดดและลมทะเลข้างนอกด้วยท่าทีสดใสกว่าเก่า ก่อนสังเกตเห็นว่าเรือที่คาดว่าเป็นของชาวบ้านละแวกนั้นหายไปแล้ว
“เฮ้อ เมื่อไหร่จะหมดหนี้แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมสักที”
“...พึมพำอะไร”
“เฮ้ย…อะ!” ขลุ่ยตกใจเสียงที่มาไม่ตั้งตัว จนเสียหลักเกือบล้มลง
“...ดีนะที่ฉันรับทัน” ขลุ่ยอยู่ในอ้อมแขนของอิฐและกำลังพยายามงัดแงะมือที่แข็งดั่งคีมเหล็กออกไป
“ปล่อยสิวะ!” ไม่รู้นึกสนุกอะไร ฉับพลันมือที่คอยประคองร่างผอมบางอยู่ก็ปล่อยร่างนั้นให้ล้มจ้ำเบ้าลงบนพื้นทรายทันที
ตุ๊บ!
“โอ๊ย!...กูเจ็บนะ!…ปล่อยมาได้ไง!” ขลุ่ยตะคอกอย่างคนหัวเสีย แถมเมื่อเห็นท่าทียียวนกวนประสาท ยิ่งทำให้คนที่กองอยู่เบื้องล่างโมโหโกรธเกรี้ยวกว่าเดิม
“หายแล้วก็ลุกไปทำหน้าที่ของนายซะ” ปล้องไฟฉาย อีกทั้งอุปกรณ์เสื้อผ้าและป้องกันต่าง ๆ ถูกโยนลงมาอยู่ตรงหน้าขลุ่ย
“...กูต้องทำอะไร”
“ของที่อยู่ตรงหน้า ฉันคิดว่านายคงไม่โง่พอจนดูไม่ออกหรอกนะ อย่าลืมสิว่าที่นี่คือเกาะสัมปทานรังนก”
ขลุ่ยเงียบพลันมองไปรอบ ๆ ก่อนครุ่นคิดตามคำบอกเล่าของเสือในวันแรกที่เข้ามาว่าหน้าที่ตรงนี้ต้องเป็นของคนที่ไว้ใจจริง ๆ เท่านั้น ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่านายหัวนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่
ร่างผอมบางในชุดอุปกรณ์แน่นหนา เดินตามอิฐต้อย ๆ อย่างจำใจ จนมาถึงทางเข้าของถ้ำขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างอันตรายอยู่ตรงหน้า
ร่างกำยำหันมองคนข้างหลังเป็นระยะ มีแสงสลัวจากคบเพลิงที่แขวนอยู่บนผนังถ้ำทำให้เห็นบันไดไม้เก่า ๆ กับกลุ่มคนงานจำนวนมากต่างตั้งใจเก็บเกี่ยวและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง
“นี่คือฤดูเก็บเกี่ยวรอบแรก จะต้องทำก่อนที่นกจะออกไข่ เพื่อให้สามารถสร้างรังใหม่ได้ทัน และต้องระวังเป็นพิเศษด้วย”
ขลุ่ยตั้งน่าฟังที่อิฐกำลังอธิบายราวกับกำลังเรียนรู้ ก่อนมองไปรอบ ๆ ยังคงมีนกนางแอ่นอยู่กันเต็มไปหมด แต่พวกมันกลับไม่แตกตื่นเลยสักนิดเดียว
“หน้าที่ของนายแค่ต้องรอขนรังนกพวกนี้ไปทำความสะอาดและจัดเก็บให้เรียบร้อย แต่อาจมีรายละเอียดขั้นตอนอื่นอีกเล็กน้อย ซึ่งเดี๋ยวจะมีคนคอยสอนนายอีกที”
ขลุ่ยพยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ ก่อนชะเง้อใบหน้าคอยมองหาคนที่ไม่ได้เห็นหน้าคาตามาหลายวันแล้ว
“มองอะไร?” เสียงเรียบของอิฐเอ่ยถาม
“...พี่เสือละ” เมื่อได้ยินชื่อของลูกน้องตัวเองออกจากปากอีกคน อารมณ์ที่เคยดี ๆ อยู่ก็พลันขุ่นมัวเสียดื้อ ๆ
“อ๋อ ฉันให้มันย้ายมาทำงานร่วมกับไอ้ทัพแทนแล้วล่ะ”
“ทำไมจู่ ๆ มึงถึงย้ายพี่เสือละ” ขลุ่ยเตรียมจะอ้าปากถามซ้ำอีกรอบ
“ลูกน้องฉัน…และฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้” ใบหน้าคมเข้มมีหนวดเคราเริ่มมีน้ำโห จนเกือบจะเขวี้ยงอุปกรณ์ใกล้ตัวทุ้มลงพื้น
“แต่...”
“ขืนนายยังถามอีกละก็…โดนดีแน่” สายตาเอาเรื่องมองขลุ่ยตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จนต้องรีบปิดปากลง เนื่องจากเพิ่งหายป่วยและยังไม่พร้อมรับศึกหนักตอนนี้
ดึกดื่นจู่ ๆ ก็มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่าชายหาด แสงไฟฉายจากคนงานต่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ เพื่อนำทางบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอตามมาอย่างเร่งด่วนขลุ่ยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรรอบตัว ลมหายใจร้อนผ่าว แถมความหนาวจากข้างนอกยังคงเล็ดลอดถาโถมเข้ามาอยู่เป็นระยะ ร่างผอมบางขดตัวเข้าหากัน พลันยกแขนกอดอกแน่น ก่อนจะกระชับผืนผ้าห่มขึ้นคลุมกายไว้มิดชิดทันใดนั้นบุคคลในชุดกาวน์ก็เข้ามาทำการรักษาคนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสาค้ำไม้เก่าข้าง ๆ ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อแขวนน้ำเกลือชั่วคราว เสียงร้องของขลุ่ยดังออกมาเป็นระยะ เนื่องจากขั้นตอนการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ“อย่าลืมกำชับคนไข้ให้ทานยาตรงเวลา และครบจนหมดด้วยนะครับ” เสียงของหมอเปรยขึ้นกับเสือที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอส่งคุณหมอกลับพอดี เดิมทีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่กลับได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากไอ้ทัพ คราแรกได้ยินนึกว่าหูฝาด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปรนนิบัติลูกหนี้คนไหนแบบนี้เลย...“เป็นไงบ้าง” คำพูดแรกเอ่ยถาม ในขณะที่ลูกน้องอย่างทัพเพิ่งเข้ามาถึง“เรียบร้อยครับนายหัว”“อืม ขอบใจ งั้นมึงออกไปได้แล้ว”“...ครับนายหัว!”ท
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...
ขลุ่ยเดินทางมาด้วยเรือเพื่อข้ามฟากมายังอีกฝั่งของเกาะ ซึ่งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้แห่งเดียวกัน เพียงแต่ที่ตรงนี้จะถูกตัดขาดการจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชนพอสมควรนั่นก็เท่ากับว่าโทรศัพท์ก็แทบจะไร้ประโยชน์ ก่อนออกมาขลุ่ยก็ไม่ลืมเอาเงินที่ตนเองมีอยู่ทั้งหมดยกให้กับพ่อ และไม่ลืมฝากฝังป้าข้างบ้านในชุมชนเดียวกันช่วยดูแลอีกทาง“เอ๊ย! ถึงแล้ว ส่วนนี่สัญญามึง เซ็นซะ!” ขลุ่ยมองแผ่นกระดาษสีขาวที่มีตัวหนังสือเป็นข้อ ๆ ระบุอยู่ พลางกวาดตาดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจรดปลายปากกาเซ็นลงไปใบหน้าเรียวยาวได้รูปมองเรือที่จอดเทียบท่า พร้อมคนงานหน้าตาโหด ๆ ยืนอยู่เรียงราย ความรู้สึกตอนนี้แทบอยากจะกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ไม่มีทางเลือกมากนักระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าพอดี หลาย ๆ คนต่างให้ความเคารพ และคาดว่าอาจเป็นนายของที่นี่“กูชื่อเสือ เป็นลูกน้องของนายหัว เดี๋ยวกูจะพามึงไปหานาย ทำตัวให้ดี ๆ ล่ะ”“ครับ” “ส่วนพวกมึงก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ! งานไม่เสร็จไม่ต้องแดกข้าว!” เสือพูดพลางกวาดตามองดูคนงานและลูกน้องบางส
สิบปีต่อมาภายในงานวัดของจังหวัดทางภาคใต้แห่งหนึ่ง เสียงปี่กลองแหลมสูงแทรกด้วยจังหวะเร่งเร้า รัวเป็นจังหวะสลับหนักและเบากันไป ท่วงทำนองดุดันแฝงไปด้วยความขลัง ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องร่างที่กำลังร่ายรำอยู่กลางเวทีนายมโนราห์ทั้งชายและหญิงกำลังหมุนเวียนสลับกันทำหน้าที่ของตนเองเพื่อซื้อใจคนที่นั่งดูอยู่ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ต่างเดินผ่านไปมาทางนี้และทันทีที่เสียงดนตรีและเสียงปรบมือจบลง ทั้งนายและนางรำต่างก็เดินลงมาจากเวที พร้อมกับถอนหายใจกันอย่างโล่งอก“เหนื่อยวะ วันนี้อากาศโคตรร้อนเลย มึงไม่ร้อนหรือไงว่ะ” เป้ว่าพลางถอดเสื้อผ้าพร้อมมองออกไปยังเพื่อนอีกคน“ทำมาตั้งนานแล้ว กูชินแล้วล่ะ”“มึงชิน หรือเพราะไม่มีทางเลือกกันแน่วะ…ไอ้ขลุ่ย” คำพูดของเป้จี้ใจดำขลุ่ยเข้าอย่างจัง“ช่างมันเหอะ สักวันคงดีเองนั่นแหละ” เป้ส่ายหน้า เพราะไม่ว่ากี่ครั้งก็มักจะเห็นเพื่อนสนิทพูดแบบนี้เสมอ“งั้นมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปหาของหน่อย ไม่รู้ตั้งไว้ไหน”“มึงลืมอะไร เดี๋ยวกูช่วยหา”“มือถืออ่ะ แต่ไม่เป็นไร มึงรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูหาเอง แป๊บเดียว” เป้ว่าพลางเดินออกไปจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้
ซ่าาาา!!ยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงท้องฟ้าคำราม ฝ่ามือของเด็กชายอายุราวสิบห้าปีคนหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาหนทางรอดจากคนบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดาฟึ่บ! เพี้ยะ!“...แฮ่ก ผมขอโทษ” อิฐพูดขอร้องซ้ำ ๆ เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากการโดนหวดกลางหลังนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะเขาทำข้อสอบไม่ได้ดั่งที่พ่อคาดหวัง“แกจะหนีไปไหน ห๊ะ!...ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำฉันขายหน้าเด็ดขาด แต่นี่อะไรผลสอบแทบจะรั้งท้ายอยู่แล้ว!”อิฐนอนขดตัวอยู่บนพื้น มองผู้บังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาไม่เข้าใจเลยว่าการทำข้อสอบไม่ได้ตามที่หวังจำเป็นต้องลงโทษกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!!“ครั้งหน้าผม…” ร่างที่ยังไม่สูงใหญ่เต็มวัยกำลังเตรียมอ้าปากพูดต่อ แต่กลับได้ยินเสียงมาจากขั้นบันได มองเห็นผู้เป็นแม่รีบสาวฝีเท้าลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโอบกอดลูกชายไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น“คุณทำบ้าอะไร! นี่ลูกของคุณนะ!” เสียงของคุณหญิงวรารัตน์แหลมสูงคล้ายตะคอกขึ้นเล็กน้อยจากความเหลืออด แววตาฉายชัดด้วยทั้งจากความผิดหวังและเจ็บปวดขณะจ้องหน้าผู้เป็นสามีอย่างที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตปึก!“เอานี่ดูซะ! ว่าลูกของเ